หนึ่งในบรรดาคีตกวีที่อายุสั้นแต่ผลงานสุดบรรเจิดที่เรารู้จักกันดีคือนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียนามว่าฟรานซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert) ชูเบิร์ตเปรียบได้ดังสหายของเบโธเฟนผู้ส่งผ่านดนตรีจากคลาสสิกไปยังยุคโรแมนติก ด้วยความเป็นคีตกวีผสมนักกวี (และยังเป็นคนขี้เหงาเสียด้วย) ทำให้เขากลายเป็นคีตกวีที่คนนิยมฟังและให้ความชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
ภาพจาก wikipedia.com
ชูเบิร์ตเกิดที่ย่านฮิมเมลพ์ฟอร์ตกรุนด์ ซึ่งอยู่แถวชานเมืองของกรุงเวียนนาในปี 1797 บิดาเป็นครูของโรงเรียนประจำท้องถิ่น ส่วนมารดาเคยเป็นแม่ครัวมาก่อนแต่งงาน ชูเบิร์ตมีพี่น้องรวมทั้งตัวเขาเองถึง 15 คนแต่น่าเศร้าที่ว่าพี่น้องของเขาร่วม 10 คนได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็กยังเล็ก บิดาของเขายังเป็นนักดนตรีสมัครเล่นและได้ถ่ายทอดคุณสมบัตินี้ให้กับบรรดาลูกชายที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย
ด้วยอายุเพียง 5 ขวบ ชูเบิร์ตได้รับการถ่ายทอดเรื่องดนตรีจากบิดาและอีก 1 ปีหลังจากนั้นเข้าเรียนที่โรงเรียนที่บิดาเป็นครูสอน อายุได้ 7 ขวบก็เก่งเกินกว่าครูสอนดนตรีธรรมดาๆ จะสอนได้ เขาเลยไปเรียนกับไมเคิล โฮลเซอร์ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดนตรีในโบสถ์แห่งหนึ่ง อายุ 11 ปี ได้รับทุนไปเรียนดนตรีที่โรงเรียนชื่อดังในกรุงเวียนนาภายใต้การดำเนินงานของ อันโตนีโอ ซาลีเอรี เป็นเวลา 6 ปี น่าตลกที่ว่าเขาได้รับประโยชน์จากการสอนเพียงน้อยนิด หากเทียบกับการฝึกหัดกับวงของโรงเรียนและการช่วยเหลืออย่างอบอุ่นจากบรรดาเพื่อน ๆ ในการผลิตผลงานทางดนตรีอย่างมากมาย
ปี 1813 ชูเบิร์ตหันมาเป็นครูสอนโรงเรียนเดียวกับบิดาของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นช่วงที่สุดแสนจะน่าเบื่อและผลงานที่ผลิตออกมาก็ไม่สู้จะสำเร็จนัก 2 ปีต่อมาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อลูกศิษย์ที่อยู่ในตระกูลมั่งคั่งได้เสนอให้เขาลาออกจากโรงเรียนและหันมาแต่งเพลงเพียงอย่างเดียว แต่ต่อมาก็ต้องตกอับเพราะไม่ประสบความสำเร็จทั้งในการสอนดนตรีตามบ้านและการแสดง กระนั้นเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนๆ อีกเช่นเคย ในช่วงเวลาต้นทศวรรษที่ 20 ชูเบิร์ตยังเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบรรดาศิลปินและนักเรียนซึ่งมักมาชุมนุมสังสรรค์กันดังที่เรียกว่ากลุ่มชูเบิร์ตเทียเด็น ซึ่งก็ได้รับการคุกคามจากตำรวจออสเตรียซึ่งได้รับคำสั่งให้ระแวดระวังกิจกรรมที่ส่อไปทางปฏิวัติในช่วงหลังปฏิวัติฝรั่งเศส (เริ่มต้นในปี 1789) และสงครามนโปเลียน (ช่วงปี 1803-1815) เพื่อนของชูเบิร์ตคนหนึ่งถึงกลับถูกจับติดคุกไปปีกว่าๆ และถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาในกรุงเวียนนาตลอดชีวิต
นิสัยของชูเบิร์ตซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือเขามักจะตื่นแต่เช้าเพื่อประพันธ์เพลง ไปจนถึงเที่ยงวันก่อนจะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงในยามบ่าย แต่แล้วเหมือนกับฟ้าจะกลั่นแกล้งในปี 1822 ชูเบิร์ตพบว่าตัวเองติดเชื้อซิฟิลลิส ซึ่งสมัยนั้นคงจะร้ายแรงเหมือนกับเชื้อเอชไอวี มีคนสันนิฐานว่าเขาอาจจะติดโรคร้ายนี้มาจากสาวใช้ของบ้านที่เขาไปสอนดนตรีในฤดูร้อนฤดูหนึ่ง นายแพทย์แนะนำให้เขาไปพักกับพี่ชายที่ชานเมืองของกรุงเวียนนาอีกที่หนึ่ง (ฝรั่งไม่ได้บอกว่าทำไม เดาว่าที่นั่นอาจจะมีอากาศดีกว่า) แต่แล้วเขาก็ติดโรคไทฟอยด์ไปอีกโรค
ว่ากันว่า ชูเบิร์ตได้เดินทางไปเยี่ยมเบโธเฟนซึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียงนอนใน ปี 1827 และได้เอาโน้ตเพลงที่เขาแต่งให้ยอดคีตกวีดู อันส่งผลให้เบโธเฟนชื่นชอบเขามาก ส่วนชูเบิร์ตได้อุทิศงานชิ้นหนึ่งของเขาคือ Variation on a French Song (Op.10,D.624) ซึ่งถูกเขียนเป็นชุดๆให้กับเบโธเฟน เมื่อเบโธเฟนเสียชีวิตลง ชูเบิร์ตมุ่งมั่นจะช่วยแบกโลงศพของผู้ซึ่งตนเชิดชูบูชา (บางแห่งบอกว่าเป็นคนถือคบไฟนำหน้าขบวน) หลังจากงานศพได้สิ้นสุดลง เขากับเพื่อนก็ไปทานอาหารที่ภัตตาคาร มีการดื่มสำหรับผู้วายชนม์ โดยหารู้ไม่ว่าในอีก 1 ปีข้างหน้าชูเบิร์ตก็เป็นผู้วายชนม์เหมือนกัน แต่ก่อนที่คีตกวีเอกของเราจะเสียชีวิต เขาได้ร้องขอให้ศพของเขาถูกฝังใกล้ๆ กับเบโธเฟน ในงาน เพื่อนคนหนึ่งของเขาได้อ่านบทกวีอันน่าซึ้งใจดังนี้
May peace at last be with you! ขอให้สันติจงอยู่กับท่าน
Angel-pure soul! วิญญาณอันไร้มลทินดุจดังนางฟ้า
In the full bloom of Youth, แม้ยอดสุดของวัยเยาว์
The stroke of Death has seized you มรณะก็ได้พรากท่านไป
And extinguished the pure light within you!" อีกยังดับไฟอันแสนบริสุทธิ์ในกายท่าน!
หลุมฝังศพของชูเบิร์ตซึ่งถูกย้ายมายังสุสานเซนทรัลฟรีดโฮฟ ตั้งแต่ปี 1888 พร้อมกับหลุมศพของเบโธเฟ่นและโมซาร์ท (ภาพจาก www .depositphotos.com)
แทบไม่น่าเชื่อว่าด้วยอายุเพียง 31 ปี ชูเบิร์ตผลิตผลงานออกมากว่า 600 ชิ้น งานอันโด่งดังที่เรารู้จักกันดีก็คือซิมโฟนีหมายเลข 8 ซึ่งมีเพียงแค่ 2 กระบวน จึงได้ชื่อว่า "ยังไม่จบ" หรือ unfinished กระบวนแรกคือ Allergo Moderato ซึ่งขึ้นต้นอย่างช้าๆ เนิบนาบแต่มีพลังและซ้อนเร้นด้วยความหดหู่ใจจากตัวผู้ประพันธ์ หรือ ซิมโฟนีหมายเลข 9 ซึ่งได้สมญาว่า "สุดยิ่งใหญ่" (The Great) นอกจากนี้ยังมี String Quintet in C major, D. 956 ที่ชูเบิรต์แต่งเสร็จสองเดือนก่อนเสียชีวิต String Quartet in A Minor ที่มีชื่อว่า Rosamunde และ Death and The Maiden (ซึ่งดัดแปลงจากเพลงของชูเบิร์ตเอง) ที่น่าสนใจคือ ชูเบิรต์ยังประพันธ์เพลงที่เรียกกันว่า Song Cycle หรือเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมีเนื้อร้องที่มีเนื้อหาติดต่อกันเป็นบทๆ เหมือนบทกวีจำนวนมาก ที่รู้จักกันได้แก่ Die schöne Müllerin (สาวจากโรงสีผู้งดงาม) รวมไปถึง Ave Maria อันแสนไพเราะ
ภาพจาก www.allmusic.com
บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากมีใครถามว่าถ้า จู่ๆ โลกนี้ หนังสือจะหายไปหมด แต่ผมสามารถเลือกหนังสือไว้เป็นส่วนตัวได้เพียงเล่มเดียว จะให้เลือกของใคร ผมก็จะตอบว่าหนังสือ "จันทร์เสี้ยว" หรือ Crescent Moon ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร กวีและนักปราชญ์ชาวอินเดียผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1913 และหนังสือเล่มนี้ก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
"Whoever you are, I have always depended on the kindness of strangers." Blanche Dubois ไม่ว่าคุณเป็นใคร ฉันมักจะพึ่งพ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงคำว่า Three Bs ผู้ใฝ่ใจในดนตรีคลาสสิกก็จะทราบทันทีว่าหมายถึงคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ของเยอรมัน นั่นคือ Bach Beethoven และ Brahms ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในหลายๆ ส่วน นั่นคือบาคเป็นคีตกวีในยุคบาร็อค เบโธเฟนและบราห์ม เป็นคีตกวีในยุคโรแมนติก นอกจากนี้บาคเป็นบิดาที่มีบุตรหลายคน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถ้าจะดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว La Dolce Vita (1960) ของเฟเดริโก เฟลลินี สุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพยนตร์ในเรื่องต่อมาของเขาคือ 8 1/2 ในปี 1963 แม้แต่น้อยโดยเฉพาะการสื่อแนวคิดอันลุ่มลึกผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นสัจนิยมนั้นคือไม่ยอมให้จินตนาการกับความ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หนึ่งในบรรดาคีตกวีที่อายุสั้นแต่ผลงานสุดบรรเจิดที่เรารู้จักกันดีคือนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียนามว่าฟรานซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert) ชูเบิร์ตเปรียบได้ดังสหายของเบโธเฟนผู้ส่งผ่านดนตรีจากคลาสสิกไปยังยุคโรแมนติก ด้วยความเป็นคีตกวีผสมนักกวี (และยังเป็นคนขี้เหงาเสียด้วย) ทำให้เขากลายเป็
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
การสังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 เป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจมากซึ่งน่าจะเป็นเรื่อง"ไทยฆ่าไทย" ครั้งสุดท้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สงครามเย็นได้สิ้นสุดไปและคนไทยน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนดีกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่การสังหารหมู่ประชาชนกลางเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ขออุทิศบทความนี้ให้กับโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เป็นเรื่องตลกถึงแม้ผมเอาแต่นำเสนอแต่เรื่องของดนตรีคลาสสิก แต่ดนตรีซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์ความรู้สึกของผมเมื่อ 2-3 ทศวรรษก่อนจนถึงปัจจุบันคือดนตรีแจ๊ส และผมฟังดนตรีชนิดนี้เสียก่อนจะฟังดนตรีคลาสสิกอย่างจริงจังเสียอีก (ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าในป
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากจะเอ่ยชื่อคีตกวีชื่อดังของศตวรรษที่ 19-20 แล้ว คนๆ หนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้อันขาดคือเดบูซี่ผู้ได้ชื่อว่ามีแนวดนตรีแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) และแน่นอนว่าดนตรีแนวนี้ย่อมได้รับอิทธิพลจากศิลปะภาพวาดของฝรั่งเศสซึ่งโด่งดังในศตวรรษที่ 19 โดยมีโมเนต์และมาเนต์เป็นหัวหอก เพลงของเดบูซ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เมื่อพูดถึงเพลงประสานเสียงแล้ว คนจะนึกถึงเพลงสวดศพของโมซาร์ทคือ Requiem หรือ Messiah ของแฮนเดิลเป็นระดับแรก สำหรับเบโธเฟนแล้วคนก็จะนึกถึงซิมโฟนี หมายเลข 9 เป็นส่วนใหญ่ ความจริงแล้วเพลงสวด (Mass) คือ Missa Solemnis อันลือชื่อ ของเขาก็ได้รับความนิยมอยู่ไม่
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
แน่นอนว่าคนไทยย่อมรู้จักเป็นอย่างดีกับฉากของหญิงสาวผมสั้นสีทองในเสื้อและกระโปรงสีดำพร้อมผ้าคลุมด้านหน้าลายยาวที่เริงระบำพร้อมกับร้องเพลงในทุ่งกว้าง เข้าใจว่าต่อมาคงกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังที่มีสาวม้งร้องเพลง "เทพธิดาดอย"อันโด่งดังเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือแม้แต่เนื้อเพลง Lover's Concerto ที่ด
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Debate =discussion between people in which they express different opinions about something อ้างจาก