Skip to main content

นายยืนยง

25_7_01

ชื่อหนังสือ
: ผู้คนใกล้สูญพันธุ์

ผู้เขียน : องอาจ เดชา

ประเภท : สารคดี

จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา ..2548


ได้อ่านงานเขียนสารคดีที่เป็นบทบันทึกช่วงชีวิตของอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ที่กลั่นร้อยจากความมุ่งมั่นขององอาจ เดชา นักเขียนสารคดีหนุ่มมือเอกแล้ว มีหลายความรู้สึกที่อยากเล่าสู่กันฟัง อีกทั้งทำให้อยากลุกมาเขียนจดหมายถึงคนต้นเรื่องคนนั้นด้วย


กล่าวถึงงานเขียนสารคดีสักครู่หนึ่งเถอะ...

สารคดีเป็นงานเขียนที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ข้อมูลทุกรายละเอียดล้วนเคารพต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันงานเขียนสารคดีเล่ม ผู้คนใกล้สูญพันธุ์ นี้ เป็นลักษณะกึ่งอัตชีวประวัติ เนื่องจากตัวคนต้นเรื่องไม่ได้ลงมือเขียนเอง หากแต่มีนักเขียนเข้ามาสำรวจ พินิจพิเคราะห์แง่มุมชีวิต เก็บเนื้อหารายละเอียดแล้วสังเคราะห์อย่างพิถีพิถัน เพื่อถ่ายทอดในมุมมองของนักเขียน เหมือนเป็นการส่งผ่านแง่มุมชีวิตของคนคนหนึ่ง ไปถึงผู้อ่านให้ร่วมรู้สึกกับไปสายธารชีวิต

จากเชื้อเจ้าล้านนา...สู่ขบถสามัญชน ฝีมือของ องอาจ เดชา ถ่ายทอดผ่านมุมมองที่ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาจะยกยอปอปั้นราวเชิดชูวีรบุรุษ ที่เราอาจได้ผ่านพบมาจนเคยชินแล้ว หากแต่เป็นมุมมองที่เป็นศิลปะมากกว่า แม้นแวบแรกเราจะเห็นพลังของงานเขียนเชิงโศกนาฏกรรมอยู่ในเนื้องานด้วย


หากชีวิตคือโศกนาฏกรรม เราคงต้องเพิ่มเติมลงไปด้วยว่า โศกนาฏกรรมคือความงามได้ด้วยเช่นกัน

แต่ความเศร้าโศกจะเป็นความงดงามได้อย่างไร ผู้อ่านเท่านั้นจะรู้สึกได้


ในสารคดีขนาดสั้นเรื่องนี้ องอาจ เดชา เลือกใช้ภาษาละเอียดละไมเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของ

อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ตัวเขาเอง และเสียงจากสังคมคนแวดล้อม


ค่ำนี้, อากาศขมุกขมัว แหงนเงยหน้ามองฟ้า...ฟ้าช่างดูหมองหม่นด้วยฝุ่นเมือง พลอยทำให้ความรู้สึกของเขานั้นเศร้าลึก ยิ่งยามลมหนาวฤดูพัดโชยผ่านเข้ามาเย็นยะเยียบ คล้ายเสียดแทงหัวใจให้ปวดแปลบ สีหน้าของเขายามนี้ดูกระวนกระวาย เหมือนกำลังครุ่นคิดลอยไปไกลแสนไกล...

(จากหน้า 61 )


ตัวละคร เขา คือ อ้ายแสงดาว ที่องอาจ เดชา เข้าไปร่วมผสานตัวตนแล้วกลั่นกรองออกมาเป็น

มโนภาพที่สามารถสะท้อนตัวตนของอ้ายแสงดาวออกมาอีกทีหนึ่ง เป็นกลวิธีการเขียนที่เสมือนได้ก้าวออกมาจากกฎเกณฑ์ของงานเขียนแบบสารคดี หากแต่ยังคงสุ้มเสียงของข้อเท็จจริงไว้ นักเขียนสารคดีที่ใช้วิธีการเขียนแบบนี้ ย่อมต้องอาศัยพลังและแรงบันดาลใจอย่างสูงสุด มิเช่นนั้น ผู้อ่านเองจะสัมผัสได้ถึงความขัดเขินบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในงานนั้น


นอกจากนั้น องอาจ เดชา ยังใช้วิธีการแบ่งเนื้องานเป็นบทตอนสั้น ๆ เพื่อตรึงและหยุดผู้อ่านไว้ด้วยจังหวะของชีวิต มีการเปิดภาพตัวตนของอ้ายแสงดาวในตอนแรก เพื่อนำพาผู้อ่านก้าวไปสู่บทต่อไป


บทแรก
..ย้อนรอยอดีต เชื้อสายเจ้าล้านนา ที่เสริมข้อมูลของต้นตระกูลเจ้าศักดินาทางถิ่นภาคเหนือที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งยังมีการเปรียบเปรยภาพธรรมชาติผสานเข้ามาเป็นระยะตลอดทั้งเรื่อง


เช่น หน้า
65

ไม่ว่าใบไม้ชราที่ร่วงซบผืนดิน หรือว่าใบไม้อ่อน ย่อมมีคุณค่าอยู่ตามห้วงจังหวะแห่งกาลเวลามิใช่หรือ

หรือตอน ห้วงฝันวัยเยาว์ ตอนวัยเรียน วัยมันกับความคึกคะนอง ตอน ชีวิต อุดมการณ์ และความรัก

ข้อดีของการแบ่งเนื้อหาเป็นบทตอนนั้น ทำให้งานเขียนชวนอ่านมากขึ้น มีจังหวะจะโคนที่ลงตัวเป็นทำนองเดียวกับช่วงชีวิต


นอกจากแง่มุมงดงามที่องอาจ เดชา เรียบเรียงไว้อย่างลงตัวแล้ว ภาษาของเขายิ่งชวนให้เนื้องานสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หากใครได้อ่านคงต้องลงความเห็นไว้คล้ายกันว่า เป็นภาษาที่ประณีตนุ่มนวลยิ่ง งามดั่งบทกวี เช่นนั้นทีเดียว โดยเฉพาะการบรรยายความรู้สึก นึก คิด แล้วด้วย


สารคดีเรื่องนี้ องอาจ เดชาได้นำแง่มุม และรายละเอียดเล็ก ๆ เข้ามาเชื่อมโยงอย่างมีต้นสายปลายเหตุเพื่อนำเสนอภาพชีวิตที่เป็นเสมือนบทกวีของเขา ทั้งงดงามและเศร้า หม่นหมองในตัวเองแต่กลับจุดประกายให้ผู้คน

อย่างนี้นี่เอง ใครต่อใครจึงพากัน รัก เขา อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น กวีเพื่อมวลประชา


ว่ากันว่า เฉพาะช่วงปี 2523 2528 เขาเขียนจดหมายวันละ 7 8 ฉบับ ประมาณ 200 กว่าฉบับต่อเดือน ทำไม แสงดาว ศรัทธามั่น ถึงต้องเขียนจดหมาย และทุกครั้ง ที่เขากำลังขีดเขียนถึงใครอยู่นั้น เขามีความรู้สึกเช่นไร...ผมมิอาจล่วงรู้ได้

(จากหน้า 106 )


แดดลับดอยสุเทพไปนานแล้วทางทิศตะวันตก (หน้า 61)

โลกค่อยทยอยหม่นมืดเป็นละอองกลางคืนคล้ายกำลังซุกหน้าพักผ่อน ฉันคิดถึงวันเวลาที่กำลังเคลื่อนไหวในเรา


อ้ายแสงดาวที่นับถือ


ที่นี่ลมฝนฤดูเข้าพรรษาเย็นชื่นใจเหลือเกิน หยาดน้ำจากฟ้าช่างละเอียดอ่อนเหมือนเจ้าพัดมาจากที่แสนไกล สูงขึ้นไปนั่น หรือเจ้ามาจากสรวงสวรรค์กันหนอ


ฉันคงคิดไกลเกินไปแล้ว เพราะต่อให้สรวงสรรค์ชั้นฟ้าบันดาลฝนวิเศษให้เราได้ทุกฤดู เราก็ยังไม่รักกันอยู่นั่นเอง และถ้าเราไม่รักกันแล้ว ความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้อีกหรือ แม้แผ่นดินจะแบ่งแยกเป็นกี่ล้านเสี่ยง

เราก็ไม่อาจเคารพกันได้ ประเทศนี้เป็นอะไรไป ใครกันที่พัดพาตะกอนความโกรธแค้นมาขังนิ่งอยู่ที่นี่

นายคนนั้นที่นั่งบื้อเป็นนายกแห่งชาติ บรรดาผู้ปกครองผู้เสพเลือดเนื้อของประชาชนเป็นภักษาหาร

นายนักวิชาการผู้สวมวิญญาณเทพยดาแห่งสากลโลก หรือบรรดาประชาชนผู้ยินยอมถูกบงการและบังคับให้เง่า ง่อยและหมดสิ้นชีวิต ใครกันหนอ


อ้ายแสงดาว กวีของประชาชนอยู่ที่ไหน เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เปล่าเลย เราไม่ต้องการฟังบทกวีที่พวกเขาอ่านบนเวที เราไม่ต้องการอ่านบทกวีของเขาที่บรรยายชีวิตพวกเราอย่างกล้องดิจิตอลถ่ายภาพทิวทัศน์ เราไม่ต้องการให้พวกเขาขับกล่อม ปลอบประโลมเหมือนอย่างเราเป็นคนบ้องตื้น เราไม่ต้องการ..

จะมีก็แต่กวีของประชาชนที่แท้เท่านั้นจะรู้ว่า เราและพวกเขาก็คือประชาชนโดยเท่าเทียม


ที่นี่..และที่ไหนในประเทศนี้ เราต่างย่ำอยู่ ย่ำอาศัยด้วยความอาดูรสูญสิ้นแล้ว

แม้เราจะเศร้าลึกเพียงไร แม้เราจะหดหู่อ้างว้างเช่นดั่งไม้ประดับในกระถางพลาสติกที่วางอยู่... เพียงไร

เราก็ไม่อาจหลงลืมซึ่งกันและกัน เราไม่อาจแสร้งเผลอลืมไปได้ว่า ลมหายใจของพวกเราล้วนซึมซาบอยู่หลอมรวมอยู่ระหว่างกัน เป็นดั่งพืชพันธุ์ไม้ที่ต่างเติบกล้าขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้ ขณะที่ไฟป่ากำลังไหม้ลาม ค่อยลุกโพลงขึ้นในม่านแดน ยามย่ำค่ำคืนนั้น มันก็ซาลงด้วยลมหายใจของเรา และเช้าวันใหม่กับดวงอาทิตย์ฤดูหมุนเปลี่ยน ไฟก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง อ้ายแสงดาว เราต่างเป็นพันธุ์ไม้ในป่าที่กำลังจะถูกเปลวเพลิงหักโค่นลงใช่หรือไม่...


รากเหง้าของเรากำลังถูกขุดขึ้นมา ดึงออกมาจากใต้ดิน ถูกชะล้าง ขัดสีเก่าออก แล้วค่อยนำมาอวดขาย

ความสงบเสงี่ยม ความรักสงบของเรากำลังถูกราดด้วยน้ำมันและเปลวเพลิงจากไม้ขีดก้านเดียวในมือเหล่าเด็ก ๆ ที่เล่นขายของในสภา

ศักดิ์ศรีของเราที่วางอยู่บนหน้าผาก ถูกคนรักชาติที่หน้าผากถ่มน้ำลายรด

เราไม่สามารถจะบำเพ็ญกรณียะกิจแห่งชีวิตปกติของเราได้เลย

ถ้าหากว่า เราจะปล่อยทุกอย่างให้ไหลสู่กระแสธารมฤตยูนั้น

เราจะคลางแคลงใจไหมว่า เรายังคงเป็นสิ่งมีชีวิต


อ้ายแสงดาว ที่นับถือ

โปรดทักทายเราด้วยคำว่า บุญฮักษา เถิด

ยังจำได้ไหมว่า โอลิเวอร์ ทวิสต์ ผู้กำพร้าในโรงเลี้ยงเด็กรู้สึกเช่นไรจึงกล้าพูดออกไปว่า

I want some more… ”

………………........…………….


บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ                     :    เค้าขวัญวรรณกรรมผู้เขียน                         :    เขมานันทะพิมพ์ครั้งที่สอง (ฉบับปรับปรุง) ตุลาคม ๒๕๔๓     :    สำนักพิมพ์ศยาม  
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อนิตยสาร      :    ฅ คน ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๕ (๒๔)  มีนาคม ๒๕๕๑บรรณาธิการ     :    กฤษกร  วงค์กรวุฒิเจ้าของ           :    บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชะตากรรมของสังคมฝากความหวังไว้กับวรรณกรรมเพื่อชีวิตเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว  หากเมื่อความเป็นไปหรือกลไกการเคลื่อนไหวของสังคมถูกนักเขียนมองสรุปอย่างง่ายเกินไป  ดังนั้นคงไม่แปลกที่ผลงานเหล่านั้นถูกนักอ่านมองผ่านอย่างง่ายเช่นกัน  เพราะนอกจากจะเชยเร่อร่าแล้ว ยังเศร้าสลด ชวนให้หดหู่...จนเกือบสิ้นหวังไม่ว่าโลกจะเศร้าได้มากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายรวมว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่แต่กับโลกแห่งความเศร้าใช่หรือไม่? เพราะบ่อยครั้งเราพบว่าความเศร้าก็ไม่ใช่ความทุกข์ที่ไร้แสงสว่าง  ความคาดหวังดังกล่าวจุดประกายขึ้นต่อฉัน เมื่อตั้งใจจะอ่านรวมเรื่องสั้น โลกใบเก่ายังเศร้าเหมือนเดิม ของ…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ       :    รายงานจากหมู่บ้าน       ประเภท         :    กวีนิพนธ์     ผู้เขียน         :    กานติ ณ ศรัทธา    จัดพิมพ์โดย     :    สำนักพิมพ์ใบไม้ผลิพิมพ์ครั้งแรก      :    มีนาคม  พ.ศ. ๒๕๕๐เขียนบทวิจารณ์     :    นายยืนยง
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ      :    ลิกอร์ พวกเขาเปลี่ยนไปประเภท    :    เรื่องสั้น    ผู้เขียน    :    จำลอง  ฝั่งชลจิตรจัดพิมพ์โดย    :    แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งแรก    :    มีนาคม  ๒๕๔๘    
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด ๔๒ ( ตุลาคม – ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา สาเหตุที่วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตยังคงมีลมหายใจอยู่ในหน้าหนังสือ มีหลายเหตุผลด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตัวนักเขียนเองที่อาจมีรสนิยม ความรู้สึกฝังใจต่อวรรณกรรมแนวนี้ว่าทรงพลังสามารถขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาสังคมได้ ในที่นี้ขอกล่าวถึงเหตุผลนี้เพียงประการเดียวก่อน คำว่า แนวเพื่อชีวิต ไม่ใช่ของเชยแน่หากเราได้อ่านเพื่อชีวิตน้ำดี ซึ่งเห็นว่าเรื่องนั้นต้องมีน้ำเสียงของความรับผิดชอบสังคมและตัวเองอย่างจริงใจของนักเขียน…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ      :    เถ้าถ่านแห่งวารวัน    The Remains of the Day ประเภท            :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย    :    แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งที่ ๑    :    กุมภาพันธ์   ๒๕๔๙ผู้เขียน            :    คาสึโอะ  อิชิงุโระ ผู้แปล            :    นาลันทา  คุปต์
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือ      :    คลื่นทะเลใต้ประเภท    :    เรื่องสั้น    จัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก    :    ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  ผู้เขียน    :    กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุง เรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตในเล่ม คลื่นทะเลใต้เล่มนี้  ทุกเรื่องล้วนมีความต่าง…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ : คลื่นทะเลใต้ประเภท : เรื่องสั้น    จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  ผู้เขียน : กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุงวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นมีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตลอดเวลาถึงปัจจุบัน ในยุคหนึ่งเรื่องสั้นเคยเป็นวรรณกรรมที่สะท้อนสภาวะปัญหาสังคม สะท้อนภาพชนชั้นที่ถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ และยุคนั้นเราเคยรู้สึกว่าเรื่องสั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมได้…
สวนหนังสือ
‘พิณประภา ขันธวุธ’ ชื่อหนังสือ : ฉลามผู้แต่ง: ณัฐสวาสดิ์ หมั้นทรัพย์สำนักพิมพ์ : ระหว่างบรรทัดข้อดีของการอ่านิยายสักเรื่องคือได้เห็นตอนจบของเรื่องราวเหล่านั้นไม่จำเป็นเลย...ไม่จำเป็น...ที่จะต้องเดินย่ำไปรอยเดียวกับตัวละครเล่านั้นในขณะที่สังคมไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ความเป็น “วัตถุนิยม” ที่เรียกว่า เป็นวัฒนธรรมอุปโภคบริโภค อย่างเต็มรูปแบบ ลัทธิสุขนิยม (hedonism) ก็เข้ามาแทบจะแยกไม่ออก ทำให้ความเป็น ปัจเจกบุคคล ชัดเจนขึ้นทุกขณะ ทั้งสามสิ่งที่เอ่ยไปนั้นคน สังคมไทยกำลัง โดดเดี่ยว เราเปิดเผยความโดดเดี่ยวนั้นด้วยรูปแบบของ ภาษาและถ้อยคำสำนวนที่สะท้อนโลกทัศน์ของความเป็นปัจเจกนิยมได้แก่ เอาตัวรอด…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’  ชื่อหนังสือ      :    วิมานมายา  The house of the sleeping beautiesประเภท         :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้าพิมพ์ครั้งที่ ๑   :    มิถุนายน ๒๕๓๐ผู้เขียน          :    ยาสึนาริ คาวาบาตะ ผู้แปล           :    วันเพ็ญ บงกชสถิตย์   
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือประเภทจัดพิมพ์โดยผู้ประพันธ์ผู้แปล:::::เปโดร  ปาราโม ( PEDRO  PARAMO )วรรณกรรมแปลสำนักพิมพ์โพเอม่าฮวน รุลโฟราอูล  การวิจารณ์วรรณกรรมนั้น บ่อยครั้งมักพบว่าบทวิจารณ์ไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านหรืออ่านวรรณกรรมเล่มนั้นแล้วได้เข้าใจถึงแก่นสาร สาระของเรื่องลึกซึ้งขึ้น แต่สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่บทวิจารณ์ต้องมีคือ การชี้ให้เห็นหรือตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดเด่นสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ของวรรณกรรมเล่มนั้น วรรณกรรมที่ดีย่อมถ่ายทอดผ่านมุมมองอันละเอียดอ่อน ด้วยอารมณ์ประณีตของผู้ประพันธ์…