Skip to main content

‘นายยืนยง’

20080205 ภาพปกหนังสือคลื่นใต้ทะเล

ชื่อหนังสือ      :    คลื่นทะเลใต้
ประเภท    :    เรื่องสั้น    
จัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์นาคร
พิมพ์ครั้งแรก    :    ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  
ผู้เขียน    :    กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุง

 

เรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตในเล่ม คลื่นทะเลใต้เล่มนี้  ทุกเรื่องล้วนมีความต่าง จากแนวเพื่อชีวิตดั้งเดิมอยู่บ้างในบางส่วน แม้โดยตัวละคร ฉาก บรรยากาศ น้ำเสียงของผู้เขียน และองค์ประกอบอื่น แต่ในความเหมือนเราก็จะได้เห็นความต่าง อาจเปรียบได้ว่า วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตมีการปรับกระบวนท่าอยู่ตลอดเวลา

เปรียบเป็นประตูบานใหม่ที่เปิดให้ห้องเพื่อชีวิตรับแสงสว่างจากโลกเบื้องนอก..บานแล้วบานเล่า  และประตูบานนั้นของจำลอง ฝั่งชลจิตรจากเรื่องสั้น สิ่งซึ่งเหลือจากพ่อ ได้รับรางวัลโล่เงินในการประกวดเรื่องสั้น โครงการหอสมุดเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (ครูเทพ) ปี ๒๕๒๖ เป็นประตูบานใหญ่ทีเดียวเมื่อเปรียบกับเรื่องสั้น ผ้าทอลายหางกระรอกซึ่งได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๒๓
        
แม้ผ้าทอลายหางกระรอกจะมีความเป็นเพื่อชีวิตมากเพียงไร แต่หากพิจารณาถึงการเลือกใช้เหตุการณ์ของความรักเป็นเบื้องหลังหนึ่งของเรื่อง ซึ่งอาจดูเหมือนจะช่วยผ่อนคลายความเคร่งเครียดของเรื่องแนวดังกล่าวลงบ้าง แต่จริง ๆ แล้วการเลือกเช่นนั้นกลับเทน้ำหนักให้คิดไปในแนวทางที่เขม็งเกลียวความเคร่งมากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่า เรื่องแนวเพื่อชีวิตมีลักษณะเด่นที่ศีลธรรมของเรื่อง ซึ่งมักผูกโยงให้เห็นความขัดแย้ง ๒ ขั้ว คือฝ่ายนายทุน ข้าราชการ ซึ่งเป็นผู้ร้ายตลอดกาล กับอีกขั้วคือ “ไพร่ฟ้า”ประชาชนที่มีใบหน้าของการถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดกาลอีกเช่นกัน

แต่วิธีการของจำลองในเรื่องผ้าทอลายหางกระรอกนั้น ทำให้คิดไปได้ว่า โศกนาฏกรรมของการเอารัดเอาเปรียบนั้นได้เริ่มต้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ประหนึ่งว่าการกดขี่ข่มเหงเริ่มตั้งแต่ไก่โห่ มันติดตัว “ไพร่ฟ้า”มาตั้งแต่เกิดราวกับเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อน เห็นชัดเจนได้จาก ความมุ่งหมายของกานดากับจรูญที่จะแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน แน่นอนอยู่แล้วที่คู่รักจะต้องมีลูก แต่การที่จรูญตั้งอกตั้งใจทอผ้าลายหางกระรอก เพื่อเป็นชุดเจ้าสาวของตัวในวันแต่งงาน เขาก็ถูกเงื่อนไขของนายทุนคือเถ้าแก่หว่า ที่ว่าชาวบ้านที่ทอผ้าต้องขายผ้าให้เขา เพราะเขาเป็นคนซื้อเส้นด้ายมาป้อนให้ทอแต่เพียงผู้เดียว เมื่อจรูญต้องซื้อผ้าทอลายหางกระรอกซึ่งเขาเป็นผู้ทอเองกับมือต่อจากเถ้าแก่หว่าด้วยราคาแพงอย่าน่าตกใจตาย และสุดท้ายจุดเริ่มต้นของการกดขี่จากขั้วนายทุนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

นับว่าเรื่องสั้นนี้ จำลองเลือกหยิบเหตุการณ์ที่ไม่ซ้ำกับเรื่องสั้นเพื่อชีวิตแบบดั้งเดิม แต่เนื้อหาหรือศีลธรรมของเรื่องยังคงใช้เครื่องหมายเท่ากับ ( = ) ได้เมื่อเปรียบกับเนื้อหาของเรื่องสั้นแบบเก่า ยังมีจุดเด่นอีกข้อหนึ่งที่จำลองพยายามลบใบหน้าของเรื่องสั้นเพื่อชีวิตของตัวเอง คือการเปรียบเปรยในหน้า ๖๕

นกเป็ดแดงฝูงหนึ่งกำลังดำหัวกินดอกสาหร่าย พอได้ยินเสียงคนมาก็บินพรึบ ๆ ขึ้นฟ้า  ส่งเสียงร้องแพ็บ ๆ หายไปท่ามกลางแผ่นฟ้าสีครึ้ม นกพวกนี้ทำรังอยู่ในกอหญ้ารกในทะเลสาบ มีจำนวนเป็นหมื่น ๆ ตั้งแต่ทะเลน้อยถึงลำปำ ยิ่งฤดูที่สาหร่ายออกดอกออกลูก นกพวกนี้ชุมที่สุด นกเป็ดหอม นกเป็ดลาย จะมาเมื่อปลายฤดูฝนจนทะเลสาบมีเสียงอึงมี่ เล่ากันว่า นกเป็ดหอม นกเป็ดลายมาจากทางเหนือของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น... พอแล้งก็บินกลับถิ่นฐานเหลือแต่นกปีกแดง กับนกเป็ดผีให้เฝ้าทะเลสาบ หากไม่ถูกมือดีดับชีพเสียก่อน...

หากย่อหน้าที่ยกมาจะไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงภูมิความรู้ของจำลอง ก็อาจเป็นการใช้สัญลักษณ์เปรียบเปรยผู้คนสองกลุ่มในเขตลุ่มทะเลสาบ นั่นก็สอดคล้องกับตัวละคน ๒ ขั้ว คือชาวบ้านกับนายทุน หรือไม่ใช่?...

จากเรื่องผ้าทอลายหางกระรอก เราจะเห็นได้ชัดว่าประตูบานนั้นของจำลองเปิดออกไปสู่สิ่งใด? เพื่ออะไร? และแน่นอนว่ามันได้เปิดออกจริง!

เรื่อง สิ่งซึ่งเหลือจากพ่อนั้น จำลองได้ใช้วิธีการเล่าแบบสบาย ๆ ไม่เน้นการจัดวางองค์ประกอบตามสูตรดั้งเดิมเพื่อเดินไปหาจุดมุ่งหมายของเนื้อหา คือการวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีการจัดงานศพที่จงใจให้เป็นเรื่องการค้ากำไรโดยไม่จี้ไปที่จุดขัดแย้ง ราวกับปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา

และด้วยน้ำเสียงของการเปรียบเทียบแบบประชดประชัน ดันทุรัง กระทบนั่นนิดนี่หน่อย และการใช้คำอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อเรียกร้องอารมณ์ร่วมจากผู้อ่าน จนได้บรรยากาศของคำว่าจริงใจไปเต็มกระบุงนั้น นอกจากเป็นการเปิดประตูบานใหญ่จากห้องเพื่อชีวิตแล้ว เขายังได้ทำให้กระบวนความแหลมคมบิดเบี้ยวไปเลย นอกเหนือจากลีลาการเขียนเหมือนอย่างหลงคารมตัวเองไปอีกข้อหนึ่ง

ข้อสังเกตต่าง ๆ ที่มีต่อประตูแต่ละบานของนักเขียนในเล่มคลื่นทะเลใต้นั้น ไม่ได้เรียกร้องให้สงวนแนวทางดั้งเดิมของวรรณกรรมเพื่อชีวิตแต่อย่างใด เราต่างก็ซาบซึ้งกันดีว่า โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัญหาและความซับซ้อนถูกกล่าวถึงจนปรุพรุนไปหมด

ดังนั้นแนวคิดที่เอื้ออิงกับทฤษฎีสังคมนิยมแบบมาร์ซที่พบในวรรณกรรมแนวนี้คงไม่เพียงพอจะตอบสนองโลกที่หมุนอย่างทารุณนี้ได้ และแน่นอนวรรณกรรมก็ต้องแสวงหาแนวทางใหม่ตลอดเวลาเช่นกัน ซึ่งหากจะตัดสินว่าเป็นการสร้างสรรค์หรือไม่นั้น ผู้อ่านย่อมอุปมาเองได้
        
นอกจากเรื่องสั้นที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีเรื่องสั้นที่ดำเนินเรื่องตามแนวทางดั้งเดิมอีกเรื่องหนึ่ง คือ นักมวยดัง ของ ขจรฤทธิ์  รักษาซึ่งเรื่องนี้ได้รับรางวัลวรรณกรรมยกย่องประเภทเรื่องสั้น ประจำปี ๒๕๓๓ จากสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย

เรื่องนี้เล่าเรื่องเป็นเส้นวงกลม คือเริ่มต้นและจบในจุดเดียวกัน ขณะที่ขจรฤทธิ์ได้เลือกหยิบแง่มุมเดียวที่ชัดเจน แหลมคม เพื่อพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีด้วยน้ำเสียงแบบโศกนาฏกรรม

เป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่ยอมฆ่าความนับถือตัวเองเพื่อแลกกับเงิน แลกกับบางอย่าง โดย ๒ ตัวละครที่มีจุดหมายในชีวิตเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่คนอย่างพี่นงค์ นักมวยดังรุ่นพี่ “ยอม”เพื่อแลกเงิน กับ “ผม”นักมวยรุ่นน้อง “ยอม”เพื่อแลกกับศรัทธาในชีวิต  ถือเป็นเรื่องสั้นที่น่าอ่านยิ่ง ด้วยภาษากระชับ กินความอย่างองอาจ หนักหน่วงเหมือนหมัดของนักมวยบนสังเวียนแห่งชีวิต

ซึ่งจับคู่ได้กับเรื่องสั้น ว่าวสีขาวของ ประมวล มณีโรจน์เป็นเรื่องที่ได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๒๓ ที่พูดถึงความเป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ พูดถึงศักดิ์ศรีและความไม่ยอมแพ้ซึ่งเป็นศักยภาพที่น่ายกย่องของมนุษย์เป็นโศกนาฎกรรมของเด็กชายผู้หัวไม่ดี แต่เก่งกาจกับเรื่องที่อยู่นอกโรงเรียนอย่าง “ก็อง”จุดที่แสดงอารมณ์สูงสุดของเรื่องอยู่ตรงช่วงที่ก็องปีนต้นไผ่ลำเท่าแขนเด็กเพื่อโน้ม โหนตัวไปเอาว่าวสีขาวที่ปลิวไปติดอยู่บนยอดต้นกอหลาโอน ซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลม สุดท้ายก็องก็ได้ว่าวของเขาคืนแม้ร่างกายจะระบมด้วยแผลจากหนามเกี่ยวตำ แต่ “รอยยิ้มแห่งชัยชนะก็แต้มพราวบนริมฝีปากดำเกรียม”

ตลอดทั้งเรื่อง ประมวลได้ใช้กลวิธีที่แยบยลเพื่อพูดถึงศีลธรรมของเรื่องอย่างที่เรียกได้ว่า ไม่ยัดเยียด หรือเทศนา แต่อย่างใด นอกจากนี้เขายังใช้พลังในการสร้างสรรค์ได้เต็มเปี่ยม เพื่อปลุกเร้าจิตวิญญาณที่หลับใหลอ่อนแอให้ลุกขึ้นสู้ได้ วิธีการที่แยบยลดั่งเป็นเรื่องที่หลุดออกมาจากชีวิตจริงหรือแนวสัจจะนิยมนี้ มักได้ใจจากผู้อ่านท่วมท้น

เช่นเดียวกับเรื่อง คลื่นหัวเดิ่งของ พนม นันทพฤกษ์ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๒๒ ที่พูดถึงเรื่องเดียวกัน แต่พนมได้เน้นให้เห็นถึงต้นเหตุหรือภูมิหลังของเรื่องราวอย่างเป็นเหตุเป็นผล แม้จะยังแบ่งขั้วขัดแย้งเป็น ๒ คือนายทุนกับชาวบ้านเช่นเดิม แต่ชาวบ้านกลับไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำและยืนหยัดลุกขึ้นสู้

ความคล้ายกันระหว่างเรื่องว่าวสีขาวและคลื่นหัวเดิ่งคือการชี้ทางออกให้กับปัญหาที่นำเสนอ ด้วยการไม่ยอมและลุกขึ้นสู้ด้วยศักยภาพของตัวเองนั่นเอง

ส่วนเรื่องที่มีวิธีการเล่าเรื่องแบบเนิบนาบอย่าง ขวดปากกว้างใบที่ยี่สิบเอ็ด ของ อัตถากร บำรุง ที่ได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๓๕ นั้น ไม่เน้นการวางโครงเรื่องตามแบบดั้งเดิม ไม่เน้นจุดขัดแย้งของเรื่อง แต่เป็นการเล่าด้วยน้ำเสียงกระทบกระเทียบและคาดหวังต่อตัวละครในเรื่องที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งต้องการยาปลุกสมรรถภาพทางเพศจากหมอยาพื้นบ้านผู้ชรา

อัตถากรเล่าโดยไม่กระตุ้นให้ผู้อ่านใฝ่หาแต่จุดจบของเรื่องอย่างเดียว แต่เขาใช้วิธีการกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็มีเสียงที่เรียกร้องจากหมอยาพื้นบ้านผู้ชราอยู่เป็นเนือง ๆ  เสียงเรียกร้องดังกล่าวนั้นแสดงนัยยะของ

อัตถากรเอง ซึ่งได้พูดถึงความซื่อสัตย์และจิตสำนึกที่ดีงาม โดยเขาได้บอกผ่านคำพูดของหมอยาพื้นบ้านผู้ชราในหน้า ๑๖๕ ว่า “คุณอาจจะไม่เข้าใจ นี่มันเป็นรายละเอียดของเรื่องจริยธรรม...มันเหมือนกับจิตสำนึกของนักการเมืองที่ดี ซึ่งควรจะซื่อสัตยต่อประชาชนของเขา”

อัตถากรยังคาดหวังแม้ในบรรทัดสุดท้ายของเรื่องโดยทิ้งประโยคในจิตสำนึกของผู้อำนวยการขณะขับรถกลับออกจากบ้านหมอยา ที่เสียงหัวเราะของหมอยาชรายังคงกังวานอยู่ว่า “มันช่างชัดเจนราวกับว่า เขากำลังหัวเราะอยู่เอง...”
        
เห็นได้ว่ารวมเรื่องสั้นคลื่นทะเลใต้เป็นกระบวนเรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตที่กำลังขยับปรับเปลี่ยนวิธีไปจากเดิมแทบทุกเรื่อง และโดยวิธีของนักเขียนมือรางวัลแต่ละคนก็ล้วนแสดงออกถึงลักษณะจำเพาะของทัศนะคติในนักเขียน

ถึงตัวละคร ฉาก บรรยากาศในแต่ละเรื่องจะมีลักษณะเป็น “ใต้”ตามแนวคิดของคณะผู้จัดพิมพ์ และนักเขียนก็ประณีตบรรจงในการถ่ายทอดภูมิปัญญา วิถีชีวิตอย่าง “คนใต้”ออกมาด้วยทัศนะที่ทั้งรักทั้งชังนั้น

แต่ภายใต้ความเป็น“ใต้”เหล่านั้นเอง ที่ประกาศให้เรื่องสั้นเหล่านั้นยังคงน่าอ่าน น่าชื่นชมมาจนทุกวันนี้.


    

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ถ้าเปรียบสวนหนังสือเหมือนผืนดินแห่งหนึ่งแล้วล่ะก็ ผู้เขียนเองก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อหนังสือ จากการอ่านผลงานทางวรรณกรรมของบรรดานักประพันธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะรูปแบบเรื่องสั้น นวนิยาย หรือกระทั่งกวีนิพนธ์บางเล่ม ข้อเขียนที่มีต่อหนังสือบางเล่มหรือเรื่องบางเรื่อง อาจแบ่งเป็นผลรับตามสูตรคณิตศาสตร์ได้ไม่ชัดเจน ใช้หลักต้องใจต้องอารมณ์และความนึกหวังเป็นหลักก็ว่าได้
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : จักรวาลผลัดใบ การเกิดใหม่ของจิตสำนึก ผู้เขียน : กลุ่มจิตวิวัฒน์ ประเภท : ความเรียง พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน  
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ           :           ชะบน ผู้เขียน               :           ธีระยุทธ  ดาวจันทึก ประเภท              :           นวนิยาย   พิมพ์ครั้งที่ 1 เมษายน 2537 จัดพิมพ์โดย        :    …
สวนหนังสือ
นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มนุษย์หมาป่า ผู้แต่ง : เจน ไรซ์ ผู้แปล : แดนอรัญ แสงทอง จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์หนึ่ง พิมพ์ครั้งแรก : สิงหาคม 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : บันทึกนกไขลาน (The Wind-up Bird Chronicle) ผู้เขียน : ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) ผู้แปล : นพดล เวชสวัสดิ์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน   “หนูอยาก...อยากจะได้มีดผ่าตัดสักเล่ม หนูจะกรีดผ่า ชะโงกหน้าเข้าไปมองข้างใน ไม่ใช่ผ่าศพคนนะ... แค่ก้อนเนื้อแห่งความตาย หนูแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ในนั้น ก้อนกลมเหนียวหยุ่นเหมือนลูกซอฟต์บอล แก่นกลางแข็งเป็นเส้นประสาทพันขดแน่น หนูอยากหยิบออกมาจากร่างคนตาย เอาก้อนนั้นมาผ่าดู อยากรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่... (ภาคหนึ่ง, หน้า 36)
สวนหนังสือ
นายยืนยง  เมื่อวานนี้เอง ฉันเพิ่งถามตัวเองอย่างจริงจัง แบบไม่อิงค่านิยมใด ๆ ถามออกมาจากตัวของความรู้สึกอันแท้จริง ณ เวลานี้ว่า ทำไมฉันชอบอ่านวรรณกรรมมากที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหลาย คุณเคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้หรือเปล่า
สวนหนังสือ
นายยืนยง ฉันวาดหวังสวยหรูไว้กับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงบนผืนดินห้าไร่เศษ ที่ดินผืนสวยซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยปัจจัยแห่งกสิกรรม มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีบ่อน้ำขนาดใหญ่สองบ่อ และกระท่อมน้อยบนเนินเตี้ย ๆ รายล้อมไปด้วยทุ่งข้าวเขียวขจี แต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน มายาแห่งหวังก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ฉันจำเก็บข่มความขมขื่นไว้กับชีวิตใหม่ ในที่พำนักใหม่ ซึ่งไม่ใช่ผืนดินแห่งนี้
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ  : ความมั่งคั่งปฏิวัติ Revolutionary Wealth ผู้เขียน  : Alvin Toffler, Heidi Toffler ผู้แปล  : สฤณี  อาชวานันทกุล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน   พิมพ์ครั้งที่ 2  มกราคม  2552
สวนหนังสือ
  และแล้วรางวัลซีไรต์ปี 2552 รอบของนวนิยายก็ประกาศผลแล้ว ปรากฏเป็นผลงานนวนิยายเรื่อง ลับแลแก่งคอย ของอุทิศ เหมะมูล โดยแพรวสำนักพิมพ์เป็นผู้จัดพิมพ์ (ประกาศผลเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา)ใครเชียร์เล่มนี้ก็ได้ไชโยกัน ฉันเองก็มีเล่มนี้เป็นหนึ่งในหลายเล่มด้วย รู้สึกสะใจลึก ๆ ที่อุทิศได้ซีไรต์ เนื่องจากเคยเชื่อว่า งานดี ๆ อย่างที่ใจเราคิดมักพลาดซีไรต์เป็นเนืองนิตย์ ผิดกับคราวนี้ที่งานดี ๆ ของนักเขียน "อย่างอุทิศ" ได้รางวัล
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ           :           นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย ผู้แต่ง                 :           วิสุทธิ์ ขาวเนียม ประเภท              :           กวีนิพนธ์รางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 10 จัดพิมพ์โดย        : …
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ลับแล, แก่งคอยผู้แต่ง : อุทิศ เหมะมูลประเภท : นวนิยายจัดพิมพ์โดย : แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก 2552
สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประเทศใต้ผู้เขียน : ชาคริต โภชะเรืองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ก๊วนปาร์ตี้ ข้อเด่นอย่างแรกที่เห็นได้ชัดจากนวนิยายเรื่องประเทศใต้ หนึ่งในผลงานที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปีนี้ คือ วิธีการดำเนินเรื่องที่กระโดดข้าม สลับกลับไปมา อย่างไม่อาจระบุว่าใช้รูปแบบความสัมพันธ์ใด ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง หรืออย่างที่สกุล บุณยทัต เรียกในบทวิจารณ์ว่า "ไร้ระเบียบ" แต่อย่าลืมว่านวนิยายเรื่องนี้ได้เริ่มต้นที่ "ชื่อ" ของนวนิยาย ซึ่งในบทนำได้บอกไว้ว่า "ผม" ได้รับต้นฉบับนวนิยายเรื่องหนึ่งจาก "เขา" ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน มันมีชื่อเรื่องว่า…