Skip to main content

นายยืนยง

 

ขบวนรถไฟสายตาสั้น

ขึ้นชื่อว่า “วรรณกรรม” อาจเติมวงเล็บคล้องท้ายว่า “แนวสร้างสรรค์” เรามักได้ยินเสียงบ่นฮึมฮัม ๆ ในทำนอง วรรณกรรมขายไม่ออก ขายยาก ขาดทุน เป็นเสียงจากนักเขียนบ้าง บรรณาธิการบ้าง สำนักพิมพ์บ้าง ผสมงึมงำกัน เป็นเหมือนคลื่นคำบ่นอันเข้มข้นที่กังวานอยู่ในก้นบึ้งของตลาดหนังสือ แต่ก็ช่างเป็นคลื่นอันไร้พลังเสียจนราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ทำให้ต้องไปถามคนอ่านต่อว่า ทำไมไม่อ่านวรรณกรรมกันบ้างล่ะครับ ล่ะคะ งานเขียนประเทืองปัญญาทั้งนั้น ทำไมไม่ซื้อกันบ้างล่ะคะ ล่ะครับหนังสือที่เขาว่าดี ๆ น่ะ ที่เขาว่าอ่านแล้วจรรโลงใจ

ไม่ทราบว่าคนอ่านเขาจะตอบว่าอย่างไร ใครจะอ้างพิษเศรษฐกิจ ใครจะอ้างเรื่องสมดุลเวลาในชีวิตที่ไม่เอื้ออำนวยให้อ่านหนังสือ หรือใครจะอ้างอย่างไรก็สุดแล้วแต่ แต่.. ขอถามนักเขียนบ้างล่ะว่า ในเมื่อจำนวนคนอ่านไม่ตอบสนองปริมาณหนังสือวรรณกรรม ที่แม้แต่จะพิมพ์ขายกันแค่ไม่กี่พันเล่มก็ยังขายไม่หมด หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่า ( “เขา” ในที่นี้เป็นบุคคลปริศนาอย่างแท้จริง เนื่องจากมันคอยย่ำต้อกอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกของฉัน โดยไม่เคยเผยให้เห็นใบหน้าใต้หน้ากากของมันเลยสักครั้ง)

เขาว่า วงการวรรณกรรมไทยเรานี้ ดำเนินไปในลักษณะ วานกันเขียน เวียนกันอ่าน แล้วก็พาลกันเอง
ถ้าเข้ากรณีนี้ ก็เท่ากับนักเขียน วงการวรรณกรรมไทยเรานี้ก็ช่างคับแคบเสียจนนับนิ้วมือได้ ซึ่งก็ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง ยิ่งถ้านักเขียนด้วยกันไม่ซื้อผลงานของกันและกันแล้ว จะหวังพึ่งคนอ่านนอกวงการยิ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากขบวนรถไฟวรรณกรรมสายนี้ ห้อตะบึงไปอย่างลุ่น ๆ โดยไม่ยี่หระทัศนียภาพรอบข้าง ไม่แม้แต่จะจอดรับผู้โดยสารตามสถานีรายทาง ไม่ว่าจะเป็นเพราะเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี หรือเพราะไม่ได้สวมแว่นสายตา หรืออย่างร้ายก็เป็นบุคคลประเภทสายตาสั้น คือ หากมองในระยะใกล้ก็พอมองเห็นชัด แต่ถ้ามองในระยะใกล้ออกไป ภาพมักจะลางเลือน แต่ไม่ยอมสวมแว่นสายตาเพื่อปรับมุมมองให้ตัวเอง

แต่ถ้าวงการวรรณกรรมไทยไม่คับแคบดังกล่าว จะพิจารณาหาสาเหตุได้จากฝ่ายใดบ้าง
หากใช้หลักอุปสงค์-อุปทาน ก็ประกอบไปด้วย 2 ฝ่าย คือผู้ผลิตกับผู้บริโภค นั่นคือนักเขียนกับคนอ่าน

ในส่วนของคนอ่านซึ่งแน่นอนว่าความต้องการบริโภคหนังสือวรรณกรรมมีน้อยกว่าปริมาณหนังสือวรรณกรรม จึงทำให้ยอดขายตกต่ำ หนังสือขายไม่ออก นอกจากจะอยู่ในช่วงลดราคาที่ขายหนังสือได้บ้าง ซึ่งหากจะถือว่ากระบวนการสื่อสารวรรณกรรมสิ้นสุดลง ณ เครื่องแคชเชียร์ของร้านหนังสือตอนมีคนซื้อแล้วล่ะก็บ้าแล้ว เพราะถ้าวรรณกรรมไม่ถูกอ่านเสียแล้ว เสียงของวรรณกรรมก็เท่ากับเป็นใบ้

ไม่บ้าได้อย่างไร

คนอ่านมีเหตุผลอะไรบ้างที่ไม่ซื้อ รวมถึงไม่อ่านวรรณกรรม คำตอบนี้ยังไม่เคยเห็นมีการสำรวจความคิดเห็นกันอย่างจริงจังเสียที สำนักโพล์บรรดามีก็ไม่เห็นให้ความสำคัญอะไร สำนักพิมพ์ก็ไม่เห็นต่างจากสำนักโพล์แต่อย่างใด จะมีก็แต่เสียงที่ตีขลุมกันไปเองจากฝ่ายผู้ผลิตหรือนักเขียน ว่ากันไปต่าง ๆ นานาสารพัดจะหาคำว่าสรุปพฤติกรรมผู้บริโภคโดยไม่สนใจหาข้อเท็จจริงเลย เคยบ้างไหมที่จะไปถามหาเหตุผลจากคนอ่านโดยตรงบ้าง ดังนั้น เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะละเลยความต้องการของคนอ่าน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่านักเขียนต้องละทิ้งอุดมคติของตัวเองเพื่อวิ่งไปเขียนงานสนองความต้องการผู้บริโภค

ในเมื่อยังไม่มีการสำรวจถึงสาเหตุของพฤติกรรมการไม่ซื้อไม่อ่านวรรณกรรมของผู้บริโภคอย่างจริงจังแล้วฝ่ายผู้ผลิตอย่างนักเขียนก็ไม่ควรละเลยการสำรวจตัวเอง วิเคราะห์ดูเสียทีว่า ผลผลิตของตัวเองนั้นมีคุณภาพ มีคุณค่า ในตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องอิงกับความต้องการของผู้บริโภค มากน้อยอย่างไร

เพียงพอต่อความต้องการของตัวนักเขียนเองหรือไม่
บางทีจะอาศัยอารมณ์มุทะลุ ดื้อด้านอย่างเดียว รถไฟสายวรรณกรรมขบวนนี้จะมุ่งหน้าไปสู่สถานีอะไรได้

นักเขียนสวมมงกุฎนั่งแท่นสะลึมสะลือ

นอกจากฝ่ายของนักเขียนกับนักอ่านแล้ว สังคมการอ่านวรรณกรรมยังมีอีกนักหนึ่ง คือ นักวิจารณ์
มีหน้าที่ตามชื่อนั่นแหละ แต่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในการใดการหนึ่งในสังคมการอ่านวรรณกรรม หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือไม่ค่อยมีปากมีเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยังทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา อาจเพราะเป็นโรคขายไม่ออกติดต่อมาจากฟากวรรณกรรมก็ได้ ก็คนอ่านวรรณกรรมยังน้อย นับประสาอะไรกับบทวิจารณ์วรรณกรรม ที่สำคัญนักวิจารณ์วรรณกรรมไม่เคยมีบทบาทหรือมีอำนาจเหนือนักเขียนแต่อย่างใด ยิ่งวิจารณ์ในแง่ร้าย หรือดุเด็ดเผ็ดมันอย่างไร มักจะถูกมองว่าทำไปเพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง ดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินในสังคมวรรณกรรมอย่างไงอย่างงั้น

ถ้านักเขียนไม่สนนักวิจารณ์ ก็ควรสนใจผลงานของตัวเอง พิจารณาอย่างถ่องแท้ว่าทำไมผลงานของตัวเองจึงไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจผู้บริโภค

มีคำกล่าวว่า หนังสือน่าอ่านมีลักษณะดึงดูด 2 ประการ คือ สำนวนภาษา และเค้าโครงเรื่อง

ถ้าสำนวนไม่ดี แต่ดำเนินเรื่องอย่างเร้าอารมณ์ ก็พออนุโลมอ่านได้ ถ้าคนอ่านติดสำนวนแล้วเค้าโครงเรื่องเป็นอย่างไรก็ตาม ก็พออนุโลมได้

วรรณกรรมแนวสร้างสรรค์มี 2 ลักษณะดึงดูดข้างต้นหรือเปล่า
คำตอบคือ มีแบบกะปริบกะปรอย

นี่ฉันเพิ่งอ่านนวนิยายเข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ปีนี้จบไปอีกเรื่องหนึ่ง ไม่บอกว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะว่ามันช่างน่าเหน็ดหน่ายเกินกว่าจะบรรยาย เนื่องจากใช้ภาษาแบบไม่เอาอ่าวเลย แต่เค้าโครงเรื่องพออนุโลมได้ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เห็นว่า นักเขียนไทยเป็นกลุ่มคนประเภทเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก็ว่าได้

เนื่องจากนวนิยายปีนี้ หรืออาจรวมถึงเรื่องสั้นในช่วงระยะเวลา 2 – 3 ปีมานี้ มักมีเนื้อหาเกี่ยวพ้องกับการเหลื่อมซ้อนของมิติต่าง ๆ มักกล่าวถึงเรื่องของ “พื้นที่และเวลา” เข้าหลักการของควอนตัมฟิสิกส์ โดยสร้างเรื่องขึ้นมาตอบสนองแนวคิดนี้ให้แตกต่างกันไป ตัวละครต่างกันไป และมีโครงเรื่องย่อยต่างกันไปตามความสนใจของแต่ละคน มีการพูดถึงจิตวิญญาณในแบบใหม่ ไม่ใช่ผีสางอย่างที่ยุควิทยาศาสตร์เก่าเห็นว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ แต่เป็นผีสางที่ทรงภูมิปัญญา มีคุณค่ามากพอที่จะเป็นเครื่องบ่งชี้สัจธรรมได้ด้วยซ้ำ เป็นผีสางในยุคนาโนซึ่งนับว่าสอดคล้องกันดี กับยุคที่อะไร ๆ ก็มักจะยิบย่อยไปมากกว่าอณู

หากย้อนกลับไปยุควิทยาศาสตร์เก่าที่โลกตะวันตกเชิดชูให้เป็นพระเจ้าองค์ใหม่ และแผ่ขยายแนวคิดนี้มาสู่โลกตะวันออก ในขณะที่โลกตะวันออกก็มองว่า วิทยาศาสตร์เป็นผีสางที่น่ากลัวในภาคที่พิสูจน์ได้ว่ามีศักยภาพตามหลักการอย่างวิทยาศาสตร์ แต่ผีสางของโลกตะวันออกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องการบทพิสูจน์

แนวคิดโลกตะวันตกที่แผ่ครอบโลกตะวันออกได้พยายามเบี่ยงเบนจุดมุ่งหมายและอุดมคติในชีวิตของโลกตะวันออกให้คล้อยตามผู้มีอารยธรรมอย่างคนตะวันตกในแทบทุกด้าน ไม่เว้นแม้แต่ในงานศิลปะวรรณกรรม เรื่องสั้นไทยที่ยังอยู่ในรูปของตำนาน เรื่องเล่า ที่มีตัวละครเป็นเทวดา เป็นผี เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ต่าง ๆ ถูกทำให้ล้าหลังไร้อารยธรรมโดยการบอกกล่าวอย่างกลาย ๆ ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ไร้สาระ พิสูจน์ได้ว่าไม่มีอยู่จริง และทำให้โง่งมงาย ผู้ที่คิดอ่านอย่างเป็นหลักการอย่างวิทยาศาสตร์เท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นผู้มีการศึกษา เป็นอารยชน

วรรณกรรมไทยจึงไม่ได้ถูกศึกษาที่รากเหง้าของตัวเองอย่างแท้จริง ขณะที่มันถูกอ่านและศึกษาอย่างกว้างขวางในยุคที่ศิลปะวรรณกรรมของเราตกอยู่ใน “ครอบ” ของชาติตะวันตก

ครั้นเมื่อมีการแปลวรรณกรรมต่างชาติมาเป็นภาษาไทยอย่างแพร่หลาย เราจึงได้รู้จักวรรณกรรมแนวเมจิกคัลเรียลลิสต์จากกลุ่มวรรณกรรมละตินอเมริกา อย่างผลงานของกาเบรียล การ์เซีย มาเกซ เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว โดยเฉพาะใน “ครอบ” ของรางวัลโนเบล อีกด้วย

ช่วงนั้นสังคมวรรณกรรมไทยพากันตื่นตระหนกในความมหัศจรรย์ของมัน และยกเอาเป็นแรงบันดาลใจอย่างขนานใหญ่ ก็คล้าย ๆ กับการตื่นอะไรก็ตามที่เป็นของอิมพอร์ตนั่นแหละ

นั่นคือ อิทธิพลของ “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” ซึ่งกว่าจะเดินทางมาทรงอิทธิพลที่สังคมวรรณกรรมไทยก็กินเวลาราว ๆ หนึ่งร้อยปี และอาจทำให้วรรณกรรมไทยติดหล่มไปอีกราว ๆ หนึ่งร้อยปีก็เป็นได้

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่านักเขียนไทยแทบไม่เหลือสมบัติพัสถานแห่งความพิสดารของความเป็นตัวของตัวเอง เนื่องจากเห็นแต่ของอิมพอร์ตพิสดารอยู่สถานเดียว คงจะมีแต่แดนอรัญ แสงทองเท่านั้นที่สามารถขายวรรณกรรมไทย ด้วยจุดขายเรื่องความพิสดารของไทย โดยขายให้กับตลาดวรรณกรรมนอกประเทศ นอกวัฒนธรรม กลายเป็นของแปลกในดินแดนอารยชน

เช่นเดียวกับที่ช่วง 2 – 3 ปีมานี้ ที่นักเขียนไทยต่างลุ่มหลงงมงายอยู่กับเนื้อหาของควอนตัมฟิสิกส์ ไม่ว่าจะแค่เป็นการถาก ๆ ของแนวคิดนี้ หรือกระโจนเข้าใส่เต็มตัว อย่างไม่ลืมหูลืมตา และได้โปรดอย่าคิดอยู่เสมอว่า คนอ่านเขาจะไม่รู้ทันนักเขียน อย่าคิดว่าคนอ่านจะไม่รู้จักควอนตัมฟิสิกส์ได้มากเท่านักเขียน

ข้อสังเกตนี้ อาจทำให้มองเห็นใบหน้าของนักเขียนวรรณกรรมไทยอย่างชัดเจนขึ้นว่า เขามีใบหน้าสะลึมสะลือเพียงไร เขาถูกทำให้ซื่อเซื่องไปได้อย่างไร และมากเพียงไร หนำซ้ำยังเขียนวรรณกรรมแล้วขายไม่ออกเสียอีก ไม่ทราบว่าทศวรรษหน้า โรคเซื่องซื่อเหล่านี้จะได้รับการเยียวยาอย่างไรได้ และโรคขายไม่ออกในวรรณกรรมจะเป็นเพียงคลื่นที่สาดซัดอยู่ในหล่มลึก หรือเป็นเพียงเสียงหวูดรถไฟสายนี้ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลย.

  

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ผู้คนใกล้สูญพันธุ์ ผู้เขียน : องอาจ เดชา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา พ.ศ.2548 ได้อ่านงานเขียนสารคดีที่เป็นบทบันทึกช่วงชีวิตของอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ที่กลั่นร้อยจากความมุ่งมั่นขององอาจ เดชา นักเขียนสารคดีหนุ่มมือเอกแล้ว มีหลายความรู้สึกที่อยากเล่าสู่กันฟัง อีกทั้งทำให้อยากลุกมาเขียนจดหมายถึงคนต้นเรื่องคนนั้นด้วย กล่าวถึงงานเขียนสารคดีสักครู่หนึ่งเถอะ... สารคดีเป็นงานเขียนที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ข้อมูลทุกรายละเอียดล้วนเคารพต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันงานเขียนสารคดีเล่ม ผู้คนใกล้สูญพันธุ์ นี้ เป็นลักษณะกึ่งอัตชีวประวัติ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ม่านดอกไม้ ผู้เขียน : ร. จันทพิมพะ ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า พ.ศ.2541 ไม่นานมานี้มีโอกาสไปเยี่ยมชมวังเก่าที่เมืองโคราช เจ้าของบ้านเป็นครูสาวเกษียณราชการแล้ว คนวัยนี้แล้วยังจะเรียก “สาว” ได้อีกหรือ.. ได้แน่นอนเพราะเธอยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งน้ำเสียงกังวานและแววตาที่มีความฝันเปี่ยมอยู่ในนั้น วังเก่าหลังนั้นอยู่ใกล้หลักเมือง วางตัวสงบเย็นอยู่ใจกลางแถวของอาคารร้านค้า ลมลอดช่องตึกทำให้อากาศโล่ง เย็นชื่น พวกไม้ดอกประดับแย้มใบเขียวสดรับละอองฝน…
สวนหนังสือ
นายยืนยง      ชื่อหนังสือ     : ชีวิตและงานกวีเอกของไทย ผู้เขียน          : สมพงษ์ เกรียงไกรเพชร จัดพิมพ์โดย   : สำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา พิมพ์ครั้งแรก  : 27 มีนาคม พ.ศ.2508 ตั้งแต่เครือข่ายพันธมิตรประชาชนฯ เริ่มชุมนุมเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เสียงจากสถานีเอเอสทีวีก็กังวานไปทั่วบริเวณบ้านที่เช่าเขาอยู่ มันเป็นบ้านที่มีบ้านบริเวณกว้างขวาง และมีบ้านหลายหลังปลูกใกล้ ๆ กัน ใครเปิดทีวีช่องอะไรเป็นได้ยินกันทั่ว คนที่ไม่ได้เปิดก็เลยฟังไม่ได้สรรพ…
สวนหนังสือ
 นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : มาตุภูมิเดียวกัน ผู้เขียน : วิน วนาดร ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรกเมื่อกันยายน 2550   ปี 2551 นี้รางวัลซีไรต์เป็นรอบของเรื่องสั้น สำรวจดูจากรายชื่อหนังสือที่ส่งเข้าประกวด ดูจากชื่อนักเขียนก็พอจะมองเห็นความหลากหลายชัดเจน ทั้งนักเขียนที่ส่งมากันครบทุกรุ่นวัย แนวทางของเรื่องยิ่งชวนให้เกิดบรรยากาศคึกคัก มีสีสันหากว่ามีการวิจารณ์หนังสือกันที่ส่งเข้าประกวดอย่างเป็นธรรม ไม่เลือกค่าย ไม่เลือกว่าเป็นพรรคพวกของตัว อย่างที่เขาว่ากันว่า เด็กใครก็ปั้นก็เชียร์กันตามกำลัง นั่นไม่เป็นผลดีต่อผู้อ่านนักหรอก…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นกชีวิต ประเภท : กวีนิพนธ์ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อมีนาคม 2550 ผู้เขียน : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งบทกวีก็สนทนากันเอง ระหว่างบทกวีกับบทกวี ราวกับกวีสนทนากับกวีด้วยกัน ซึ่งนั่นหาได้สำคัญไม่ เพราะความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงการแบ่งแยกระหว่างผู้สร้างสรรค์ (กวี) กับผู้เสพอย่างเรา ๆ แต่หมายถึงบรรยากาศแห่งการดื่มด่ำกวีนิพนธ์ เป็นการสื่อสารจากใจสู่ใจ กระนั้นก็ตาม ยังมีบางทัศนคติที่พยายามจะแบ่งแยกกวีนิพนธ์ออกเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นกวีฉันทลักษณ์ เป็นกวีไร้ฉันทลักษณ์…
สวนหนังสือ
นายยืนยงประเภท          :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย      :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้า (พิมพ์ครั้งที่ 2 เมษายน 2530)ผู้ประพันธ์     :    Bhabani Bhattacharyaผู้แปล         :    จิตร ภูมิศักดิ์
สวนหนังสือ
นายยืนยง"ความรู้รสในกวีนิพนธ์เป็นเรื่องเฉพาะตัว ตัวใครก็ตัวใคร จะมาเกณฑ์ให้มีความรู้สึกเรื่องรสของศิลปะเหมือนกันทีเดียวไม่ได้  ถ้าทุกคนรู้รสของศิลปะแห่งสิ่งใดเหมือนกันไปหมด สิ่งนั้นก็เป็นสามัญไม่ใช่มีค่าแห่งศิลปะที่สูง” ท่านเสฐียรโกเศศเขียนไว้ในหนังสือ รสวรรณคดี (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๓) ครั้นแล้วความซาบซึ้งในรสของกวีนิพนธ์อันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคุณผู้อ่านเล่าเป็นอย่างไรหนอ ในสถานการณ์ที่กระแสข่าวเน้นนำเสนอทางด้านเศรษฐกิจการเมือง ความเป็นอยู่ของกวีนิพนธ์จึงดูเหมือนจะซบเซาเหงาเงียบไป ทั้งที่เราต่างก็เติบโตมาท่ามกลางเบ้าหลอมแห่งศิลปะของกวีนิพนธ์ด้วยกัน ทั้งจากเพลงกล่อมเด็ก…
สวนหนังสือ
นายยืนยง(หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพปก ฉบับที่ ๔ ปีที่ ๓๒ เดือน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)ภาพจาก : http://burabhawayu.multiply.com/reviews/item/16 ชื่อนิตยสาร : ปาจารยสาร ฉบับที่ ๓ ปีที่ ๒๘ เดือนมีนาคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๕จัดพิมพ์โดย : บริษัท ส่องศยาม
สวนหนังสือ
นายยืนยงบทวิจารณ์นวนิยาย:    สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ THE NAME OF THE ROSEผู้ประพันธ์    :    อุมแบร์โต เอโก  UMBERTO ECOผู้แปล         :    ภัควดี  วีระภาสพงษ์   จากฉบับแปลภาษาอังกฤษ ของ วิลเลียม วีเวอร์ บรรณาธิการ      :    วิกิจ  สุขสำราญสำนักพิมพ์      :     โครงการจัดพิมพ์คบไฟ  พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม พ.ศ. 2541
สวนหนังสือ
นายยืนยง  บทวิจารณ์นวนิยาย:    สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ THE NAME OF THE ROSEผู้ประพันธ์            :    อุมแบร์โต เอโก  UMBERTO ECOผู้แปล                 :    ภัควดี  วีระภาสพงษ์   จากฉบับแปลภาษาอังกฤษ ของ วิลเลียม วีเวอร์ บรรณาธิการ         :    วิกิจ  สุขสำราญสำนักพิมพ์        …
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ         :      พี่น้องคารามาซอฟ (The Karamazov Brother)ผู้เขียน              :      ฟีโอโดร์  ดอสโตเยสกีประเภท             :      นวนิยายรัสเซียผู้แปล               :      สดใสจัดพิมพ์โดย       :      สำนักพิมพ์ทับหนังสือ พิมพ์ครั้งที่สาม  ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๓
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ         :      พี่น้องคารามาซอฟ (The Karamazov Brother)ผู้เขียน              :      ฟีโอโดร์  ดอสโตเยสกีประเภท             :      นวนิยายรัสเซียผู้แปล               :      สดใสจัดพิมพ์โดย       :      สำนักพิมพ์ทับหนังสือ พิมพ์ครั้งที่สาม  ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓