Skip to main content

นายยืนยง


บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง
กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์


กวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิต ถูกทำให้สาธารณชนจดจำได้เป็นภาพชัดเจนทั้งตัวกวีและผลงาน เพราะส่วนหนึ่งเนื่องมาจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการทางประวัติศาสตร์การเมืองในพ.ศ.2516 , พ.ศ. 2519 และ พ.ศ.2535 และสถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างให้สาธารณชนรู้จักกวีในภาพของ กลุ่มคนที่ยึดมั่นในอุดมคติซึ่งกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ในยุคนั้นได้สร้างกระแสความคิด สร้างอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับสาธารณชน ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปลุกกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์การเมือง

จะเห็นได้ว่า ทั้งตัวกวีและผลงานต่างก็ถูกจดจำในภาพของ
กลุ่มคนที่ยึดมั่นในอุดมคติ และ กวีนิพนธ์ในอุดมคติ ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตัวกวีและผลงานต่างถูกมองเป็นสัญลักษณ์ในทางเดียวกัน ซึ่งมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้สาธารณชนถือว่า ตัวกวีและผลงานเป็นกลุ่มคนที่มีอุดมคติซึ่งสร้างสรรค์ผลงานกวีนิพนธ์อันเปี่ยมด้วยอุดมคติ

ข้อเท็จจริงที่กวีสมมุติขึ้นในการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์


ในยุคเพื่อชีวิต กวีนิพนธ์ที่อยู่ในกระแสส่วนใหญ่เป็นกวีนิพนธ์ที่มองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริง ตามสถานการณ์จริงที่กำลังดำเนินอยู่ บริบทอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือกวีนิพนธ์จึงถูกอ่านไปพร้อมกับกวีนิพนธ์ด้วย ทำให้สาธารณชนไม่รีรอที่จะสรุปว่า ตัวกวีกับผลงานไม่อาจแยกแยะออกจากกันได้ ยกเว้นบางกรณีเท่านั้น 


ดังนั้นเราจึงได้เห็นว่า บางครั้ง บทกวีการเมืองที่เราไปรู้มาว่ากวีตั้งใจเขียนเพื่อส่งเสริมอุดมการณ์ทางเมืองที่เขาศรัทธา จะเป็นบทกวีที่ดีขึ้นมาได้

ปัจจุบันนักวิจารณ์ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า ผู้เล่า ในวรรณกรรมนั้นไม่อาจที่จะถือว่าเป็นคนเดียวกับผู้แต่งจริง กวีคือคน ๆ หนึ่งที่สื่อสารกับหลายคน แต่สื่อสารโดยใช้เรื่องสมมุติ บทกวีประเภทลำนำทั้งหลายเขียนเป็นบทรำพึงความในใจทั้ง ๆ ที่ต้องการให้คนจำนวนมากรับรู้ เราสงวนคำว่า ผู้เล่า นี้ไว้ใช้ในกรณีที่เห็นชัดว่าผู้เล่าไม่ใช่คนเดียวกับผู้แต่ง (จากย่อหน้าที่ขีดเส้นใต้ คัดลอกมาจากหนังสือ ว่าด้วยหลักวรรณคดีวิจารณ์ แปลจาก An Essay on Criticism by Graham Hough,1973 แปลโดย นฤมล กาญจนทัต และ อุบลวรรณ โชติวิสิทธิ์)

จากย่อหน้าข้างต้น จะเห็นได้ว่า กวีมองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อสร้างสรรค์บทกวีขึ้นมา แต่จะเป็นไปได้หรือที่กวีจะมองเห็นข้อเท็จจริงในทุกด้านทุกแง่มุมตามข้อเท็จจริงที่กำลังดำเนินอยู่ ฉะนั้นกวีนินพนธ์ในยุคนี้แม้จะถูกขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นจริง แต่กวีนิพนธ์ย่อมตกอยู่ในขอบเขตของ
เรื่องสมมุติ อยู่นั่นเอง ทั้งนี้ เรื่องสมมุติ ดังกล่าวที่กวีสร้างสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์จริงหรือจากโอกาสของตนเองนั้น ก็หาใช่ชีวประวัติของกวีเองทั้งหมด

จึงกล่าวได้ว่า การอ่านกวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิต เราจะต้องสงวนบูรณภาพของบทกวีเพื่อไม่ให้บทกวีกลายเป็นชีวประวัติของกวี แต่การอ่านกวีนิพนธ์โดยไม่คำนึงถึงกวีเลยก็ไม่อาจเป็นไปได้ด้วยเช่นกัน 


และอาจกล่าวได้อีกว่า สถานการณ์ทางการเมืองในยุคที่ผ่านมา ไม่อาจสร้างวีรบุรุษกวีหรือวีรสตรีกวีได้ นอกเสียจากมันได้สร้างอุดมคติของกวีนิพนธ์ไว้ให้กวีรุ่นหลังต่อมา


ดังนั้นความรู้สึกที่จะเรียกร้องให้บรรดากวีเดือนตุลาในอดีตทั้งหลาย ก้าวออกมามีส่วนร่วมในขบวนการทางเมืองของวันนี้ จึงเป็นการกระทำที่ไร้วุฒิภาวะ


อุดมคติอันเป็นมรดกตกทอด


ในยุคเพื่อชีวิต เป็นยุคที่กวีนิพนธ์มองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อแสดงศีลธรรมชุดหนึ่งในปรากฎขึ้น ในการที่จะสร้างสรรค์สังคมอุดมคติ กลวิธีนี้ถูกเรียกว่า สัจจะนิยมหรืออัตนิยม


สังคมในอุดมคติดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในความรู้สึกของผู้อ่านผ่านวรรณกรรมหลายประเภท ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย รวมทั้งกวีนิพนธ์ด้วย เนื่องจากวรรณกรรมเหล่านั้นได้แสดงถึงศีลธรรมชุดดังกล่าว


ขณะเดียวกัน มันก็ได้ส่งทอดอุดมคติมาสู่วรรณกรรมด้วย กล่าวคือ วรรณกรรมจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมันกล่าวถึงอุดมคติ


เท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการอ่านกวีนิพนธ์ให้กับสาธารณชน เช่น กวีนิพนธ์ที่แสดงออกถึงความคิดทางการเมืองในการจะล้มล้างรัฐทหารนั้นมีคุณค่าควรแก่การอ่านมากกว่า กวีนิพนธ์ที่แสดงออกถึงพลังของประชาชนนั้นมีคุณค่าแก่การอ่านมากกว่าเนื่องจากมันได้สร้างพื้นที่ของประชาธิปไตยลงในประชาชน และเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อุดมคติดังกล่าวได้แปรสภาพเป็นอุดมคติของชนชั้นกลางไปด้วย


อาจกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ยุคเพื่อชีวิตได้สถาปนาศีลธรรมชุดหนึ่งให้กับกวีนิพนธ์ คือ กวีนิพนธ์ที่แท้นั้นต้องแสดงออกถึงทัศนะทางการสังคมการเมืองในอุดมคติ หรือชี้ให้เห็นหนทางของชีวิตที่ดีงาม หรือชีวิตจะดีได้สังคมต้องดีควบคู่กันไปด้วย เท่ากับว่าอุดมคติดังกล่าวได้สร้างเส้นแบ่งระหว่างกวีนิพนธ์ที่ทรงคุณค่ากับกวีนิพนธ์ที่ไร้คุณค่าออกจากกัน


และศีลธรรมชุดนี้ก็เป็นมรดกตกทอดอันหนึ่งของสังคมกวีนิพนธ์ในยุคต่อมา


ท่าทีต่อต้านที่เป็นมรดกอีกกองหนึ่ง


ในยุคหลังเพื่อชีวิตมาแล้ว นอกจากกวีนิพนธ์จะมีเนื้อหาในทางสังคมการเมืองแล้ว เราจะเห็นว่ากวีนิพนธ์ในยุคดังกล่าวได้แสดงบทบาทการวิพากษ์วิจารณ์ปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในสังคมด้วยท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น ศัตรูของประชาชนคือเผด็จการทหาร รวมไปถึงการต่อต้านลัทธิบริโภคนิยม และจักรวรรดิอเมริกา ทำให้กวีนิพนธ์ในยุคนี้ต่างตั้งตัวเป็นศัตรูกับชาติตะวันตกอย่างอเมริกา 


มีบทกวีที่วิพากษ์วิจารณ์ และมีปฏิกิริยาต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิบริโภคนิยม อเมริกา รวมถึงสัญลักษณ์ของการล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่ ที่แผ่ขยายอิทธิพลมาทางกระแสวัฒนธรรม


อุดมคติของกวีนิพนธ์อันเป็นมรดกตกทอดจากยุคเพื่อชีวิต ที่มีศัตรูเป็นเผด็จการหรืออำนาจปกครองจึงได้แปรสภาพมาเป็นลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งตอนนั้นค่านิยมของชนชั้นกลางที่ยึดถืออุดมคติของกวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิตได้หันมาต้อนรับโลกเสรีนิยมแบบอเมริกากันอย่างแพร่หลาย กวีนิพนธ์ที่มีเนื้อหาต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมจึงไม่ได้ทำหน้าที่สร้างอุดมคติใหม่สนองชนชั้นกลางอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่ต่อต้านสิ่งที่ชนชั้นกลางแสวงหา


เช่นนี้เท่ากับว่า อุดมคติของกวีนิพนธ์ยุคเพื่อชีวิตที่เทศนาให้ชนชั้นกลางมุ่งสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น มุ่งไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า และมีความเป็นเสรีประชาธิปไตยมากขึ้น กลับมาขัดแย้งกับอุดมคติของกวีนิพนธ์ในยุคหลังเพื่อชีวิต ที่วิพากษ์วิจารณ์ค่านิยมของชนชั้นกลางซึ่งดำเนินชีวิตตามเงื่อนไขของอุดมคติในยุคเพื่อชีวิตอย่างว่านอนสอนง่าย

ท่าทีต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมของกวีนิพนธ์ในยุคหลังนี้ มักถูกสร้างขึ้นด้วยมุมมองแบบข้อเท็จจริงผสมผสานกับการใช้ อำนาจพิเศษบางอย่าง ที่เสมือนหนึ่งว่ามันดำรงอยู่ในตัวตนของกวีมาช้านาน ตรงนี้น่าสังเกตว่า นอกจากกวีจะถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษกวีหรือวีรสตรีกวีอย่างหลงงมงายจากสาธารณชนแล้ว กวียังถูกยกย่องให้เป็นชนชั้นพิเศษแบบหนึ่ง ที่ไม่เพียงมี ปมพลังอิสระ (autonomous complex) อย่างที่ยุง (Jung) อธิบายไว้ แต่กวียังมีญาณทัศน์ที่พิเศษว่า ยังมีการกล่าวอย่างกว้างขวางด้วยว่า กวีมีนัยน์ตาพิเศษ อีกด้วย ดังนั้นแล้วกวีนิพนธ์ในยุคนี้จึงแสดงออกอย่างชัดเจนในการที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือทำนายทายทักเหตุการณ์ในอนาคตว่าบริโภคนิยมอันชั่วร้ายนั้นจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาได้ชี้ถูกชี้ผิด แม้กระทั่งพิพากษาชะตากรรมของลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งกวีมองว่าชนชั้นกลางกำลังลุ่มหลงมัวเมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิดังกล่าว

กวีนิพนธ์ในยุคนี้อาจถูกมองอย่างหมางเมินจากชนชั้นกลางไประยะหนึ่ง แต่เมื่อญาณทัศน์ของกวีที่มองเห็นผลร้ายของปีศาจบริโภคนิยม เริ่มปรากฎเป็นขึ้นเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม โดยเฉพาะสังคมเมืองหลวง ซึ่งก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำอีกว่า กวีเป็นชนชั้นพิเศษอยู่ไม่เปลี่ยนนั่นเอง ชนชั้นกลางที่หมางเมินกวีนิพนธ์ก่อนหน้านี้น่าจะกลับมาสนใจกวีนิพนธ์อย่างว่านอนสอนง่ายเหมือนในอดีต ซึ่งชนชั้นกลางก็ยังเป็นกลุ่มคนที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนเดิม แต่พวกเขาย่อมไม่อาจแสร้งตาบอดได้ เมื่อชนบทในฝันได้เปลี่ยนไปแล้ว


เนื่องจากกวีนิพนธ์ในยุคนี้ส่วนใหญ่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้าน รวมถึงพิพากษา โดยพยายามโน้มน้าวผู้อ่านให้คล้อยตามอุดมคติของกวีนิพนธ์ แต่กวีคงหลงคิดไปว่า การมองโลกด้วยมุมมองแบบข้อเท็จจริงที่นำมาสร้างสรรค์เป็น
เรื่องสมุมติเพื่อเทศนาให้สาธารณชนคล้อยตาม และนำมาใช้จริงในชีวิตนั้น เป็นการกระทำที่เลินเล่ออย่างยิ่ง และงมงายอย่างยิ่ง

เพราะขณะที่กวีโน้มน้าวชนชั้นกลางในเมืองกรุงให้หันกลับมาใช้ชีวิตแบบธรรมชาตินิยม ให้โหยหาและกลับมาสู่ชีวิตแบบเงียบสงบในชนบท ผ่านกระบวนการสร้างภาพพจน์ของชนบทที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ต่าง ๆ นานาในกวีนิพนธ์นั้น กวีคงมองโลกชนบทผ่านญาณทัศน์ที่ผิดพลาดว่า ขณะเมืองกรุงคลั่งลัทธิบริโภคนิยม ชนบทจะยังงดงามผุดผาดดั่งในอดีตอันแสนหวาน

เมื่อกวีนิพนธ์ไร้ทางออก หนทางใหม่คือ เดินทางเข้าสู่ข้างใน


หลังจากยุคที่กวีนิพนธ์ต่างมุ่งเน้นในการต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมแล้วแต่ประสบปัญหาคือ ไร้ทางออก 
แต่พื้นที่สร้างสรรค์กวีนิพนธ์หาได้แช่ค้างไว้ เราจะเห็นว่ามีกวีนิพนธ์ที่ได้กล่าวถึงและแสดงออกถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ซึ่งก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ยังคงดำรงไว้ซึ่งอุดมคติ ในการที่จะแสดงออกถึงความดีงามสูงส่งเหมือนในยุคก่อน ๆ

สังเกตว่า กวีนิพนธ์ในยุคนี้ได้แตกย่อยออกมาอย่างหลากหลายมากขึ้น มีทั้งแนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แนวแสวงหาความสุขทางจิตวิญญาณ รวมถึงแนวธรรมะ และน่าสนใจตรงนี้ว่า เนื้อหาของกวีนิพนธ์ในแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ต่างก็เป็น
สาร ที่มีคุณค่าอันดีงามอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว กล่าวคือ แนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นแนวคิดที่ดีอยู่ในตัวเอง หากไม่มีการเขียนบทกวีกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์ ก็ยังมีกลุ่มคนที่มีแนวคิดเช่นนี้อยู่ มีการดำเนินการที่เป็นกระบวนการอยู่แล้ว หากไม่มีบทกวีที่แสดงออกถึงแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ก็ดำเนินอยู่ได้ รวมไปถึงแนวธรรมะ หรือข้อคิดปรัชญา ซึ่งล้วนดำรงอยู่ได้โดยปราศจากวีนิพนธ์

การที่กวีนิพนธ์ไปจับ
สาร เหล่านั้นมาแสดงออกนั้น จะถือเป็นการกระทำตามความเคยชิน หรือเป็นท่าทีของกวีในอุดมคติที่จำเป็นต้อง สร้างสรรค์กวีนิพนธ์เพื่อแสดงออกถึงความดีงามสูงส่ง ถ้ากล่าวเช่นนี้ จะถือเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของกวีนิพนธ์ได้หรือไม่

สรุป


จะเห็นได้ว่า ในยุคเพื่อชีวิตและหลังเพื่อชีวิตมานั้น กวีนิพนธ์ถูกเขียนขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความดีงามสูงส่งเป็นสำคัญ ดังนั้น กวีจึงมีความสัมพันธ์กับอุดมคติทางกวีนิพนธ์อย่างคล้อยตาม และยึดมั่นในอุดมคติเสมอมาไม่เปลี่ยน


แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อไปในบทความตอนต่อไป จะเป็นการให้น้ำหนักความสัมพันธ์ระหว่างตัวกวีกับผลงานกวีนิพนธ์ ว่าทั้งสองส่วนนี้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หรือเป็นไปในทางตรงกันข้าม และส่งผลต่อการอ่านกวีนิพนธ์ของสาธารณชนอย่างไร โดยจะมุ่งเน้นไปถึงกวีที่นำมาหลักพุทธธรรมที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว มาแสดงออกผ่านกวีนิพนธ์ของเขา.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 ชื่อหนังสือ : เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ ผู้เขียน : ประไพ วิเศษธานี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทะเลหญ้า พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2536 ไปเจอหนังสือเก่าสภาพดีเล่มหนึ่งเข้าที่ตลาดนัดหนังสือใกล้บ้าน เป็นความถูกใจที่วิเศษสุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่คิดว่าหายากแล้ว ไม่เท่านั้นเนื้อหายังเป็นตำราทางการประพันธ์ เหมาะทั้งคนที่เป็นนักเขียนและนักอ่าน นำมาตัดทอนให้อ่านสนุก ๆ เผื่อว่าจะได้ใช้ในคราวบังเอิญ เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการเล่มนี้ ผู้เขียนใช้นามปากกา ประไพ วิเศษธานี ซึ่งไม่เป็นที่คุ้นสักเท่าไร แต่หากบอกว่านามปากกานี้เป็นอีกสมัญญาหนึ่งของนายผี อัศนี พลจันทร ล่ะก็…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : อาถรรพ์แห่งพงไพร ผู้เขียน : ดอกเกด ผู้แปล : ศรีสุดา ชมพันธุ์ ประเภท : นวนิยายรางวัลซีไรต์ พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย กลับบ้านสวนคราวที่แล้ว ตู้หนังสือยังคงสภาพเดิม ละอองฝุ่นเหมือนได้ห่อหุ้มมันให้พ้นจากสายตาผู้คน ไม่ก็ผู้คนเองต่างหากเล่าที่ห่อหุ้มตัวเองให้พ้นจากหนังสือ นอกจากตู้หนังสือที่เงียบเหงาแล้ว รู้สึกมีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมขบวนความเหงาอีกสามสิบกว่าเล่ม น่าจะเป็นของน้องสาวที่ขนเอามาฝากไว้ ฉันจึงจัดเรียงมันใหม่ในตู้ใบเล็กที่วางอยู่ข้างกัน ดูเป็นบ้านที่หนังสือเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เจ้าหญิงน้อย (A Little Princess) ผู้เขียน : ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ (Frances Hodgson Burnett) ผู้แปล : เนื่องน้อย ศรัทธา ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน ปีกลายที่ผ่านมา มีหนังสือขายดีติดอันดับเล่มหนึ่งที่สร้างกระแสให้เกิดการเขียนหนังสืออธิบาย เพื่อตอบสนองความสนใจผู้อ่านต่อเนื่องอีกหลายเล่ม ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิเคราะห์เอย ด้านมายาจิตเอย ทำให้หลายคนหันมาสนใจเรื่องความคิดเป็นจริงเป็นจัง หนังสือเล่มดังกล่าวนั่นคงไม่เกินเลยความคาดหมาย มันคือ เดอะซีเคร็ต ใครเคยอ่านบ้าง?…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ผู้เขียน : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ ชวนอ่านเรื่องสั้นมหัศจรรย์ ปลายกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ข่าวสารที่ได้รับค่อนไปทางรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐที่ส่อเค้าว่าจะลุกลามไปทั่วโลก ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน หุ้นร่วงรูดเป็นประวัติการณ์ ชวนให้บรรดานักเก็งกำไรอกสั่นขวัญแขวน ไม่กี่วันจากนั้น รัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ก็ได้ใช้อำนาจทำร้ายประชาชนอย่างไร้ยางอาย ตลอดวันที่ 7 ตุลาคม 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง นวนิยายเรื่อง : บ้านก้านมะยม สำนักพิมพ์ : นิลุบล ผู้แต่ง : ประภัสสร เสวิกุล อาขยาน เป็นบทท่องจำที่เด็กวัยประถมล้วนมีประสบการณ์ในการท่องจนเสียงแหบแห้งมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่แว่วเสียง ... แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา หรือ มานี มานะ จะปะกระทะ มะระ อะไร จะไป จะดู หรือ บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี ฯลฯ เมื่อนั้น..ความรู้สึกจากอดีตเหมือนได้ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากความทรงจำ ช่างเป็นภาพแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและไม้เรียวของคุณครู ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อน ๆ ตัวน้อยในวัยเยาว์ของเรา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ทั้งโลกเป็นเช่นนี้ ผู้เขียน : ชมัยภร แสงกระจ่าง ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2551 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ คมบาง เมื่อคืนพายุฝนสาดซัดเข้ามาทั่วทิศทาง กระหน่ำเม็ดราวเป็นคืนแห่งวาตะภัย มันเริ่มตั้งแต่หกทุ่มเศษ และโหมเข้า สาดเข้า ถ้าเป็นหลังคาสังกะสี ฉันคงเจ็บปางตายเพราะฝนเม็ดหนานัก มันพุ่งแรงเหลือเกิน ต่อเนื่องและเยือกฉ่ำ ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟ เผชิญกับความกลัวที่ว่าบ้านจะพังไหม? ตัดเรือน เสา ที่เป็นไม้ (เก่า) ฐานรากที่แช่อยู่ในดินชุ่มฉ่ำ โถ..บ้านชราภาพจะทนทานไปได้กี่น้ำ นั่งอยู่ข้างบนก็รู้หรอกว่า ที่ใต้ถุนนั่น น้ำคงเนืองนอง…
สวนหนังสือ
 นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มาลัยสามชาย ผู้เขียน : ว.วินิจฉัยกุล ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 กรกฎาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : บริษัท ศรีสารา จำกัด หนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จะส่งผลกระทบหรือสะท้อนนัยยะใดบ้าง เป็นเรื่องที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่ง แม้รางวัลจะประกาศนานแล้ว แต่เนื้อหาในนวนิยายจะยังคงอยู่กับผู้อ่าน เพราะหนังสือรางวัลทั้งหลายมีผลพวงต่อยอดขายที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเภทวรรณกรรม เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ โดยในปีนี้ นวนิยายเรื่อง มาลัยสามชาย ผลงานของ ว.วินิจฉัยกุล ได้รับรางวัลดีเด่น ประจำปี 2551…
สวนหนังสือ
นายยืนยง        ชื่อหนังสือ : อาหารรสวิเศษของคนโบราณ      ผู้เขียน : ประยูร อุลุชาฎะ      ฉบับปรับปรุง : กันยายน 2542      จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แสงแดดใครที่เคยแก่อายุเข้าแล้ว พออากาศไม่เหมาะก็กินอะไรไม่ถูกปาก ลิ้นไม่ทำหน้าที่ซึมซับรสอันโอชาเสียแล้ว อาหารจึงกลายเป็นเรื่องยากประจำวันทีเดียว ไม่เหมือนเด็ก ๆ หรือคนวัยกำลังกินกำลังนอน ที่กินอะไรก็เอร็ดอร่อยไปหมด จนน่าอิจฉา คราวนี้จะพึ่งแม่ครัวประจำตัวก็ไม่เป็นผลแล้ว ต้องหาของแปลกลิ้นมาชุบชูชีวิตชีวาให้กลับคืนมา…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : แม่ใหม่ที่รัก ( Sarah, Plain and Tall ) ผู้เขียน : แพทริเซีย แมคลาแคลน ผู้แปล : เพชรรัตน์ ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2544 จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน หากใครเคยพยายามบ่มเพาะให้เด็กมีนิสัยรักหนังสือ รักการอ่าน ย่อมเคยประสบคำถามจากเด็ก ๆ ของท่านทำนองว่า หนังสือจำเป็นกับชีวิตมากปานนั้นหรือ? เราจะตายไหมถ้าไม่อ่านหนังสือ? หรือเราจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ไม่อ่านหนังสือจะได้ไหม? กระทั่งบ่อยครั้งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็อาจหาคำตอบที่สมเหตุสมผลมาตอบอย่างซื่อสัตย์ได้ไม่ง่ายนัก เป็นที่แน่นอนอยู่ว่า ผู้ใหญ่บางคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต่างแต่ว่า…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ก่อนเริ่มโรงเรียนวิชาหนังสือ (สูจิบัตรในงาน ‘หนังสือ ก่อนและหลังเป็นหนังสือ’ ) จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ผีเสื้อ สัปดาห์ก่อนไปมีปัญหาเรื่องซื้อหนังสือกับพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ด้วยเพราะหนังสือที่จะซื้อมีราคาไม่เป็นจำนวนถ้วน คือ ราคาขายมีเศษสตางค์ เป็นเงิน 19.50 บาท เครื่องคิดราคาไม่ยอมขายให้เรา ทำเอาพนักงานวิ่งถามหัวหน้ากันจ้าละหวั่น ต้องรอหัวหน้าใหญ่เขามาแก้ไขราคาให้เป็น 20.00 บาทถ้วน เครื่องคิดราคาจึงยอมขายให้เรา เออ..อย่างนี้ก็มีด้วย เดี๋ยวนี้เศษสตางค์มันไร้ค่าจนเป็นแค่สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง หนังสือเล่มดังกล่าวนั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 45 (กรกฎาคม – กันยายน 2551) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา ใครที่เคยติดตามอ่านช่อการะเกด นิตยสารเรื่องสั้นรายไตรมาส เล่มเดียวในประเทศไทยในขณะนี้ ย่อมมีใจรักในงานเขียนเรื่องสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าผลงานเรื่องสั้นที่ปรากฏ “ผ่านเกิด” ภายใต้รสนิยมบรรณาธิการนาม สุชาติ สวัสดิ์ศรี นั้นจะต้องรสนิยมคนชื่นชอบเรื่องสั้นมากน้อยเพียงใด ก็ไม่ค่อยปรากฏกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดเลย ทั้งที่ตอนประชาสัมพันธ์เปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้น…
สวนหนังสือ
นายยืนยง วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ได้พิจารณาคัดเลือกหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ส่งประกวด ประจำปี 2551 จำนวน 76 เล่ม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอหนังสือรวมเรื่องสั้น 9 เล่ม ดังนี้   1.ข่าวการหายไปของอาริญาและเรื่องราวอื่น ๆ ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ 2.เคหวัตถุ ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ 3.ตามหาชั่วชีวิต ของ ‘เสาวรี’ 4.บริษัทไทยไม่จำกัด ของ สนั่น ชูสกุล 5.ปรารถนาแห่งแสงจันทร์ ของ เงาจันทร์ 6.เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ของ วัชระ สัจจะสารสิน 7.เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ของ…