‘นายยืนยง’
ชื่อหนังสือ : วิมานมายา The house of the sleeping beauties
ประเภท : วรรณกรรมแปล
จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : มิถุนายน ๒๕๓๐
ผู้เขียน : ยาสึนาริ คาวาบาตะ
ผู้แปล : วันเพ็ญ บงกชสถิตย์
การนอนหลับและการฝันเป็นกิจกรรมตามปกติของมนุษย์ บางครั้งฝันร้ายทำให้เราหวาดผวาไปหลายวัน บางภาพฝันก็เวียนซ้ำหลอกหลอนอย่างยากจะสลัดให้ลืม แต่บางภาพฝันก็ผ่านวาบไร้ร่องรอยในความรู้สึก
Sigmund Freud ได้ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการนอนหลับและความฝัน เขารู้สึกว่า โดยทั่วไปแล้ว ในความฝันมีเนื้อหาที่แอบแฝงเกี่ยวพันกับความปรารถนาซึ่งไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งจะสร้างความปวดร้าวหรือทุกข์ใจ ขณะในงานวรรณกรรมหลายเรื่องได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเนื้อหาของความฝันเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ในนวนิยายเรื่อง สมัญญาแห่งดอกกุหลาบบทประพันธ์ของ อุมแบร์โต เอโก ที่ตัวเอกเอดโซสามารถถอดรหัสเพื่อหาทางเข้าไปยังหออาลักษณ์ได้จากความฝันอันแสนแปลกพิสดารของเขาเอง แม้กระทั่งภาพความฝันของ Kakule นักเคมีชาวเยอรมัน ซึ่งกำลังครุ่นคิดถึงโครงสร้างต่างๆ ของน้ำมันเบนซินซึ่งดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเอาเลย แต่ในความฝันของเขามันได้เสนอแนะถึงโครงสร้างวงแหวนอันหนึ่งที่เสนอทางออก หรือการแก้ปัญหาที่ถูกต้องให้กับเขาและแม้กระทั่งในตำราทำนายฝันที่เราคุ้นเคยกันดี
ในที่นี้ขอกล่าวถึง วิมานมายาวรรณกรรมเล่มกะทัดรัดบทประพันธ์ของ ยาสึนาริ คาวาบาตะ ที่ วันเพ็ญ บงกชสถิตย์ ได้ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอย่างเต็มอรรถรสโดยคงเค้าลีลาอย่างวรรณกรรมสัญชาติญี่ปุ่นไว้อย่างชัดเจน
วิมานมายา ประพันธ์ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๖๐ –๑๙๖๑ ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมญี่ปุ่นกำลังประสบกับปัญหามากมาย เช่นการต่อต้านการต่อสนธิสัญญาร่วมกันป้องกันระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกา (Ampo Toso) ที่มีการต่อต้านกันทั่วประเทศ ฝ่ายขวาจัดได้ขู่สังหารฟูกาซาว่าชิชิโร่ที่ได้ประพันธ์เรื่องที่หมิ่นสถาบันจักรพรรดินายกรัฐมนตรีถูกทำร้ายร่างกาย อาซานุมะเลขาธิการพรรคสังคมนิยมถูกวัยรุ่นขวาจัดลอบสังหารตอนปราศรัยที่สวนฮิบิย่า เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นเหตุการณ์ร้ายคุกคามเสถียรภาพของสังคมญี่ปุ่น งานประพันธ์ของคาวาบาตะชิ้นนี้จึงเป็นการแสวงหาความกลมกลืนของคนกับสังคมในโลกวรรณกรรม ที่ทั้งคนและฉากนั้นผิดจากสังคมธรรมดา (คัดมาจาก คำนำ)
วิมานมายาเป็นเรื่องราวประสบการณ์แปลกของชายชราวัย ๖๗ นาม เองุชิ ผู้หมดสมรรถภาพทางเพศแล้วเขาได้เข้าไปใช้บริการบ้านนางนิทรา ได้นอนหลับเคียงข้างสาวน้อยพรหมจาริณีที่เปลือยกายและหลับสนิท โดยเล่าเรื่องผ่านกระแสความรู้สึกนึกคิดของเฒ่าเองุชิ ที่ถูกกระตุ้นโดยบุคลิกภาพเฉพาะของนางนิทราจำนวน ๖ คนใน ๕ ค่ำคืน
เด็กสาวพรหมจาริณีแต่ละนางล้วนถูกทำให้หลับสนิทราวกับจะไม่มีวันตื่นอีกแล้ว เรือนร่างอันงดงามเหล่านั้นล้วนปลุกเร้าให้เฒ่าเองุชิได้ย้อนกลับไปเป็นคนหนุ่มอีกครั้ง ด้วยความนึกคิดถึงเรื่องราวในอดีตรูปการณ์นี้เองที่เป็นความขัดแย้งสำคัญของเรื่อง โดยสองขั้วระหว่างเพศชายหญิงและสองขั้วระหว่างวัยสาวกับวัยชรา ขณะที่ฝ่ายชายชราได้มองเห็นตัวเองจากสาววัยแรกรุ่น เรือนร่างเด็กสาวนิทราก็เป็นฝ่ายคอยตอกย้ำกระตุ้นให้ชายชราตระหนักในความรัดทด หดหู่และความตายสิ่งนี้กระมังที่ให้หญิงสาวผู้หลับใหลกลับมีชีวิตขึ้นมา
แต่ละค่ำคืนเฒ่าเองุชิได้นอนหลับเคียงข้างนางนิทรา เรื่องราวต่างๆค่อยรินออกมาจากความทรงจำในวัยหนุ่มกระทั่งเขาหลับไปความฝันจึงเข้ามามีบทบาทในเรื่อง
หลักใหญ่ใจความของเรื่องดำเนินอยู่ในรูปแบบของการพรรณนาถึงสภาวะของจิตวิญญาณอันโดดเดี่ยว โหยหาของชายชราเป็นสภาวะที่เกือบจะเรียกได้ว่าฟุ้งฝันเพ้อเจ้อแต่ในความเบาหวิวเลื่อนลอยนั้นล้วนเป็นเรื่องที่น่าครุ่นคิดยิ่ง
จากวรรณกรรมเล่มนี้ เราจะสะดุดใจกับการเปรียบเปรยที่เต็มไปด้วยนัยยะทางปรัชญาจะได้เห็นพฤติกรรมของเฒ่าเองุชิ ที่แปรไปตามบุคลิกจำเพาะของสาวนิทราแต่ละนางในที่นี้ อยากกล่าวเกี่ยวกับความฝันแม้จะไม่ได้หัวใจของเรื่องแต่เราก็ไม่อาจละเลย
ประสบการณ์ครั้งแรกของเฒ่าเองุชินั้น เขาได้กลิ่นน้ำนมจากกลิ่นกายของนางนิทรา ทำให้หวนระลึกถึงชู้รักที่เป็นเกอิชานางรู้ว่าเขาแต่งงานและมีลูกแล้ว และนางขยะแขยงกลิ่นน้ำนมที่เป็นกลิ่นประจำตัวของทารกซึ่งติดตัวเขามา เมื่อได้พบกันเมื่อหลับตาลงเขาคิดถึงวันคืนที่เขาหนีไปเกียวโตพร้อมเด็กสาวที่มีรอยเลือดตรงทรวงอก แต่เขาก็ไม่ได้แต่งงานกับเธอจากนั้นก็หลับลงอย่างง่ายดายด้วยยานอนหลับที่หญิงเจ้าของบ้านจัดไว้ให้เขาฝันไปว่า (หน้า ๔๔)
ตนอยู่ในอ้อมอกของผู้หญิงที่มีสี่ขา ขาทั้งสี่นั้นกระหวัดเกี่ยวเขาไว้ หล่อนมีแขนด้วย แม้ว่าเขาจะ อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นเขาก็รู้สึกว่าการมีสี่ขาค่อนข้างเป็นเรื่องประหลาดแต่ไม่น่าขยะแขยง ขาทั้งสี่นั้นเย้ายวนอารมณ์มากกว่าขาสองขาและความรู้สึกนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในใจ ...
ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าเรื่องราวจากกระแสสำนึกของเฒ่าเองุชิที่ลื่นไหลออกมาจากความทรงจำ จากการถูกกระตุ้นด้วยเรือนร่างของนางนิทรานั้นล้วนเป็นเรื่องราวที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทั้งการหนีไปพร้อมเด็กสาวทั้งพฤติกรรมชู้สาวกับเกอิชาล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เขาฝันประหลาดดังกล่าว
ตามความคิดของ Freud สัญลักษณ์ของความฝันส่วนใหญ่แล้วมีความหมายไปทางด้านเซ็กซ์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าความฝันดังกล่าวของเฒ่าเองุชิที่ว่าหญิงที่มี ๔ ขานั้นไม่น่าขยะแขยงทั้งยังน่าเย้ายวนมากกว่า ๒ ขาได้ถูกบีบอัดรวมตัวมาจากความคิดรู้สึกผิดจากประสบการณ์ทางเพศในวัยหนุ่ม ขณะเดียวกันเขารู้สึกสุขสำราญใจกับการได้ประพฤติเชิงชู้สาวแบบนั้นความฝันจึงออกมาในรูปปฏิเสธ ดังนั้นความรู้สึกในความฝันหญิงที่มี๔ขาจึงไม่น่าเกลียดและยิ่งเย้ายวน
อีกภาพความฝันหนึ่งที่เกิดขึ้นในคืนเดียวกัน (หน้า ๔๕)
ลูกสาวคนหนึ่งของเขาให้กำเนิดบุตรพิการที่โรงพยาบาล เมื่อตื่นขึ้นมาผู้ชราก็ลืมไปแล้วถึงความ พิการนั้นว่าเป็นความพิการชนิดใด บางทีเขาอาจจะไม่ต้องการจำมันก็ได้เพราะไม่น่าดู เด็กถูก แยกจากแม่ทันที แกอยู่หลังม่านสีขาวในห้องผู้เป็นมารดา หล่อนจับเด็กสับเป็นชิ้น ๆ และเตรียม ที่จะโยนแกทิ้งไป หมอในชุดขาวซึ่งเป็นเพื่อของเองุชิยืนอยู่ข้างหล่อน ตัวเองุชิเองก็ยืนอยู่ข้าง หล่อนเช่นกัน ... ฯลฯ
จากภาพความฝันชุดนี้ การที่เขายืนอยู่ข้างลูกสาวขณะหล่อนสับทารกพิการเป็นชิ้น ๆ นั้นน่าจะเกี่ยวโยงกับกลิ่นน้ำนม ที่ได้จากกลิ่นกายของนางนิทราที่นอนอยู่เคียงข้างเขา กลิ่นน้ำนมและทารกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทิน และความบริสุทธิ์ดังกล่าวกระมังที่เขาไม่อาจยอมรับได้ จากหน้า ๕๙ พรหมจารีย์ของเด็กสาวเป็นเสมือนความอัปลักษณ์ของชายชรามากกว่า ดังนั้นในความฝันเขาจึงยืนอยู่ข้างลูกสาว
Freud ยืนยันว่าความฝันต่าง ๆ เป็นรูปการอันหนึ่งของการทำให้ความปรารถนาที่ถูกกดข่มได้บรรลุผล หรือมีช่องทางการแสดงออกถ้าความปรารถนานั้นไม่ได้รับความพึงใจในยามกลางวันตามปกติ จิตใจก็จะปฏิบัติการหรือแสดงปฏิกิริยาของมันด้วยการกระตุ้นภายในโดยการแปรเปลี่ยนไปสู่สภาพเพ้อฝัน (visual fantasy) ซึ่งยอมให้ผู้ฝันพึงพอใจกับความปรารถนาอันนั้น ผลลัพธ์ของความฝันเหล่านั้นก็คือทำให้การนอนหลับในยามค่ำคืนเป็นไปอย่างสงบ ดังนั้นเมื่อเองุชิได้แสดงปฏิกิริยาในความฝันแล้วเขาจึงหลับใหลไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากเนื้อหาจากความฝันแล้ว วิมานมายายังเต็มไปด้วยลักษณะพิเศษอีกหลายประการซึ่งล้วนน่าศึกษายิ่งเป็นวรรณกรรมแปลอีกเล่มที่นักอ่านไม่ควรละเลย
นอกจากนี้วรรณกรรมอีกหลายเรื่องที่ใช้ความฝันเป็นกลไกอธิบายสภาวะบางด้านมนุษย์ เนื่องจากในโลกของการตื่นนั้นอาจชัดแจ้งเกินไปที่จะถ่ายทอดหากโลกของความตื่นมีมิติให้ค้นหาแล้วโลกของความฝันย่อมมีสิ่งท้าทายรออยู่เช่นกัน.
ข้อมูลอ้างอิง : บทความเรื่อง การนอนหลับและการฝัน การศึกษาทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาเรียบเรียงโดยอาจารย์ สมเกียรติ ตั้งนโม , มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน