Skip to main content
 
 
บทความต่อไปนี้บางส่วนเอามาจากบทความของคุณเดวิด เบอร์นาร์ด จาก http://www.chambersymphony.com/ 
 
 
เข้าใจว่าโซโฟนีหมายเลข 7 นี้ถึงแม้จะเป็นที่รู้จักกันน้อยที่สุดในบรรดาซิมโฟนีอันยิ่งใหญ่ของเบโธเฟนไม่ว่า หมายเลข 3 5 6 และ 9  แต่นับได้ว่าเป็นซิมโฟนีที่ล้ำค่าและอลังการไม่แพ้กันเลย เบโธเฟนเริ่มเขียนงานชิ้นนี้ในปี 1811 ขณะที่ตนไปรักษาสุขภาพที่เมืองเตปลิซ ซึ่งเป็นเมืองบ่อน้ำแร่ (สปา) ออกนำแสดงเป็นครั้งแรกในกรุงเวียนนา ปี 1812 ในคอนเสิร์ตเพื่อหาเงินไปช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสมรภูมิฮาเนาอันเป็นการสู้รบระหว่างกองทัพผสมออสเตรียและแคว้นบาวาเรียนกับกองทัพของพระเจ้านโปเลียน ซิมโฟนีชิ้นนี้ยังถูกนำเสนอพร้อมกับผลงานชิ้นเลิศคือ Wellington’s Victory แถมคีตกวีเอกของเราลงทุนไปกำกับเอง ได้ผลลัพธ์คือคนฟังให้การต้อนรับอย่างดี 
 
ซิมโฟนีบทนี้มีทั้งหมด 4 กระบวน ความยาวประมาณ 33 นาที 44 วินาที วัดจากการบรรเลงของวงเบอร์ลิน ฟิลฮาร์โมนิก ออร์เคสตร้า โดยเฮอร์เบิร์ต ฟอน คารายาน  บันทึกเสียงในปี 1962
 
1.Poco sostenuto - Vivace 
2.Allegretto 
3.Presto 
4. Allegro con brio 
 
 
 
 
                                       
                      
                                       
                                        ภาพจาก www.allmusic.com
 
 
บทความของคุณเบอร์นาร์ด
 
การแสดงในงานคริสต์มาสเพื่อการกุศลของโรงพยาบาลเซนต์มาร์กที่ถูกจัดขึ้นในปี 1816 และการแสดงเพื่อช่วยเหลือแม่หม่ายและเด็กกำพร้าจากสงคราม ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวียนนาในปีต่อมาเป็นโอกาสถึง 2 ครั้งที่เบโธเฟนจะได้นำการบรรเลงซิมโฟนีหมายเลข 7 นับว่าเป็นหนึ่งในโอกาสของการออกนำวงด้วยตัวเองที่นับวันยิ่งไม่ค่อยมีนัก
 
ซิมโฟนีหมายเลข 7 ในช่วงเวลาไม่ถึง 6 ปีภายหลังจากการถูกนำออกแสดงครั้งแรกกลับได้รับการตอบสนองที่ไม่ค่อยดีนักเช่นเมย์นาร์ด โซโลมอนด์นักเขียนชีวประวัติของเบโธเฟนได้เขียนไว้ว่า "คนปรบมือกันเปาะแปะ แถมกระบวน Allegretto ที่ทรงคุณค่าไม่ได้รับการร้องขอให้เล่นอีกครั้งตามธรรมเนียม ซึ่งบรรดาเพื่อนๆ ของเบโธเฟนก็แก้ต่างอย่างข้างๆ คู ๆ  ว่า เพราะคนนั่งกันอย่างแออัดทำให้ยกแขนขึ้นมาปรบมืออย่างไม่สะดวกนัก”
 
ความชื่นชมคลั่งไคล้ของชาวเวียนนาที่มีต่อเบโธเฟนในช่วงเวลานั้นได้ลดฮวบฮาบไปอย่างน่าตกใจ อย่างไรก็ตามพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ของเบโธเฟนก็ไม่ได้ลดไปด้วย ตามความจริง เขากำลังค้นหาหนทางใหม่ในช่วงที่ตัวเองกำลังพบกับความวุ่นวายในชีวิตคืออาการหูหนวกและการขอมีสิทธิ์เลี้ยงดูหลาน ซิมโฟนีหมายเลข 7 อยู่ในช่วงท้าย ๆ ที่ผลงานของเขาเป็นการเชิดชูบูชาบุคคลดังที่เรารู้จักกันดีในซิมโฟนีหมายเลข 3 และหมายเลข 5 
 
และโซโลมอนยังอ้างถึงความรู้สึกสั้น ๆ เกี่ยวกับซิมโฟนีหมายเลข 7 ของผู้ซึ่งติดตามงานของเบโธเฟนในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กันดังนี้
 
เบลิออซเรียกเพลงนี้เป็น "ระบำรูปวงกลมของชาวนา" (Ronde des Paysans) โดยเฉพาะในกระบวนแรก  วาคเนอร์เรียกเพลงนี้ว่า “เป็นเพลงเต้นรำที่สุดยอด” เลนซ์เห็นว่าเป็น "ซิมโฟนีหมายเลข 6 บทที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบตรงการเต้นระบำของชาวนาในงานแต่งงาน" 
 
โนห์ลเห็นว่าซิมโฟนีชิ้นนี้เป็นงานเทศกาลของพวกอัศวินและงานเต้นรำใส่หน้ากากที่เมามันด้วยความสนุกสนานและไวน์ และ เบกเกอร์เรียกว่าเป็น Bacchic orgy (งานร่าเริงแบบเทพเจ้าบัคคุสหรือเทพแห่งไวน์ตามความเชื่อของชาวโรมัน) และเออร์เนส นิวแมนเห็นว่ามันเป็นการพุ่งทะยานของพลังแห่งเทพไดโอนีซุส หรือการเสพสุขทางจิตวิญญาณ 
 
 
 
 
 
                                              
 
                                                          ภาพจาก  www.awesomestories.com
 
 
ท่วงทำนองที่สนุกสนานที่มีอยู่ทั่วซิมโฟนีได้ทำให้นักเขียนทั้งหลายคิดว่าไม่ว่ามันจะแสดงออกอย่างไร เพลงซึ่งเป็นบทเริ่มต้นที่ยาวที่สุดได้แสดงให้เห็นว่าเบโธเฟนได้พาคนฟังเข้าไปมีอารมณ์ร่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อความสนุกสนานที่กำลังจะเริ่มขึ้น บทนำนั้นได้ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึก 2 อารมณ์ อารมณ์แรกคือการนำไปสู่ธีมเอเมเจอร์ด้วยขลุ่ยและอารมณ์ที่ 2  มันได้เลื่อนไหลจากโน้ตตัวหนึ่งไปอีกตัวหนึ่งแต่เบโธเฟนได้เข้าขัดจังหวะการเลื่อนไหลเช่นนี้ทำให้เกิดความเป็นเอกภาพและทำให้ธีมของมันกลับมาเหมือนเดิม ผู้ฟังจึงตั้งใจฟังอย่างแทบไม่หายใจ 
 
ทันที่ขลุ่ยเริ่มต้นบรรเลงตามจังหวะของกระบวนแรก การเต้นรำก็เริ่มขึ้นและดำเนินไปเช่นนั้นเรื่อย ๆ ครั้ง วาทยกรผู้โด่งดังคือบรูโน วอลเทอร์ได้ออกความเห็นในช่วงซ้อมว่า เขากำกับซิมโฟนีหมายเลข 7 มามากมายหลายครั้ง แต่ไม่เคยสามารถทำให้จังหวะมันถูกต้องตลอดไปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะจังหวะของมันนั้นประณีตพอๆ กับความเร่าร้อน 
 
ในกระบวนที่ 2 คือ Allegretto อาจจะช้ากว่ากระบวนอื่น แต่ด้วยมาตรฐานของกระบวนที่ช้าทั่วไปนั้น มันไม่ใช่เลย กระบวนที่ 2 ประกอบด้วยรูปแบบของ dactylic ที่มั่นคง (ยาว ช้า ช้า) ในเอเมเจอร์ที่แสนจะงดงาม ซึ่งทวีความเข้มข้นขึ้นสอดประสานกับการซ้ำจังหวะของแต่ละครั้ง นี่เป็นกระบวนซึ่งผู้ชมมักจะร้องขอให้เล่นซ้ำมากที่สุด ธีมของมันไม่มีอะไรมากและเรามักจะรับรู้ถึงตัวโน้ตที่ถูกบรรเลงซ้ำ ๆ แต่เบโธเฟนประสบความสำเร็จในการทำให้ตัวโน้ตเกิดความเป็นเอกภาพพร้อมไปกับการเปลี่ยนท่วงท่า ทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งใจ 
 
ผม (คุณเบอร์นาร์ด) ได้ฟังจังหวะ Scherzo (ในกระบวนที่ 3 คือ Presto) ในหนังสารคดีมานับครั้งไม่ถ้วน ที่บ่อยที่สุดคือดนตรีประกอบสารคดีศิลปะยุคโรแมนติก นี่คือการเต้นรำที่บ้าคลั่งที่สุด และมักจะสลับด้วยส่วนที่ขัดแย้งที่สุดคือจังหวะ Trio ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนน้อยกว่า แต่เมื่อถึงตอนจบ ทรีโอแม้จะปรากฏตัวอย่างสั้น ๆ ได้ทำให้ดนตรีมีลักษณะแหกจารีตอย่างที่คนฟังคาดไม่ถึง นี่คือตัวอย่างหนึ่งในบรรดาดนตรีของเบโธเฟนที่มักจะทะลุนอกกรอบ
 
บางคนคิดว่าเบโธเฟนต้องเมาอย่างแน่นอนเมื่อเขียนกระบวนสุดท้ายหรือไม่ก็ทำให้เกิดภาพว่าใครสักคนกำลังเมา มีหลายจุดที่ทำให้ชวนจินตนาการถึงฉากคนหลายคนกำลังทะเลาะกันถึงเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจ ผลที่ได้เป็นเรื่องตลกนั่นคือการกลับไปกลับมาตลอดกาลระหว่างความวุ่นวายและดุลยภาพ 
 
 
สำหรับผู้เขียน (อรรถสิทธิ์) คิดว่าคงจะเหมือนกับที่เลนซ์บอก หากซิมโฟนีหมายเลข 6 คือการที่ชายผู้เดินทางในชนบท ได้พบกับความงดงามของธรรมชาติ ได้เผชิญกับพายุฝนและความงดงามอันเดิมที่กลับมาอีกครั้งภายหลังจากพายุผ่านไป ซิมโฟนีหมายเลข 7 คือยามเย็นที่ชายคนนั้น (ก็คือเบโธเฟนนั้นเอง) ได้เดินทางมาพบกับบ้านที่กำลังจัดงานแต่งงานที่บรรดาแขกเต้นรำกันสนุกสนาน ใครคนหนึ่งออกมาเชิญเขาให้ไปเต้นรำด้วย....
 
 
 
 
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ช่วงนี้หลายประเทศได้ทำการเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว (ปี พ.ศ.1945 หรือ พ.ศ.2488) ประเทศที่ได้รับชัยชนะอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาและพันธมิต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
I remember reading the interview by the last promoter of คณะราษฏร (People's Party or PP) from the Sarakandee magazine ,probably a decade ago.At that time he was ageing , frail ,but still p
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
f n
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
n the future of disruptive world,if I am able to make the documentary film about Sergeant Major Chakaphan Thomma who committed the worst Mass shooting in Thai history , what will the t
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Puzzling that it may seem when Thai authority chose the day king Naresuan reputedly fought with Hongsawadee's viceroy on the elephants as the Army Day.This is because, on that glorious
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เห็นกระแสแปนิคเมื่อหลายวันก่อน ทำให้นึกได้ว่าชาวโลกมีการคาดหมายหรือหวาดกลัวมานานแล้วว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มได้ตั้งแต่ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ นั่นคือการกลายเป็นศัตรูระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันแบบหลวมๆ ในการต่อสู้กับฝ่ายอักษะ การสิ้นสุดของสงครามได้ทำให้ฝ่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
นตำราเรียนมักบอกว่าหลังสิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 มีประเทศที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศคือจีน เวียดนาม ลาว คิวบาว และเกาหลีเหนือ (ตลกดีมีคนที
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาลจีนไปพร้อมกับการประท้วงของชาวฮ่องกงซึ่งมุ่งมั่นท้าทายรัฐบ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
"...All right, Mr. DeMille, I'm ready for my close-up."
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากใครมาดูหนังเรื่อง Wild Strawberries แล้วเคยประทับใจกับหนังเรื่อง About Schmidt (2002) ที่ Jack Nicholson แสดงเป็นพ่อหม้ายชราที่ต้องเดินทางไปกับรถตู้ขนาดใหญ่เพื่อไปงานแต่งงานของลูกสาวและได้ค้นสัจธรรมอะไรบางอย่างของชีวิตมาก่อน ก็จะพบว่าทั้งสองเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Throne of Blood (1957) หรือ"บัลลังก์เลือด" เป็นภาพยนตร์ขาวดำของยอดผู้กำกับภาพยนตร์ญี่ปุ่นคืออาคิระ คุโรซาวา ที่ทางตะวันตกยกย่องมาก เกือบจะไม่แพ้ Seven Samurai หรือ Rashomon เลยก็ว่าได้ ลักษณะเด่นของมันก็คือการดัดแปลงมาจาก Macbeth