Skip to main content

นายยืนยง

 

 

ชื่อหนังสือ : อาถรรพ์แห่งพงไพร

ผู้เขียน : ดอกเกด

ผู้แปล : ศรีสุดา ชมพันธุ์

ประเภท : นวนิยายรางวัลซีไรต์ พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2549

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย



กลับบ้านสวนคราวที่แล้ว ตู้หนังสือยังคงสภาพเดิม ละอองฝุ่นเหมือนได้ห่อหุ้มมันให้พ้นจากสายตาผู้คน ไม่ก็ผู้คนเองต่างหากเล่าที่ห่อหุ้มตัวเองให้พ้นจากหนังสือ


นอกจากตู้หนังสือที่เงียบเหงาแล้ว รู้สึกมีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมขบวนความเหงาอีกสามสิบกว่าเล่ม น่าจะเป็นของน้องสาวที่ขนเอามาฝากไว้ ฉันจึงจัดเรียงมันใหม่ในตู้ใบเล็กที่วางอยู่ข้างกัน ดูเป็นบ้านที่หนังสือเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ ราวมันเองต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้าน แต่หนังสือนั้นหากไร้คนอ่าน คุณค่าของมันจะอยู่ที่ตรงไหน เป็นเฟอร์นิเจอร์ประกาศรสนิยมเจ้าของบ้านเท่านั้นหรือ


ก่อนกลับเข้าเมือง ฉันหยิบวรรณกรรมแปลเล่มหนึ่งมาด้วย เพราะอยากรู้จักนักเขียนจากประเทศนี้ขึ้นมา


อาถรรพ์แห่งพงไพร ผลงานของ ดอกเกด ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประเภทนวนิยาย ประจำปี 2549 เป็นวรรณกรรมของประเทศลาว ประเทศที่อยู่ใกล้แค่นี้ ขอบคุณ คุณศรีสุดา ชมพันธุ์ ที่แปลมาเป็นภาษาไทย


ดอกเกด เป็นนามปากกาของ ดวงเดือน บุนยาวง ดูจากประวัติผู้แต่งท้ายเล่มแล้ว เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญที่จะพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองให้ยั่งยืน เป็นบุคคลที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง


ดอกเกดสำเร็จการศึกษาปริญญาโท สาขาเคมีจากฝรั่งเศส เป็นอาจารย์และแปลวรรณคดีรัสเซีย และเป็นนักเคมีที่สนใจค้นคว้าวิจัยศิลปะวรรณคดี โดยเฉพาะการค้นคว้าเกี่ยวกับผ้าโบราณของลาว เธอได้รับรางวัลศิลปะและวัฒนธรรม ฟูกูโอกะเอเชีย ครั้งที่
16


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านวรรณกรรมของประเทศลาว เป็นความประทับใจแรกที่อยากเขียนถึง


อาถรรพ์แห่งพงไพร เป็นนวนิยายขนาดสั้น มี 10 ตอน ยาว125 หน้า นอกจากความประทับใจในตัวบทของนวนิยายที่หมดจดงดงามแล้ว ยังได้เห็นภาพชีวิต บุคลิกจำเพาะของคนลาวที่ซื่อใส จริงใจและยึดมั่นในพุทธศาสนา เอกลักษณ์เฉพาะเช่นนี้ ทำให้ชัดเจนขึ้นมาว่า ความเป็นสากลที่กล่าวถึงในงานวรรณกรรมหาใช่ความนำสมัยของแง่คิด ปรัชญาเลย หากแต่อยู่ที่ วรรณกรรมนั้นได้แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ ซึ่งแตกต่างกันไปแต่ละภูมิภาค


ในยุคสมัยที่สังคมปัจจุบันกำลังขาดแคลนความดีงามที่ชัดเจน นวนิยายเรื่องนี้ได้รวบรวมความดีงามเอาไว้มากมาย เริ่มตั้งแต่เรื่องของอานุภาพของความรักที่มีพลังเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ เรื่องของพลังสร้างสรรค์สังคมของคนหนุ่มสาว เรื่องของการเคารพธรรมชาติ และอีกหลาย ๆ เรื่องที่ประสานเข้ามาเป็นเอกภาพของนวนิยาย ซึ่งล้วนตลบอบอวลไปด้วยอาภรณ์แห่งความรัก


ในแถลงการณ์ผลการตัดสินรางวัลซีไรต์ประจำปี 2549 โดยท่าน ทองใบ โพทิสาน – หัวหน้าอำนวยการวารสารวรรณศิลป์ เลขาธิการสมาคมนักประพันธ์ลาว คณะกรรมการตัดสินรางวัลซีไรต์ลาว 2006 เขียนไว้ว่า อาถรรพ์แห่งพงไพร เขียนโดย ดอกเกด เป็นเรื่องการต่อสู้ของครูผันและชาวบ้านที่ต้องการนำไม้ออกจากป่าใกล้บ้านมาปลูกสร้างโรงเรียนซึ่งทรุดโทรม แต่ได้เกิดปัญหากับบริษัทสัมปทานไม้ ผันต้องเดินทางเข้านครหลวงเวียงจันทร์ เพื่อให้เบื้องบนช่วย ที่นั่นเขาได้พบกับมณีสวรรค์คนรักเก่า นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากข้อมูลที่เก็บจากความเป็นจริงในสังคม ตัวละครเอกเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม เนื้อหามีความสร้างสรรค์และกระตุ้นให้คนในสังคมหันมาสนใจในการอนุรักษ์ป่า รวมทั้งเขียนด้วยสำนวนภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับคนอ่านทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว (จากแถลงการณ์ในเล่ม)


ดอกเกดมีความสามารถในการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือพรรณนาถึงชีวิตที่อบอวลไปด้วยความหวังที่ยิ่งใหญ่ โดยเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวของสังคม และมีอิทธิพลตั้งแต่เปิดเรื่องกระทั่งจบ การณ์เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า ดอกเกด ได้มอบความหวังที่จะพัฒนาประเทศชาติไว้กับคนหนุ่มสาว และเธอเชื่อมั่นว่าคนรุ่นนี้จะทำหน้าที่ได้อย่างงดงามที่สุด


ครูผันเป็นหนุ่มโสดวัยยี่สิบสี่ยี่สิบห้า มาอยู่ที่หมู่บ้านหาดโพได้สองปีกว่าย่างเข้าปีที่สามแล้ว เรียนจบวิทยาลัยครูระดับกลางจากแขวงสะหวันนะเขต และได้มาประจำการอยู่ที่หมู่บ้านหาดโพในแขวงนี้ ตามความต้องการของเขาเอง (หน้า 11)


ที่จริงแล้ว ครูผันไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ด้วยความมุ่งมั่นหรืออุดมการณ์สูงส่งอะไร หากแต่เพราะเขาประชดชีวิต ประชดคนรักด้วยการเลือกมาเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนบ้านหาดโพแห่งนี้ แต่เมื่อต้องรับหน้าที่ครูเพียงคนเดียวของโรงเรียนที่เป็น “กระต๊อบติดพื้น มุงหญ้า .. ฝาไม้ไผ่ขัดลายสองนั้นเก่าผุมีรูโหว่อยู่ทั่วไป .. เพราะความชราภาพตามกาลเวลาของไม้เนื้ออ่อนซึ่งไม่ทนแดดทนฝน .. ไม่แน่ใจว่าจะทรงตัวอยู่ได้ถึงปีหรือไม่” (หน้า 9) ครูผันและหน่วยชาวหนุ่มของหมู่บ้านได้ยื่นเรื่องของไม้ในป่าใกล้ชุมชนมาสร้างโรงเรียนหลังใหม่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ตรงที่มีบริษัทเข้ามาได้สัมปทานป่าไม้ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปตัดไม้ ครูผันจึงรับหน้าที่ยื่นเรื่องร้องขอต่อเบื้องบน โดยมีมณีสวรรค์ หญิงสาวคนรักที่ทำให้เขาน้อยใจจนต้องหลบมาเป็นครูอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือ เธอทำงานองค์กรพัฒนาเอกชนจึงเป็นทั้งหน้าที่โดยตรงและทำตามที่หัวใจเรียกร้อง เรื่องราวดำเนินต่อไปอย่างตื่นเต้น เร้าใจ โดยดอกเกดสร้างตัวละครฝ่ายชั่ว โลภหวังจะได้ผลประโยชน์จากผืนป่า เข้ามาสร้างวิกฤตให้เรื่อง สุดท้ายหน่วยหนุ่มสาวก็สามารถเข้าตัดไม้ได้ตามเจตนารม และความเข้าใจผิดระหว่างคู่รักครูหนุ่มกับสาวนักพัฒนาก็คลี่คลายลงด้วยดี เรียกได้ว่าจบแบบสมหวัง


เนื่องจากปัญหาที่ตัวละครเผชิญอยู่ไม่ได้มีความซับซ้อนเหมือนอย่างวรรณกรรมที่เราเคยอ่าน เห็นได้ชัดจากเค้าโครงเรื่องคล้ายจะเป็นแบบสำเร็จรูป มีการผูกปมไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน หากนวนิยายเป็นดั่งกระจกสะท้อนความเป็นไปในสังคม เราจะพูดได้ไหมว่า สังคมลาวยังเป็นเมืองที่น่าอยู่มากกว่าอีกหลาย ๆ เมืองในโลกนี้


ขณะเดียวกันนวนิยายเรื่องนี้ก็ยังคงความงดงามเอาไว้ได้ด้วยวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของตัวละคร ด้วยมีส่วนผสมที่ผสานอยู่ตลอดเรื่อง และคอยหล่อเลี้ยงชีวิตชีวาของตัวละคร นั่นก็คือวรรณคดี โดยดอกเกดใช้คำผญา สุภาษิต ขับขานความงามของวัฒนธรรม ผ่านบทสนทนาของตัวละครได้อย่างแนบเนียน


เช่นหน้า 19 ช้างเข้านา พญาเข้าบ้าน เป็นสุภาษิตลาว หมายถึง เมื่อมีคนใหญ่คนโตมาเยือน ชาวบ้านต้องสิ้นเปลืองในการต้อนรับ โดยผันเป็นคนพูดอย่างเสียอารมณ์เมื่อต้องคลาดจากปลาช่อนตัวเขื่องที่ติดเบ็ดเพื่อมาร่วมปรึกษากับแม่บุญธรรมและชาวบ้านเรื่องที่จะมีเจ้าหน้าที่จากเมืองใหญ่


หรืออย่างในตอนการเยี่ยมเยือน เป็นฉากที่ชาวบ้านหาดโพจัดงานเลี้ยงต้อนรับครูผันที่ได้รับการประกันตัวออกจากคุก ซึ่งต้องมีคนรินเหล้าโดยจันทร์เพ็งเป็นผู้รับหน้าที่ หน้า 103

ธรรมดารินเหล้า คนรินต้องกินก่อน บางทีเหล้าอาจมียา ปลาอาจมีพิษ มีฤทธิ์ถึงตาย” มาจากผญาลาวที่ว่า “ธรรมดากินเหล่า คนหย่ายต้องกินก่อน ลางเทือเหล่าใส่ยาปาใส่ง้วน อวนข่อยส่วนสิตาย” ตามธรรมเนียมคนลาวดื่มเหล้าด้วยแก้วใบเดียวกัน โดยเวียนกันไปรอบวง คนรินเหล้าถูกเรียกว่า มืออ่อน มักจะถูกบังคับให้ดื่มเหล้าก่อนเสมอ ด้วยเหตุผลว่ากลัวเหล้ามียาพิษ


หรือในหน้า 122 ที่ดอกเกดจัดวางพิธีกรรมอันสืบเนื่องถึงวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งผูกพันอยู่กับการเคารพในคุณค่าของป่าเอาไว้ในตอนที่ครูผันกับมณีสวรรค์เข้าป่าและได้พบกับไม้กฤษณา ก่อนที่ครูผันจะกรีดเอาน้ำยางไป ผันยกมือขึ้นไหว้ พึมพำขอบคุณเทวดาฟ้าดิน และเจ้าที่เจ้าทาง ทำให้มณีสวรรค์พลอยต้องพนมมือไปด้วย

ลูกช้างไม่อยากทำลายตัดต้นไม้ต้นนี้ให้ตายทั้งต้น อยากขอเพียงแบ่งยางของท่านไปใช้เป็นยา ปลายมีดนี้จิ้มลงไปแล้ว ขออย่าได้เจ็บได้ปวด และขอให้ถูกจุดที่มียางด้วย” ผันอธิษฐานตามคำบอกเล่าของทิดแก่น แล้วจึงพิจารณามองหาจุดพิเศษก่อนจะตัดสินใจทิ่มแทง มณีสวรรค์ไม่รู้ธรรมเนียมเหล่านี้ แต่เธอก็รู้สึกตื้นตันไปด้วย ถ้าทุกคนนับถือจารีตนี้เหมือนกับผัน ไม่ตัดฟันต้นไม้ไปทั่ว นับถือและรู้คุณของป่า ป่าไม้คงจะสนองประโยชน์ให้แก่มนุษย์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด


ที่กล่าวมานั้นเป็นรายละเอียดที่เติมเต็มให้เนื้อหานุ่มนวลดั่งภาพเหมือนจริง ว่าไปแล้วนวนิยายส่วนใหญ่จะงดงามได้ด้วยเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ แต่ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของความรักไว้ตอนต้นนั้น ก็เพราะดอกเกดได้จุดประกายเรื่องราวนี้ไว้ด้วยต้นกำเนิดของความรัก


ความรักในที่นี้หาใช่เป็นรักระหว่างมนุษย์หรือคู่รัก หากแต่เป็นความรักที่มนุษย์มีต่อโลก ต่อสังคม และต่อธรรมชาติ ขอยกตัวอย่างที่ฉันคิดว่าเป็นหัวใจของเรื่องในหน้า 91 มาให้อ่าน เป็นฉากก่อนที่ครูผันจะถูกจับข้อหาลักลอบตัดไม้ ดอกเกดเขียนไว้ราวกับร่ายมนต์ไว้ว่า


ดูเหมือนว่าป่าดงพงไพรร่ายเวทมนต์คาถาสร้างเสน่ห์ให้ผันหวงแหนหลงใหลมันยิ่งขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นที่เห็นซากไม้กฤษณาลำต้นขนาดแขนขาถูกฟันล้มเป็นแถว น้ำตาของลูกผู้ชายคลอเบ้า ในวันแรกที่เห็นต้นประดู่ต้นแรกถูกโค่นลงด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง เสียงลำไม้ฉีกขาดล้มดังสะท้านป่าคล้ายเสียงสะอื้นสั่งลาของเนื้อไม้สีแดง ยางไม้ไหลอาบโคนต้นจนเปียกและซึมลงสู่พื้นดินรอบ ๆ โคนต้นอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำให้ดินรอบตอไม้เปียกชื้น ราวกับอยากจะเรียกร้องให้รากไม้ที่ยังฝังอยู่ใต้พื้นดินดูดซึมมันเอาไว้ แต่รากของตอไม้ปราศจากองคอินทรีย์อย่างอื่น ไม่อาจมีแรงดูดซึมวัตถุอินทรีย์ใด ๆ ได้อีกแล้ว เมื่อถูกคมโลหะที่แข็งแกร่งกว่าแทรกซึมตัดแยกทุกอณูเนื้อ พลังของมันก็สูญสลายไปพร้อมกับลำต้นอันแข็งแรง


ขณะที่ครูผันซาบซึ้งในวิถีชีวิตของชาวบ้านหาดโพ มณีสวรรค์ก็เริ่มเข้าใจ เห็นใจและยื่นมือเข้าช่วยเหลือเต็มกำลัง เรื่องจึงจบลงได้


สำหรับคอวรรณกรรมที่เรียกหาความเข้มข้นของเนื้อหา ชวนขบคิด ตีความเหมือนวรรณกรรมแปลจากกลุ่มละติน ยุโรป อาจผิดหวังบ้าง แต่ขอยืนยันว่า ในแง่ของความสามัญอันงดงามของชีวิต อาถรรพ์แห่งพงไพร ให้ได้เต็มร้อย.


บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 
สวนหนังสือ
นายยืนยง   พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
สวนหนังสือ
นายยืนยง บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง “กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์”
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา                  Ageless Body, Timeless Mind เขียน : โชปรา ดีปัก แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551   แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : แสงแรกของจักรวาล ผู้เขียน : นิวัต พุทธประสาท ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551   ชื่อของนิวัต พุทธประสาท ปรากฎขึ้นในความประทับใจของฉันเมื่อหลายปีก่อน ในฐานะนักเขียนที่มีผลงานเรื่องสั้นสมัยใหม่ เหตุที่เรียกว่า เรื่องสั้นสมัยใหม่ เพราะเรื่องสั้นที่สร้างความประทับใจดังกล่าวมีเสียงชัดเจนบ่งบอกไว้ว่า นี่ไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อชีวิต... เป็นเหตุผลที่มักง่ายที่สุดเลยว่าไหม
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : คนรักผู้โชคร้าย ผู้แต่ง : อัลแบร์โต โมราเวีย ผู้แปล : ธนพัฒน์ ประเภท : เรื่องสั้นแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2535  
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs. Dalloway) ผู้แต่ง : เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ผู้แปล : ดลสิทธิ์ บางคมบาง ประเภท : นวนิยายแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ชมนาด พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2550
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : จำปาขาว ลาวหอม (ลาวใต้,ลาวเหนือ) ผู้แต่ง : รวงทอง จันดา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทางช้างเผือก พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2552 ยินดีต้อนรับสู่พุทธศักราช 2553 ถึงวันนี้อารมณ์ชื่นมื่นแบบงานฉลองปีใหม่ยังทอดอาลัยอยู่ อีกไม่ช้าคงค่อยจางหายไปเมื่อต้องกลับสู่ภาวะของการทำงาน
สวนหนังสือ
“อารมณ์เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง” อาจารย์ชา สุภัทโท ฝากข้อความสั้น กินใจ ไว้ในหนังสือธรรมะ ซึ่งข้อความว่าด้วยอารมณ์นี้ เป็นหนึ่งในหลายหัวข้อในหนังสือ “พระโพธิญาณเถร” ท่านอธิบายข้อความดังกล่าวในทำนองว่า “ถ้าเราวิ่งกับอารมณ์เสีย... ปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ จิต – ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว คือ ความมีจิตต์แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้แก่ สมาธิ ”
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ขบวนรถไฟสายตาสั้น ขึ้นชื่อว่า “วรรณกรรม” อาจเติมวงเล็บคล้องท้ายว่า “แนวสร้างสรรค์” เรามักได้ยินเสียงบ่นฮึมฮัม ๆ ในทำนอง วรรณกรรมขายไม่ออก ขายยาก ขาดทุน เป็นเสียงจากนักเขียนบ้าง บรรณาธิการบ้าง สำนักพิมพ์บ้าง ผสมงึมงำกัน เป็นเหมือนคลื่นคำบ่นอันเข้มข้นที่กังวานอยู่ในก้นบึ้งของตลาดหนังสือ แต่ก็ช่างเป็นคลื่นอันไร้พลังเสียจนราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวนหนังสือ
  นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 50 บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน จัดพิมพ์โดย : สำนักช่างวรรณกรรม