Skip to main content

 

นายยืนยง


 


10_9_01

ชื่อหนังสือ : มาลัยสามชาย

ผู้เขียน : .วินิจฉัยกุล

ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 กรกฎาคม 2550

จัดพิมพ์โดย : บริษัท ศรีสารา จำกัด


หนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จะส่งผลกระทบหรือสะท้อนนัยยะใดบ้าง

เป็นเรื่องที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่ง แม้รางวัลจะประกาศนานแล้ว แต่เนื้อหาในนวนิยายจะยังคงอยู่กับผู้อ่าน


เพราะหนังสือรางวัลทั้งหลายมีผลพวงต่อยอดขายที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเภทวรรณกรรม เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ โดยในปีนี้ นวนิยายเรื่อง มาลัยสามชาย ผลงานของ .วินิจฉัยกุล ได้รับรางวัลดีเด่น ประจำปี 2551 น่าสังเกตว่า นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นภายใต้เจตนาของนักเขียน เพื่อจะยกย่องผู้หญิงที่ผ่านชีวิตสมรสมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ยังสามารถครองตัวให้เป็นที่ยอมรับนับถือ และคงไว้ซึ่งยศฐานบรรดาศักดิ์ เกียรติยศของวงศ์ตระกูล


ข้อนี้ปรากฏชัดเจนตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง ที่ตัวละครใน 2 ตระกูล ต้องการเป็นฝ่ายเก็บอัฐิของลอออร (นางเอกของเรื่อง) ราวกับอัฐิของคนคนนี้จะเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีให้วงศ์ตระกูลของตน สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับผู้อ่านตั้งแต่แวบแรกเลยทีเดียว


มาลัยสามชาย เป็นนวนิยายที่ว่าด้วยวิถีของชนชั้นสูง ตัวละครส่วนใหญ่ที่มีบทบาทในเรื่องเป็นชนชั้นที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีชาติตระกูลสูง พรักพร้อมบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ บริวาร แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุถึงที่มาของสมบัติที่สะสมไว้จนเต็มกำปั่น ส่วนตัวละครอีกกลุ่ม ที่ถือได้ว่าเป็นแค่ตัวประกอบ คือ พวกบ่าวไพร่ ทั้งที่ซื่อสัตย์กับเจ้านายอย่างถวายหัว กับพวกที่กินบนเรือนขี้บนหลังคา ส่วนตัวละครอีกประเภทหนึ่ง คือ ยศ แห่งตระกูลพลาธร หนุ่มสังคมผู้เป็นสามีคนแรกของลอออร ซึ่งก็เป็นชนชั้นสูง ร่ำเรียนเมืองนอก แต่หลงผิด คบหาพวกไพร่ชั้นต่ำ จนเสียคน สิ้นเนื้อประดาตัว มีแต่คนดูถูกเหยียดหยามแม้กระทั่งพี่น้องร่วมมารดาของเขาเอง ยกเว้นก็แต่ประยงค์ พี่สาวของเขาเท่านั้น ยศมีพฤติกรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตัวละครชั้นสูงคนอื่นในเรื่อง ที่เลือกคบหาจำเพาะแต่ชนชั้นเดียวกัน หรือสูงกว่า มีบ่าวไพร่ไว้รองมือรองเท้า เพื่อดำรงไว้ซึ่งสถานภาพอันสูงส่งของตน


นอกจากยศแล้ว ไม่มีชนชั้นสูงใดอีกเลยที่จะไม่สามารถดำรงสถานภาพชั้นสูงที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของตนไว้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า .วินิจฉัยกลุเขียนนวนิยายราวกับจะยกย่องเชิงชูวิถีชีวิตของชนชั้นดังกล่าวที่กระทำราวกับว่า การดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล คือจุดมุ่งหมายสูงสุดในการมีชีวิต หรือ เกิดมาเพื่อจะรักษาสถานภาพของตัวเองและวงศ์ตระกูล


ตัวอย่างง่าย ๆ คือ ลอออร เธอเป็นคนห้าแผ่นดิน เกิดเมื่อพ..2456 (.5) เป็นลูกเจ้าคุณวรพันธ์กับคุณหญิงจำเรียง เมียหลวง แต่เสียแม่ตั้งแต่ยังเล็ก คุณป้าจรวยจึงพาเข้าวัง เธอเรียนจบโรงเรียนสตรีวิทยาขณะฝึกกิริยามรรยาท รับใช้เสด็จฯ อยู่ในวัง เธอคือสตรีชั้นสูงโดยไร้ข้อกังขา ครั้นเมื่อเธอผิดหวังจากชีวิตสมรสครั้งแรก (กับยศแห่ง

พลาธร) เธอก็กล้าหันหลังให้เขา โดยหนีออกจากบ้านของตระกูลพลาธร หันมาครองตัวเป็นโสดอย่างกล้าหาญ แต่ .วินิจฉัยกุล เขียนในหน้า 603 โดยเปรียบผู้หญิงไว้ว่า ‘เหมือนเถาไม้อ่อนที่ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ตามลำพัง ต้องพึ่งพิงไม้ใหญ่อยู่เสมอ’ ลอออรจึงมีเหตุให้ต้องสมรสครั้งที่ 2 ท่ามกลางความคาดหวังจากคนรอบตัวว่า เธอเป็นแม่ม่ายเสียแล้ว มีหรือจะได้สามีที่พรักพร้อมด้วยยศศักดิ์เงินทองได้อย่างยศ แต่แล้วการสมรสครั้งใหม่นี้ ก็ได้ทำลายเสียงเหล่านั้นลง เพราะสามีคนที่ 2 มีหน้าที่การงาน ยศศักดิ์เงินทองวงศ์ตระกูลที่เหนือกว่าสามีคนแรก


นี่เป็นสิ่งที่แม้นักเขียนจะไม่ได้เจตนาแสดงออกอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ปรากฏกลับเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะเลยให้กล่าวถึงได้ คือ พฤติกรรมของตัวละครที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูง ที่มุ่งแต่จะสงวนสิทธิ์ที่จะอยู่เหนือกว่า พยายามรักษายศถาบรรดาศักดิ์ของตนไว้เป็นสำคัญ ลอออรเองนั้นแม้จะมีสามีใหม่ เธอก็ยังอุตส่าห์ได้คนที่ “ดีพอ” จะให้ยึดเกาะได้ เมื่อสามีคนที่ 2 เสียชีวิตลง เธอก็มีเหตุผลมากพอที่จะสมรสใหม่กับสามีคนที่ 3 ซึ่งก็เป็นถึงเจ้านายทางภาคเหนือ เป็นแพทย์และยังหนุ่ม (โสด) สมกับแม่ม่ายลูกติดอย่างเธอจนหาสิ่งใดมาเปรียบได้ยาก


ขณะที่ .วินิจฉัยกุล ปรนเปรอลอออร นางเอกของเรา ด้วยความสุขสมหวังแล้ว นักเขียนกลับปล่อยให้ตัวละครสาวสำคัญคนหนึ่ง ตัวละครที่เป็นคู่อาฆาตของนางเอก แน่นอนว่าต้องเป็นนางร้าย เธอคือ ทองไพรำ


ทองไพรำ
เป็นชนชั้นล่างที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน แม่คลอดทิ้งไว้ในซ่อง โชคดีที่แม่เล้าอุปการะ เธอเป็นชนชั้นต่ำโดยชาติกำเนิดและพฤติกรรม เป็นหญิงแพศยาที่เลวบริสุทธิ์ ต่างจากลอออรราวสีดำกับสีขาว หนำซ้ำยังจ้องเขมือบสามีทุกคนของลอออรอีกด้วย เริ่มตั้งแต่ยศ เธอก็ก้าวเข้ามาทำลายชีวิตสมรสของชนชั้นสูงคู่นี้ จุดนี้เป็นข้อด้อยหนึ่งที่ .วินิจฉัยกุล ละเลย ปล่อยให้ขั้วคู่ขัดแย้งของเรื่องมีความแตกต่างกันมากเกินไปจนผิดธรรมชาติ แม้จะสมจริงในแง่อื่นก็ตาม


เมื่อลอออรตกอยู่ในชะตากรรมที่เอื้อให้เกิดการสมรสครั้งที่ 2 -3 ที่แม้แต่จะมีสามีคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ 2 หรือ 3 เธอก็ต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ ต้องได้สามีที่รวยกว่า มียศสูงกว่าเดิม เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าตกต่ำ ฝ่ายทองไพรำก็พยายามฟอกสถานภาพของไพร่ให้เป็นคนชนชั้นสูง เพื่อให้ตัวเองได้เชิดหน้าชูคออยู่ท่ามกลางคุณท่าน ๆ ทั้งหลาย แต่ก็ไม่อาจทิ้งสันดานไพร่เดิม ๆ ได้ เนื่องจาก .วินิจฉัยกุลได้สร้างให้เธอเป็นนังแพศยา ร่านไม่เลือก และเสพติดผู้ชาย เรียกว่าทองไพรำไม่มีข้อดีสักเสี้ยวเดียว นั่นยิ่งขับเน้นให้ลอออร เป็นคนดีศรีรัตนโกสินทร์ได้เฉิดฉายยิ่งขึ้น ราวกับความเลวบัดซบของทองไพรำนั่นเองที่ช่วยขัดสีฉวีวรรณให้ลอออรงามดีเด่นอยู่ได้ตลอดทั้งเรื่อง


ขณะที่เรื่องดำเนินไปพร้อมกับความคาดหวังของผู้อ่าน ที่ต่างเอาใจช่วยให้ลอออรได้แต่งงานใหม่กับสามีคนที่2 หรือ 3 อย่างใจจดใจจ่อนั้นเอง สิ่งหนึ่งที่แทรกเข้ามาเป็นริ้ว ๆ ตลอดเรื่อง และสร้างความสะเทือนใจยิ่งกว่าชะตากรรมที่สมเหตุสมผลของลอออรนั้น คือ ชะตากรรมของชนชั้นล่าง หรือคนชั้นต่ำ เช่น พวกบ่าวไพร่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทองไพรำ นายคะนอง นายใบ ฯลฯ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า นวนิยายเรื่องนี้ได้ทำลายศักดิ์ศรีของความเท่าเทียมกันของมนุษย์ลงอย่างต่อเนื่อง ตัวละครที่เป็นไพร่ เป็นขี้ข้า ต้องอิจฉาริษยา มาห้ำหั่นกันเอง ในที่สุดก็ต้องตายอย่างอนาถ มีแต่บรรดาชนชั้นสูงเท่านั้นที่ประสบความสุขความเจริญในชีวิต เพราะพวกเขารวมหัวกันเฉพาะกลุ่มตน ทำทุกวิถีทางเพื่อดำรงไว้ซึ่งสถานภาพของตัวเองและพรรคพวก เอื้ออิงระบบอุปถัมภ์กันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร การติดสินบน การวางอำนาจบาตรใหญ่ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า สังคมไทยดำรงอยู่ได้ด้วยระบบอุปถัมภ์ การเหยียดชนชั้น และบูชาชนชั้นสูงที่มีอำนาจบารมีเหนือกว่า


แม้นว่า .วินิจฉัยกุล จะมีเจตนาชัดเจนในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นัยยะสำคัญหนึ่งที่อัดแน่นมาตลอดทั้งเรื่อง คือ เรื่องราวของความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างชนชั้น นั่นเอง


แม้นจะไม่ใช่เจตนาของนักเขียน และออกจะเป็นการเสียมารยาทในการวิจารณ์ ที่ควรเน้นถึงเหตุผลด้านวรรณศิลป์ กลวิธีการประพันธ์ เท่านั้น แต่ก็ขอยอมรับในการเสียมารยาทครั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างชนชั้นในสังคมไทย เป็นเหตุให้เกิดปัญหาอื่นตามมาอีกไม่มีสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะที่ความแตกต่างระหว่างสถานภาพของ ประชาชนกับผู้แทนประชาชน ระหว่างข้าราชการกับประชาชน ระหว่างนักวิชาการกับประชาชน กระทั่งทุกวันนี้ ยังไม่แน่ใจว่าประชาชนไทยยังมีอยู่จริงหรือไม่ หรือว่ามีแต่ ‘ชาวบ้าน’ ชะตากรรมของชนชั้นล่างที่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ ไร้สถานภาพทางสังคม จึงตกอยู่ภายใต้ ‘แรงบันดาลใจส่วนตัว’ ของชนชั้นสูง หรือที่สูงกว่า ดังเช่นในนวนิยายเรื่อง มาลัยสามชาย ของ .วินิจฉัยกุล เล่มนี้


เสียมารยาทมาพอสมควรแล้ว ก็ควรจะรักษาไว้ซึ่งมารยาทเสียบ้าง


ขอชื่นชมกลวิธีการประพันธ์ของ .วินิจฉัยกุลไว้ด้วย เพราะว่าไปแล้ว มาลัยสามชาย ก็ถือเป็นนวนิยายที่ “เขียนดี” อยู่ ขึ้นชื่อว่า .วินิจฉัยกุลแล้ว ย่อมไม่เป็นสองรองใคร เริ่มชมกันตั้งแต่ชื่อเรื่องที่สอดคล้อง ลงตัวกับเนื้อหา ที่ต้องการยกย่องผู้หญิง 3 สามี ให้เป็น ของสูง ดีงาม น่าชมเชย ดุจมาลัย 3 ชาย นั่นไง


หรือชื่อตอน ซึ่งแต่ละตอนมีชื่อเป็นมาลัยแทบทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ตอนแรก ตอนเริ่มร้อยมาลัย มาลัยในวัง มาลัยเพลิง มาลัยสองชาย กระทั่งตอนปลายมาลัย เว้นแต่ตอน ถ่านไฟเก่า และ รักคืนเรือน


.วินิจฉัยกุล เขียนด้วยภาษาละเอียด แต่กระชับ ไม่ยืดยาดโยงเยงจนอารมณ์เสีย ที่สำคัญคือ ไม่จงใจให้เรื่องผู้หญิง 3 สามี เป็นเรื่องประเจิดประเจ้อ หรือเขียนประจานกัน (หรือจะเพราะเกรงใจคนที่เป็นแรงบันดาลใจก็ไม่ทราบ) จุดนี้พิสูจน์ได้จากความละเมียดละไมของภาษาที่ใช้การเล่าเรื่อง ซึ่งผ่านการกลั่นกรองมาอย่างประณีต


มาลัยสามชาย เป็นเรื่องชีวิตรักดั่งนวนิยายทั่วไป ต่างกันตรงที่บรรยากาศของเรื่องเป็นฉากย้อนยุคในสมัยรัชกาลที่ 5 ไล่ลงมา ดังนั้นนักเขียนต้องอาศัยข้อมูล รายละเอียดที่ถึงพร้อมในแง่ประวัติศาสตร์ เพื่อแสดงวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในสังคมออกมาได้อย่างถูกต้อง แม่นยำแม้กระทั่งทรงผม เสื้อผ้า บทสนทนา ของตัวละคร นักเขียนต้องพิถีพิถันในทุกรายละเอียด สำหรับนักเขียนชื่อดังอย่าง .วินิจฉัยกุลแล้ว บรรดารายละเอียดเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องเกินวิสัยของเธอเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นแล้วมาลัยสามชายจึงเป็นนวนิยายย้อนยุคที่สมจริงเหลือเกิน มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วยเกร็ดเล็กน้อยที่บรรจุอยู่ในเนื้อหาอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโครเกต์ กีฬาสำหรับชนชั้นสูงที่บรรยายได้ละเอียดยิบในทุกส่วน หรือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น การเข้ายึดครองอำนาจของคณะราษฎร์ การปราบกบฏบวรเดช หรือแม้แต่เรื่องข้าราชการบางคนถูกดุลยภาพมีอันต้องขัดสน ต้องจำกัดจำเขี่ยมากขึ้น แต่ก็เป็นเพียงฉากภาพเลือน ๆ ในนวนิยายที่ไม่ใคร่มีใครให้ความสนใจ เหมือนสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันนี้ เชื่อไหมว่า ยังมีคนบางกลุ่มที่ยังมองสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ ของประชาชน เป็นเรื่องของฉากที่รอวันสลับสับเปลี่ยน


หากนวนิยายเรื่องหนึ่งจะดีเด่นมีคุณค่าในตัวเองสมกับเป็นที่ยกย่องของมหาชน ย่อมยังความภาคภูมิใจมาถึงนักเขียนเป็นธรรมดา แต่หากมีปัจจัยอื่นที่เสริมกำลังเข้ามาช่วยปรุงรสเพิ่มสีสันให้อีก โดยนักเขียนเจตนาหรือไม่เจตนานั้น ข้อนี้ต้องยกประโยชน์ให้คนอ่าน แต่ในส่วนคำนำของนักเขียน ที่เขียนออกตัวเกี่ยวกับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ ‘คุณป้า’ หญิงสาวสวยที่สุดคนหนึ่งในยุคของท่าน หรือ ชีวิตของคุณป้าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอสมควร จากคำบอกเล่าของคุณแม่ แต่บั้นปลายท่านก็งามพร้อมด้วยเกียรติยศและทรัพย์สิน ครองคู่มากับสามีด้วยดี... กระทั่งว่า เกิดเสียงซุบซิบนินทาว่า เอาชีวิตของท่านผู้หญิงคนนั้น คนนี้มาเขียนแน่เลย อะไรทำนองนี้ ฉะนั้น ถ้อยคำในคำนำเหล่านี้ของนักเขียนจึงไม่ค่อยสลักสำคัญ และไม่ควรจะเขียนไว้ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะกระตุ้นความกระหายใคร่รู้ของคนอ่านจนเกินไปแล้ว ยังถือว่าเป็นคำโฆษณาชวนเชื่อได้ด้วย และอาจทำให้นวนิยายกลายเป็นหนังสือแนวแฉชีวิตส่วนตัวไปเลยก็ได้.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 
สวนหนังสือ
นายยืนยง   พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
สวนหนังสือ
นายยืนยง บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง “กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์”
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา                  Ageless Body, Timeless Mind เขียน : โชปรา ดีปัก แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551   แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : แสงแรกของจักรวาล ผู้เขียน : นิวัต พุทธประสาท ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551   ชื่อของนิวัต พุทธประสาท ปรากฎขึ้นในความประทับใจของฉันเมื่อหลายปีก่อน ในฐานะนักเขียนที่มีผลงานเรื่องสั้นสมัยใหม่ เหตุที่เรียกว่า เรื่องสั้นสมัยใหม่ เพราะเรื่องสั้นที่สร้างความประทับใจดังกล่าวมีเสียงชัดเจนบ่งบอกไว้ว่า นี่ไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อชีวิต... เป็นเหตุผลที่มักง่ายที่สุดเลยว่าไหม
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : คนรักผู้โชคร้าย ผู้แต่ง : อัลแบร์โต โมราเวีย ผู้แปล : ธนพัฒน์ ประเภท : เรื่องสั้นแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2535  
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs. Dalloway) ผู้แต่ง : เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ผู้แปล : ดลสิทธิ์ บางคมบาง ประเภท : นวนิยายแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ชมนาด พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2550
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : จำปาขาว ลาวหอม (ลาวใต้,ลาวเหนือ) ผู้แต่ง : รวงทอง จันดา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทางช้างเผือก พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2552 ยินดีต้อนรับสู่พุทธศักราช 2553 ถึงวันนี้อารมณ์ชื่นมื่นแบบงานฉลองปีใหม่ยังทอดอาลัยอยู่ อีกไม่ช้าคงค่อยจางหายไปเมื่อต้องกลับสู่ภาวะของการทำงาน
สวนหนังสือ
“อารมณ์เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง” อาจารย์ชา สุภัทโท ฝากข้อความสั้น กินใจ ไว้ในหนังสือธรรมะ ซึ่งข้อความว่าด้วยอารมณ์นี้ เป็นหนึ่งในหลายหัวข้อในหนังสือ “พระโพธิญาณเถร” ท่านอธิบายข้อความดังกล่าวในทำนองว่า “ถ้าเราวิ่งกับอารมณ์เสีย... ปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ จิต – ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว คือ ความมีจิตต์แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้แก่ สมาธิ ”
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ขบวนรถไฟสายตาสั้น ขึ้นชื่อว่า “วรรณกรรม” อาจเติมวงเล็บคล้องท้ายว่า “แนวสร้างสรรค์” เรามักได้ยินเสียงบ่นฮึมฮัม ๆ ในทำนอง วรรณกรรมขายไม่ออก ขายยาก ขาดทุน เป็นเสียงจากนักเขียนบ้าง บรรณาธิการบ้าง สำนักพิมพ์บ้าง ผสมงึมงำกัน เป็นเหมือนคลื่นคำบ่นอันเข้มข้นที่กังวานอยู่ในก้นบึ้งของตลาดหนังสือ แต่ก็ช่างเป็นคลื่นอันไร้พลังเสียจนราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวนหนังสือ
  นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 50 บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน จัดพิมพ์โดย : สำนักช่างวรรณกรรม