Skip to main content

อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด ฮิชต์ค็อก สัตยาจิต เรย์ ฯลฯ  (มีคนจัดให้คนเหล่านี้เป็น Auteur หรือผู้ที่สามารถสอดแทรกอิทธิพล รูปแบบและความคิดส่วนตนลงในภาพยนตร์ในเกือบทุกเรื่องจนกลายเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองไป)  ต่อไปนี้ผมแปลมาจากบทความภาษาอังกฤษของจางอี้โหมวในนิตยสารไทม์เอเชีย ปี 1999  เกี่ยวกับคุโรซาวา สำหรับจางอี้ โหมว เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีนที่คนไทยรู้จักกันดีไม่ว่าจะเป็นเรื่อง จูโด้ , Not oneless, Hero หรือ The House of the Flying Dagger (จอมใจบ้านมีดบิน) และเขายังเป็นผู้กำกับพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 2008

 

ผม (จางอี้โหมว)ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหนังเลยก่อนที่จะลงทะเบียนเรียนที่โรงเรียนการสร้างภาพยนตร์ที่กรุงปักกิ่งในปี 1978 การปฏิวัติวัฒนธรรมเพิ่งจะสิ้นสุดลง ผมซึ่งก่อนหน้านั้นทำงานในโรงงานแถบชนบท ต้องการไปเรียนที่วิทยาลัยเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ถึงกลับเคยสมัครที่สถาบันพลศึกษาซีอาน

หนึ่งปีต่อมา ผมก็ได้ดูหนังของคุโรซาวาเป็นเรื่องแรกนั่นคือ Rashomon ผมถึงกลับตกตะลึง และหลายปีหลังจากนั้น ผมก็ได้นั่งอย่างสงบเสงี่ยมท่ามกลางคนดู เฝ้ามองคุโรซาวารับรางวัลความสำเร็จสูงสุด (Lifetime Achievement) ที่เมืองคานส์  ณ ตรงนั้นคือผู้กำกับจากตะวันออกที่เป็นที่รักและได้รับการยกย่องจากคนทั่วโลก ผมไม่เคยพบเขา ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยมีโอกาสก็ตาม ตอนนั้นผมกำลังเดินทางไปทำธุรกิจที่กรุงโตเกียว และได้รับการแนะนำจากเพื่อนชาวญี่ปุ่นให้พบคุโรซาวาขณะกำลังถ่ายทำหนังเรื่อง Ran แต่ผมไม่กล้าไป ถึงอย่างไรเขาก็เป็น ดาชิ (ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในขณะที่ผมเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ในโลกภาพยนตร์

 คุโรซาวาเกิดที่กรุงโตเกียว ปี 1910 เป็นลูกคนที่ 7 ของบิดาที่เป็นทหารและเลี้ยงลูกเข้มงวด ความสนใจในช่วงแรกของเด็กชายคุโรซาวาคือศิลปะการวาดภาพและวรรณคดี รวมไปถึงวรรณกรรมตะวันตก ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมญี่ปุ่นในเวลานั้น ความสนใจนั้นต่อมาได้มีความสำคัญต่ออาชีพผู้กำกับของเขาตลอดไป มุมมองของศิลปินวาดภาพเป็นสิ่งที่ชัดเจนในภาพยนตร์ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังของเขาในช่วงหลังๆ ที่อลังการและคุโรซาวาได้ดัดแปลงโครงเรื่องจากนักเขียนหลายคนเช่นของเช็กส์เปียร์ (2 ครั้ง) ดอสโตเยสกีและเอ็ด แม็คเบน นักเขียนทุ่มเทในเรื่องแนวสืบสวนสอบสวน

 คุโรซาวาได้ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในฐานะเป็นผู้ช่วยผู้กำกับและผู้กำกับฉากหนุ่ม เขากำกับหนังเรื่องแรกคือ ซานชิโร ซึกาตะ ด้วยวัยเพียง 33 ปี และ 5 ปีต่อมาเขาได้กำกับหนังเรื่อง Drunken Angel  ซึ่งนักวิจารณ์กล่าวว่าเป็นภาพยนตร์แบบคุโรซาวาแท้ๆ เรื่องแรก ซึ่งยังอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกกับนักแสดง โตชิโร มิฟูเน ผู้ซึ่งจะร่วมงานกับเขาในภายหลัง อีก 15 เรื่อง (เขาเป็นโจรขี้เมาใน Rashomon หนึ่งในบทบาทการแสดงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 20  และเขายังเป็นซามูไรที่ผันตัวมาจากลูกชาวนาในหนังเรื่องเจ็ดเซียนซามูไร (Seven Samurai) และเป็นแม็คเบ็ธชาวญี่ปุ่นในหนังเรื่อง Thorne of Blood)

Rashomon เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำให้คุโรซาวาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เขาที่ไม่พึงปรารถนากับชื่อเสียงซึ่งมีผลต่อตลอดชีวิตผู้กำกับของเขา คุโรซาวามีลักษณะคล้ายกับสเตนลีย์ คิวบลิก ที่ว่าเขามีพลังแห่งความเป็นศิลปินที่จะไม่ประนีประนอม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือธุรกิจ แม้แต่ผู้ผลิตหนังเรื่อง Rashomon ของเขาก็ไม่เข้าใจในตัวหนัง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในญี่ปุ่นก็ต่อเมื่อเขาได้รับรางวัลนานาชาติ

 หลังจากนั้น คุโรซาวามีปัญหาในเรื่องรายได้เป็นครั้งเป็นคราว ถึงแม้ว่าหนังของเขาคือ Yojimbo จะทำรายได้ในญี่ปุ่นอย่างถล่มถลาย หนังช่วงสุดท้ายของเขาได้รับการสนับสนุนจากฮอลลีวูด และเงินจากผู้กำกับที่ชื่อดังเช่น จอร์จ ลูคัสและ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในตะวันตกมากกว่าญี่ปุ่น ถึงแม้หนังของเขาจะเป็นญี่ปุ่นจ๋าและเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับญี่ปุ่นในช่วงศักดินาก็ตาม หลังจากเสียชีวิตในปี 1998 หรือ 4 ทศวรรษหลังจาก Rashomon ออกฉาย คุโรซาวาก็ถูกลืมจนเกือบหมดสิ้นในญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่นผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม

 

                            

                                      

                                               ภาพจาก www.media.aintitcool.com/

                                                    

นอกจากหนังสุดยอดของเขาเกี่ยวกับนักรบ ซึ่งรวมไปถึง Yojimbo และ Sanjuro  คุโรซาวาได้เล่าเรื่องที่ทิ่มแทงใจคนดู เกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นสามัญในโลกปัจจุบัน ซึ่งหลายๆ คนเป็นแค่คนกระจอกงอกง่อย หนึ่งในนั้นคือเรื่อง High and Low ที่มิฟูเนแสดงเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งแต่ถูกกลั่นแกล้งโดยโจรลักพาตัวจนๆ คนหนึ่ง หนังเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อผมอย่างใหญ่หลวงเพราะความสมจริงของมันและการสะท้อนภาพของสามัญชน

 ผมมีความรู้สึกว่า ภาพยนตร์ของคุโรซาวาทำให้เราเข้าถึงจิตวิญญาณของความเป็นญี่ปุ่น และพลังภายในของคนญี่ปุ่น ถึงแม้เพื่อนร่วมชาติของเขาจำนวนมากจะหาว่าเขาสร้างหนังเพื่อให้คนต่างชาติดู ในช่วงทศวรรษที่ 50  Rashomon ถูกวิจารณ์ว่า แสดงให้เห็นถึงความโง่เขลาของสังคมญี่ปุ่นและความล้าหลังต่อโลกภายนอก แต่ข้อกล่าวหาเช่นนี้ดูเหมือนจะไร้สาระไปแล้วในปัจจุบัน

 ในประเทศจีน ผมก็พบกับคำวิจารณ์อันเผ็ดร้อนเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ผมก็ได้เอากรณีของคุโรซาวามาปลอบใจตัวเอง ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ผลก็ตาม อาจจะเป็นเวลา 20 หรือ 30 ปี ที่คนจีนจะไม่ตัดสินงานของผมด้วยทัศนคติอันคับแคบเช่นนี้อีก

 ในฐานะเป็นคนกำกับภาพ ผมรู้สึกทึ่งกับการเสนอภาพอันยิ่งใหญ่ อลังการของคุโรซาวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากสู้รบ แม้แต่ทุกวันนี้ ผมก็ยังนึกไม่ออกถึงวิธีการของเขา ผมได้ลองไปหาข้อมูลในห้องสมุดภาพยนตร์ของเราและพบว่าเขาใช้ม้าประมาณ 200 ตัวสำหรับฉากการต่อสู้ซึ่งทำให้คนดูเชื่อว่ามีกว่า 1,000 ตัว คนทำหนังอื่นๆ มีเงินมากกว่า มีเทคนิคที่ทันสมัยใหม่กว่าและใช้เทคนิคพิเศษกว่า แต่ไม่มีใครล้ำหน้าเขาได้

 ในปี 1989 ขณะกำลังแสดงภาพยนตร์ต่อสู้ ผมดันขาหักและต้องพักยาวถึง 3 เดือน ผู้กำกับได้เอาวีดิโอ 80 ม้วนมาให้ผมดู ซึ่งรวมไปถึงหนังเกือบทุกเรื่องของคุโรซาวา เพื่อนๆ ต่างมาแออัดกันอยู่ในรถพ่วงของผมเพื่อดูหนัง เพื่อที่จะหาคำตอบให้ได้ว่าท่านอาจารย์ได้สร้างหนังอันอลังการอย่างไร ช่วง 3 เดือนนั้นเป็นเวลาที่ผมได้รับความรู้อย่างมากมาย

 ประมาณสอง 3 อาทิตย์ต่อมา ผมก็ได้ถกกับทีมงานของผมถึงภาพยนตร์ต่อสู้ที่กำลังถ่ายทำกัน เรานึกถึงฉากซึ่งคนหลายคนเล่าถึงเรื่องราวของตัวเองจากมุมมองที่แตกต่างกัน และเราก็นึกขึ้นได้ว่า “เฮ้ยนั่นมัน Rashomon นี่หว่า” ผมแนะนำเพื่อนร่วมงานให้ฝืนใจอย่าลอกเลียนคุโรซาวา เพราะเป็นไปไม่ที่จะทำได้เยี่ยมกว่าของเขา แต่ อิทธิพลอันทรงพลังและยาวนานเช่นนั้นของ Rashomon ย่อมทำให้คนทำหนังทั่วไปอดใจไม่ไหว

 ผมไม่รู้เหมือนกันว่าโลกของคุโรซาวามีความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ หรือไม่ เป็นที่แน่นอนว่า ญี่ปุ่นสำหรับผมในฐานะชาวต่างชาติ เป็นประเทศและผู้คนที่เต็มไปด้วยพลังแต่ถูกแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติหรือบางทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยฉากหลังแบบศิลปะอันแรงกล้า ไม่ใช่เพียงในสายตาของคนทำหนังเท่านั้น หากแต่ในภาพรวมของทั้งประเทศ คุโรซาวาได้สร้างตัวอย่างของหนังแบบชาตินิยมซึ่งเป็นที่นิยมและยอมรับของโลกภายนอก ผมพยายามนำมันมาเป็นบทเรียนในหนังเรื่อง Red Sorghum และ The story of Qiu Ju ด้วยโลกที่เล็กและแคบลง คุโรซาวาได้ทำให้ผมคงไว้ซึ่งตัวละครและรูปแบบจีนๆ อันนี้ถือได้ว่าเป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ของเขาที่ได้ให้กับผู้กำกับหนังเอเชีย

ทุกวันนี้ ผู้กำกับชาวจีนจำนวนมากได้ไปฮอลลีวูด ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดอะไร แต่คุโรซาวาได้มุ่งเน้นหนังไปที่ประเทศของตน ผมจะไม่ไปฮอลลีวูดเช่นเดียวกับเขา ผมหวังว่าจะยืนหยัดในการทำหนังซึ่งหลุดโพ้นจากความเป็นชาติหรือประเทศ จากตะวันออกหรือตะวันตก จากจีนหรือญี่ปุ่น อารมณ์ ความคิดหรือการรับรู้โลกของเราอาจจะแตกต่างกันออกไปและจะไม่มีใครระลึกถึงหลังจากนั้นอีก100 ปี แต่ตัวละครที่โดดเด่นในหนังของเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปชั่วกาลปาวสาน หนังของผมนั้นเป็นจีนอย่างแท้จริง และผมมักจะขอบคุณคุโรซาวาซึ่งได้ให้ตัวอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจและตราตรึงในใจผม

ผมมักจะจำถึงภาพของคุโรซาวาในหนังสารคดีเกี่ยวกับหนังและชีวิตของเขา นั่นคือเขากำลังอยู่ในสถานที่ถ่ายทำ สวมแว่นตากันแดดและหมวกใบเล็กๆ ผมเห็นเขาเดินนำลูกทีมพร้อมด้วยมือกุมหลัง มีผู้ชายคนหนึ่งถือม้านั่งตามไปติดๆ เป็นภาพที่น่าตลก คือเมื่อคุโรซาวาหยุด ลูกน้องก็จะกางม้านั่ง แต่เขาก็จะไม่ยอมนั่งและเดินต่อไป เมื่อตัวผู้แสดงทั้งหมดซึ่งเล่นเป็นนักรบที่ดุดันเห็นท่านอาจารย์เดินมาหา พวกเขาก็ลงจากหลังม้าและโค้งคำนับเขา เขาพูดเพียงไม่กี่คำในขณะที่คนเหล่านั้นฟังอย่างใจจดใจจ่อ คุโรซาวาดูเหมือนผู้บังคับบัญชาหรือพ่อสำหรับพวกเขา เช่นเดียวกับที่เขาเป็นสำหรับผู้กำกับหนังชาวเอเชียทุกคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับผม        

 

 

                     

                              ภาพจาก  www.i.imgur.com/

 

ภาพยนตร์ของคุโรซาวาที่จัดกันว่าดีที่สุด 10 เรื่องโดยเดอะเกอร์เดียนของอังกฤษ (เรียงตามปี)   https://www.theguardian.com/film/filmblog/2010/mar/23/akira-kurosawa-100-google-doodle-anniversary

1) Drunken Angel (1948)

2) Stray Dog (1949)

3) Rashômon (1950)

4) The Idiot (1951)

5) Ikiru (1952)

6) Seven Samurai (1954)

7) Throne of Blood (1957)

8) The Hidden Fortress (1958)

9) Yojimbo (1961)

10) Ran (1985)

 

 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถือได้ว่า It's A Wonderful Life เป็นภาพยนตร์ที่อเมริกันชนแสนจะรักใคร่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังชีวิตในยุคหลังมากมายหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้ยังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีในอเมริกา คอหนังอเมริกันมักจะเอยชื่อหนังเรื่อง
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ  มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44  ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect  Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ  กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982)  สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด