Skip to main content

นายยืนยง
 

พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง


รากเหง้าของเราเอง ที่กวีสร้างกระแสขึ้นมาในยุคนี้นั้น เป็นรากเหง้าที่กล่าวได้ว่า ไม่ใช่รากเหง้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนยุคก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะรากเหง้าเคยถูกเราหยามเหยียดว่าไร้สาระ ไร้อารยธรรมและไม่ทันสมัย เนื่องมาจากอิทธิพลของจักรวรรดิอเมริกา แนวคิดอย่างโลกตะวันตก และลัทธิทุนนิยมที่กล่อมเกลาเราให้ดูชาญฉลาดขึ้นกว่าเดิม แต่ รากเหง้าของเราเอง ได้เกิดการผสมผสานเป็นโลกทัศน์ใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะตัวหรือในเชิงปัจเจกมากขึ้น มีการสร้างสรรค์ลีลา ท่วงทำนองของกวีนิพนธ์ขึ้นใหม่อย่างหลากหลาย มีการกล่าวถึงปรัชญาทั้งตะวันตก ปรัชญาตะวันออก หรือปรัชญาตะวันตกที่โน้มมาสู่ตะวันออก อย่างกว้างขวางจนน่าทึ่ง

ในส่วนของผู้อ่าน การจะเข้าถึงกวีนิพนธ์ในแง่ที่เป็นสุนทรียรสของกวีนิพนธ์หรือเข้าถึงปรัชญาที่กวีนิพนธ์พูดถึงนั้น เป็นเรื่องที่ผู้อ่านน่าจะให้ความสนใจ เพื่อปกป้องตัวเองจากการตกหลุมพรางของกวี จากอาการลุ่มหลงงมงายปรัชญาจนกลายเป็นผู้อ่านแสนเฟอะฟะแห่งยุคสมัยไป


ดังนั้น จะเป็นการดีไหมถ้าหากเราจะมาดูกันว่า กวีนิพนธ์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อนำมันร่วมพิจารณากับ
สาร ซึ่งก็คือ ปรัชญาต่าง ๆ ที่กวีนิพนธ์พูดถึง

การเกิดขึ้นของกวีนิพนธ์ ในที่นี้ขอตั้งสมมุติฐานไว้ 2 ข้อ ดังนี้

1.กวีรู้สึกเป็นมโนภาพ คือ ความรู้สึก นึก คิด จินตนาการของกวี เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นโดยไร้ถ้อยคำหรือภาษา เป็นความอิ่มเอมชั่ววูบหนึ่งที่ซ่านซึ้งใจ ซึ่งกวีต้องการสื่อสารไปถึงผู้อ่าน ด้วยการพรรณนาผ่านภาษากวีออกมา เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ทางอารมณ์ของกวี

ข้อนี้ถือเป็นวิวัฒนาการทางภาษา เป็นการแตกหน่อเติบโตทางภาษา กล่าวคือ เมื่อพบสภาวะอย่างใหม่อันหนึ่งแล้วต้องการถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด จำเป็นต้องมีการสร้างคำขึ้นมาใช้ใหม่ สร้างสำนวนโวหาร มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรย และเมื่อมีการพบสภาวะอย่างใหม่ขึ้นอีก สำนวนโวหารอย่างเดิมกลับใช้ไม่ได้ ต้องมีการสร้างขึ้นใหม่อีกเรื่อยไป เช่นนี้ เราจึงต้องขอบคุณกวีที่ได้สร้างสรรค์ถ้อยคำภาษาให้เราได้ใช้กันอย่างถึงใจ


กวีเป็นดั่งคลังของถ้อยคำทีเดียว


2.กวีรู้สึกเป็นภาษา คือ กวีรู้สึก นึก คิดหรือจินตนาการเป็นภาษา ต้องแยกเป็น 2 ข้อย่อยกันอีก คือ

- คิดออกมาตามกลไกของภาษา เหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยกับคำว่า กลอนพาไป คือ กวีจะรู้สึก จะคิดอะไรสะระตะไปตามความหมายของภาษาที่ถูกใช้กันอย่างคุ้นเคยในสังคม การเกิดขึ้นของกวีนิพนธ์แบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์อะไรมากมาย เพราะกวีจะไม่สามารถคิดอะไรใหม่ ๆ ภายใต้กลไกของภาษาที่อยู่ภายใต้บริบททางสังคม เช่น ถ้าเรารู้สึกถึงความทุกข์ที่เป็นคำว่า ทุกข์ มาก่อน ถ้อยคำที่เกี่ยวกับ ทุกข์ ก็จะถูกสมองดึงออกมาใช้งานเพื่ออธิบาย ทุกข์ ของเราหรือเพื่อปรุงแต่งทุกข์ของเรา แน่นอนว่า ถ้าระบบคิดของเราเป็นไปตามกลไกของภาษาตามความเคยชิน เราก็จะได้ถ้อยคำที่มีทั้งเป็นไปทางเดียวกันกับ ทุกข์ เช่น เศร้า โศก น้ำตา เลือด ความตาย หรือไปในทางตรงข้าม เช่น สุข พอใจ ดีใจ

เรียกว่า ให้ภาษาเป็นตัวชี้นำความคิด ความรู้สึก จินตนาการของเรา


- คิดออกมารวดเดียวพร้อมกับภาษาเป็นอัตโนมัติ โดยเฉพาะกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ กวีจะคิดออกมาเป็นกลอน เป็นกาพย์ โคลง หรือในกลอนเปล่า ที่ไร้ฉันทลักษณ์เป็นตัวกำหนด ก็สามารถคิดออกมารวดเดียวได้เช่นกัน ซึ่งข้อนี้เห็นว่ากวีต้องมีการฝึกปรือจนชำนาญทั้งเรื่องของการใช้ภาษาและมุมมองที่แจ่มชัด

หากจะอธิบายเป็นขั้นตอน อาจกล่าวได้ว่า เป็นความลงตัวพอดีระหว่างอารมณ์ ภาษา เหมือนการที่เราไปมองเห็น สัมผัสกับจุดสัมผัสนั้นได้พอดี สภาวะดังกล่าวจึงถูกถ่ายทอดมาพร้อมกัน สมมุติว่าถ้า
(1) คือ ความรู้สึกที่ไหลเวียนอยู่ และ (2) คือฉันทลักษณ์ที่ไหลเวียนอยู่ ถ้า(1)กับ(2) เคลื่อนไหลมาสัมผัสกัน ณ จุดหนึ่ง แล้วกวีไปมองเห็นจุดสัมผัสนั้น การถ่ายทอดจึงเป็นรวบเป็นขั้นตอนเดียวอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง


จากสมมุติฐานข้างต้น เราน่าจะลองกล่าวถึง
สาร ที่กวีต้องการถ่ายทอดสู่ผู้อ่าน ว่าเป็น สาร ที่ถือกำเนิดขึ้นจากมโนภาพหรือจากโครงสร้างทางภาษา เพื่อจะสรุปว่า กวีนิพนธ์ที่กวีเขียนขึ้นจากมโนภาพกับจากโครงสร้างทางภาษา มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง หลังจากนั้น เราอาจจะมองเห็นชัดขึ้นว่า 
กวีนิพนธ์แนวพุทธธรรมควรจะถูกอ่านแบบไหน ระหว่างการอ่านที่ยึดอิงกับหลักพุทธธรรม กับแบบที่อ่านเอาสุนทรียรสของกวีนิพนธ์


เมื่อลองย้อนกลับไปอ่านกวีนิพนธ์แนวพุทธธรรมในอดีต เราจะเห็นท่าทีแบบเทศนาอย่างตรงไปตรงมา หรือในรูปของสุภาษิต คำพังเพย แต่ในปัจจุบันกวีนิพนธ์ไม่อาจใช้วิธีการเทศนาแบบตรงไปตรงมาเช่นอดีตได้อีกแล้ว

หากยกหลักการเกิดปัญญาตามหลักธรรม พระพุทธเจ้าทรงแบ่งปัญญาออกเป็น 3 ระดับ

1.จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการคิด

2.สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการเรียน

3.ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการหยั่งรู้ ซึ่งปัญญาในระดับนี้เกิดจากการหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง มิอาจบอกกล่าวแก่กันได้ ต้องทดลองค้นพบด้วยตนเองเท่านั้น

นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแบ่งความรู้ออกเป็น 2 อย่าง คือ

1.ความรู้แบบมีเหตุมีผลทางตรรกศาสตร์ หรือวิธีคิดเป็นเส้นตรง

2.ความรู้แบบหยั่งรู้ คือ เกิดจากการเข้าถึงความเป็นจริงโดยไม่ต้องคิด เพียงแต่ไปขยายกำลังของสติสัมปชัญญะ เมื่อสติมีกำลังเข้มแข็งขึ้น การหยั่งรู้จึงเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

จะเห็นได้ว่าหลักการของพระพุทธเจ้าในการจะเกิดความรู้และปัญญานั้น ในระดับสูงสุดล้วนเป็นการหยั่งรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่วิธีการรู้ด้วยการบอกกล่าว ซึ่งหากกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมต้องการส่งสารแห่งการหยั่งรู้ไปสู่ผู้อ่าน กวีนิพนธ์จะเป็นอะไรได้?


น่าสังเกตอีกไหมว่า สภาวะของการหยั่งรู้นั้นเป็นบ่อเกิดของปัญญา ซึ่งกวีเองก็ต้องมีสภาวะเฉียบพลันดังกล่าวในการที่จะสร้างสรรค์กวีนิพนธ์เช่นเดียวกัน ต่างแต่ว่า พระพุทธเจ้าบอกว่าสภาวะของการหยั่งรู้นั้นถ่ายทอดกันไม่ได้ แต่สำหรับกวี สภาวะหยั่งรู้ต้องมีการถ่ายทอดออกมา จึงจะมีบทกวีเกิดขึ้น


ฉะนั้นปลายทางของการหยั่งรู้ในทางพุทธ กับในทางกวีนิพนธ์ จึงเป็นไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งไม่ได้หมายความว่า การอธิบายถึงสภาวะการหยั่งรู้ในกวีนิพนธ์เป็นเรื่องไม่ถูก

นอกจากนั้น กวีนิพนธ์ที่เกิดขึ้นจากการที่กวีรู้สึกเป็นภาษา คิดออกมาตามกลไกของภาษา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ยิ่งจะไม่สามารถถ่ายทอดสภาวะของการหยั่งรู้ในหลักพุทธธรรมได้เลย เพราะกวีไม่ได้เกิดมีสภาวะหยั่งรู้ขึ้นก่อน ก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมก็เป็นได้เพียง
คำกลอน เล่าเรื่องพระไตรปิฎก

นั่นคือเรื่องของ
สาร แต่หากเราจะมาดูกันในแง่ของ การสื่อสาร กวีนิพนธ์ยังสื่อสารผ่านภาษา ต้องผ่านการตีความโดยตัวกวีอีกด้วย ฉะนั้น หากกวีเป็นผู้สื่อสารแห่งพุทธธรรมตามพระไตรปิฏกแล้ว กระบวนการดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการนำพุทธชาดกมาเล่าใหม่ผ่านบริบทของสังคมปัจจุบันเท่านั้นหรือ หรือแม้แต่การนำศัพท์แสงทางพุทธธรรมต่าง ๆ มาตีความ อธิบายเพื่อสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมนั้น ก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ก็อาจจะเป็นเพียงภาษาของการขยายความตามพระไตรปิฎกเท่านั้น

ขณะที่พระไตรปิฎกยังเป็นฉบับเดิม คือเป็นการเทศนาแบบตรงไปตรงมา แต่กวีนิพนธ์กลับไม่อาจเทศนาแบบนั้นได้  ดังนั้นพุทธธรรมที่ถูกพูดผ่านกวีนิพนธ์ จึงเป็นพุทธธรรมที่ถูกตีความโดยตัวกวี ซึ่งเหมือนกับการตีความผ่านนักเขียนแนวธรรมทั้งหลาย ทำให้
สาร ที่ได้ไม่มีความแตกต่างจากหนังสือแนวธรรมะที่วางขายอยู่เต็มตลาด จะมีก็แต่ความประทับใจแรกที่อาจเป็นแค่ภาพลวงตาหรือหลุมพรางเท่านั้นเอง

การถ่ายทอดพุทธธรรมที่ผ่านการตีความและถ่ายทอดในแบบของกวีนิพนธ์โดยกวีนั้น หากมีข้อคลาดเคลื่อน


นอกจากนี้ การปรากฏขึ้นของ
ใบหน้ากวี ตามสื่อต่าง ๆ สู่สาธารณชน อาจทำให้ดูเป็นเหมือนเป็นการแสดงตัวที่ให้ความรู้สึกขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์แก่บทกวี

และที่สำคัญ ผู้อ่านจะไม่สามารถอ่านแบบที่ยึดอิงกับหลักพุทธธรรมได้ เพราะกวีไม่ได้เกิดสภาวะการหยั่งรู้ขึ้นก่อน หรือถึงแม้นว่า กวีจะเกิดสภาวะการหยั่งรู้ขึ้นก่อน ในทางพุทธก็ไม่สามารถถ่ายทอดสู่กันได้อีกด้วย


ดังนั้นกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรม จึงเป็นเพียงเปลือกนอกที่สร้างขึ้นจากกลไกของภาษาเท่านั้น และผู้อ่านก็ไม่ควรตกหลุมพรางของกวีที่ได้สร้างความประทับใจแรกด้วยการเอา
ป้าย พุทธธรรมมาติดโชว์ในกวีนิพนธ์

สำหรับผู้อ่าน เราควรอ่านพุทธธรรมด้วยวิธีการเรียนรู้ของพุทธธรรม ที่มีลำดับขั้นตอนสุดท้ายเป็นการหยั่งรู้ด้วยตนเอง แต่เราควรอ่านกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมเพื่อเสพเอาสุนทรียรสทางภาษามากกว่า นอกจากนี้กวีนิพนธ์ที่อธิบายถึงสภาวะการหยั่งรู้ได้หมดจด ก็ยังมีให้อ่านอีกมากมาย โดยไม่ต้องหลงยึดกับหลุมพรางใด ๆ


เพราะหากกวีต้องการให้กวีนิพนธ์ไปใช้ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากสุนทรียรสแล้ว กวีนิพนธ์ต้องสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาให้สำเร็จ ถ้ามัวหลงจำแลงภาพที่งดงามเกินกว่าที่เป็นจริง ไร้กฎเกณฑ์เกินกว่าที่เป็นจริง และลื่นไหลเกินกว่าที่เป็นจริงแล้ว พุทธธรรมในกวีนิพนธ์ก็เป็นเพียงเครื่องมือไร้ประสิทธิภาพที่กวีหลับหูหลับตาหยิบฉวยมาใช้งานเท่านั้นเอง.

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ผู้คนใกล้สูญพันธุ์ ผู้เขียน : องอาจ เดชา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา พ.ศ.2548 ได้อ่านงานเขียนสารคดีที่เป็นบทบันทึกช่วงชีวิตของอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ที่กลั่นร้อยจากความมุ่งมั่นขององอาจ เดชา นักเขียนสารคดีหนุ่มมือเอกแล้ว มีหลายความรู้สึกที่อยากเล่าสู่กันฟัง อีกทั้งทำให้อยากลุกมาเขียนจดหมายถึงคนต้นเรื่องคนนั้นด้วย กล่าวถึงงานเขียนสารคดีสักครู่หนึ่งเถอะ... สารคดีเป็นงานเขียนที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ข้อมูลทุกรายละเอียดล้วนเคารพต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันงานเขียนสารคดีเล่ม ผู้คนใกล้สูญพันธุ์ นี้ เป็นลักษณะกึ่งอัตชีวประวัติ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ม่านดอกไม้ ผู้เขียน : ร. จันทพิมพะ ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า พ.ศ.2541 ไม่นานมานี้มีโอกาสไปเยี่ยมชมวังเก่าที่เมืองโคราช เจ้าของบ้านเป็นครูสาวเกษียณราชการแล้ว คนวัยนี้แล้วยังจะเรียก “สาว” ได้อีกหรือ.. ได้แน่นอนเพราะเธอยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งน้ำเสียงกังวานและแววตาที่มีความฝันเปี่ยมอยู่ในนั้น วังเก่าหลังนั้นอยู่ใกล้หลักเมือง วางตัวสงบเย็นอยู่ใจกลางแถวของอาคารร้านค้า ลมลอดช่องตึกทำให้อากาศโล่ง เย็นชื่น พวกไม้ดอกประดับแย้มใบเขียวสดรับละอองฝน…
สวนหนังสือ
นายยืนยง      ชื่อหนังสือ     : ชีวิตและงานกวีเอกของไทย ผู้เขียน          : สมพงษ์ เกรียงไกรเพชร จัดพิมพ์โดย   : สำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา พิมพ์ครั้งแรก  : 27 มีนาคม พ.ศ.2508 ตั้งแต่เครือข่ายพันธมิตรประชาชนฯ เริ่มชุมนุมเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เสียงจากสถานีเอเอสทีวีก็กังวานไปทั่วบริเวณบ้านที่เช่าเขาอยู่ มันเป็นบ้านที่มีบ้านบริเวณกว้างขวาง และมีบ้านหลายหลังปลูกใกล้ ๆ กัน ใครเปิดทีวีช่องอะไรเป็นได้ยินกันทั่ว คนที่ไม่ได้เปิดก็เลยฟังไม่ได้สรรพ…
สวนหนังสือ
 นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : มาตุภูมิเดียวกัน ผู้เขียน : วิน วนาดร ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรกเมื่อกันยายน 2550   ปี 2551 นี้รางวัลซีไรต์เป็นรอบของเรื่องสั้น สำรวจดูจากรายชื่อหนังสือที่ส่งเข้าประกวด ดูจากชื่อนักเขียนก็พอจะมองเห็นความหลากหลายชัดเจน ทั้งนักเขียนที่ส่งมากันครบทุกรุ่นวัย แนวทางของเรื่องยิ่งชวนให้เกิดบรรยากาศคึกคัก มีสีสันหากว่ามีการวิจารณ์หนังสือกันที่ส่งเข้าประกวดอย่างเป็นธรรม ไม่เลือกค่าย ไม่เลือกว่าเป็นพรรคพวกของตัว อย่างที่เขาว่ากันว่า เด็กใครก็ปั้นก็เชียร์กันตามกำลัง นั่นไม่เป็นผลดีต่อผู้อ่านนักหรอก…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นกชีวิต ประเภท : กวีนิพนธ์ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อมีนาคม 2550 ผู้เขียน : เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งบทกวีก็สนทนากันเอง ระหว่างบทกวีกับบทกวี ราวกับกวีสนทนากับกวีด้วยกัน ซึ่งนั่นหาได้สำคัญไม่ เพราะความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงการแบ่งแยกระหว่างผู้สร้างสรรค์ (กวี) กับผู้เสพอย่างเรา ๆ แต่หมายถึงบรรยากาศแห่งการดื่มด่ำกวีนิพนธ์ เป็นการสื่อสารจากใจสู่ใจ กระนั้นก็ตาม ยังมีบางทัศนคติที่พยายามจะแบ่งแยกกวีนิพนธ์ออกเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นกวีฉันทลักษณ์ เป็นกวีไร้ฉันทลักษณ์…
สวนหนังสือ
นายยืนยงประเภท          :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย      :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้า (พิมพ์ครั้งที่ 2 เมษายน 2530)ผู้ประพันธ์     :    Bhabani Bhattacharyaผู้แปล         :    จิตร ภูมิศักดิ์
สวนหนังสือ
นายยืนยง"ความรู้รสในกวีนิพนธ์เป็นเรื่องเฉพาะตัว ตัวใครก็ตัวใคร จะมาเกณฑ์ให้มีความรู้สึกเรื่องรสของศิลปะเหมือนกันทีเดียวไม่ได้  ถ้าทุกคนรู้รสของศิลปะแห่งสิ่งใดเหมือนกันไปหมด สิ่งนั้นก็เป็นสามัญไม่ใช่มีค่าแห่งศิลปะที่สูง” ท่านเสฐียรโกเศศเขียนไว้ในหนังสือ รสวรรณคดี (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๓) ครั้นแล้วความซาบซึ้งในรสของกวีนิพนธ์อันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคุณผู้อ่านเล่าเป็นอย่างไรหนอ ในสถานการณ์ที่กระแสข่าวเน้นนำเสนอทางด้านเศรษฐกิจการเมือง ความเป็นอยู่ของกวีนิพนธ์จึงดูเหมือนจะซบเซาเหงาเงียบไป ทั้งที่เราต่างก็เติบโตมาท่ามกลางเบ้าหลอมแห่งศิลปะของกวีนิพนธ์ด้วยกัน ทั้งจากเพลงกล่อมเด็ก…
สวนหนังสือ
นายยืนยง(หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพปก ฉบับที่ ๔ ปีที่ ๓๒ เดือน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑)ภาพจาก : http://burabhawayu.multiply.com/reviews/item/16 ชื่อนิตยสาร : ปาจารยสาร ฉบับที่ ๓ ปีที่ ๒๘ เดือนมีนาคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๕จัดพิมพ์โดย : บริษัท ส่องศยาม
สวนหนังสือ
นายยืนยงบทวิจารณ์นวนิยาย:    สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ THE NAME OF THE ROSEผู้ประพันธ์    :    อุมแบร์โต เอโก  UMBERTO ECOผู้แปล         :    ภัควดี  วีระภาสพงษ์   จากฉบับแปลภาษาอังกฤษ ของ วิลเลียม วีเวอร์ บรรณาธิการ      :    วิกิจ  สุขสำราญสำนักพิมพ์      :     โครงการจัดพิมพ์คบไฟ  พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม พ.ศ. 2541
สวนหนังสือ
นายยืนยง  บทวิจารณ์นวนิยาย:    สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ THE NAME OF THE ROSEผู้ประพันธ์            :    อุมแบร์โต เอโก  UMBERTO ECOผู้แปล                 :    ภัควดี  วีระภาสพงษ์   จากฉบับแปลภาษาอังกฤษ ของ วิลเลียม วีเวอร์ บรรณาธิการ         :    วิกิจ  สุขสำราญสำนักพิมพ์        …
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ         :      พี่น้องคารามาซอฟ (The Karamazov Brother)ผู้เขียน              :      ฟีโอโดร์  ดอสโตเยสกีประเภท             :      นวนิยายรัสเซียผู้แปล               :      สดใสจัดพิมพ์โดย       :      สำนักพิมพ์ทับหนังสือ พิมพ์ครั้งที่สาม  ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๓
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ         :      พี่น้องคารามาซอฟ (The Karamazov Brother)ผู้เขียน              :      ฟีโอโดร์  ดอสโตเยสกีประเภท             :      นวนิยายรัสเซียผู้แปล               :      สดใสจัดพิมพ์โดย       :      สำนักพิมพ์ทับหนังสือ พิมพ์ครั้งที่สาม  ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓