Skip to main content

‘นายยืนยง’

20080409 1

ชื่อนิตยสาร      :    ฅ คน ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๕ (๒๔)  มีนาคม ๒๕๕๑
บรรณาธิการ     :    กฤษกร  วงค์กรวุฒิ
เจ้าของ           :    บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด

ฅ คน นับเป็นนิตยสารรายเดือนที่รวบรวมหลากหลายแง่มุมของชีวิต ผู้คนและเนื้อหาของคนในสังคม  เป็นเสียงบอกเล่าผ่านมุมมองของนักเขียนสารคดี ว่าด้วยเรื่องกึ่งชีวประวัติ หากอ่านเอาเรื่องก็ได้คติแง่คิด ขณะเดียวกันเราจะพบว่าลีลาของนักเขียนบทความ สารคดี ล้วนเขียนด้วยสำนวนอย่างงานวรรณกรรม ซึ่งนับเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับก้าวย่างของงานเขียนประเภทนี้
        
ปัจจุบันงานเขียนสารคดีได้ปรับกระบวนอย่างชัดเจนมากขึ้น นอกจากพื้นฐานที่ต้องเขียนบนหลักการ ข้อเท็จจริงแล้ว นักเขียนสารคดีต่างแต้มสำนวน ลีลาให้ออกรสออกชาติ ด้วยวิธีการนำเสนอแบบอาศัยโครงสร้างอย่างเรื่องสั้น หรือนิยาย ทำให้งานเขียนประเภทนี้มีแรงเร้า ชวนอ่าน และโดดเด่นมากขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธ

กล่าวได้ว่านักเขียนสารคดีในปัจจุบัน สามารถก้าวผ่านข้อเขียนที่ละเลงข้อมูล- ข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้ากรอบของงานไปได้ไกลแล้ว การก้าวพ้นกรอบเกณฑ์ปลีกย่อยนี้ต้องยกย่องนักเขียนสารคดีอย่างจริงจังอีกด้วย ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอารางวัลใดมาเทียบเคียง ยกยอปอปั้นกันให้เอิกเกริก เพราะงานเขียนสารคดีที่ดีเข้าขั้นสามารถก้าวเข้ามานั่งในใจนักอ่านได้ไม่ยากเย็น ทั้งยังได้เกร็ดความรู้ประเทืองสมองพ่วงท้ายมาด้วย     

นอกเหนือจากในนิตยสารรายเดือนต่าง ๆ เช่น  สารคดี หรือ  ฅ คน แล้ว อีกเล่มที่น่าอ่านจนถึงขั้นไม่ควรพลาด ทั้งด้วยฝีมือการเขียน กับเรื่องราวที่ที่ถูกสื่อกระแสหลักปิดบังมานาน และเรา (ประชาชน) ต้องร่วมรับรู้ คือ โศกนาฏกรรมคนชายขอบ

โศกนาฏกรรมคนชายขอบ ประกอบด้วยสารคดีว่าด้วยวิถีชีวิตของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย อธิบายถึงความเป็นมาแต่ดั้งเดิม บอกเล่าถึงชะตากรรมอันเข้มข้นของพวกเขาซึ่งถูกรุกราน ทำลายล้างด้วยอำนาจของภาครัฐภายใต้แผนนโยบายพัฒนาฟื้นฟูอันสวยหรู  รวมทั้งได้สะท้อนภาพปัญหาอย่างชัดเจน และไม่ละเลยที่จะชี้แจงทางออก วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยความเป็นธรรมในน้ำเสียงของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

ถ่ายทอดผ่านนักเขียนสารคดี ๕ คน คือ สุมาตร  ภูลายยาว, อานุภาพ  นุ่นสง,  แพร  จารุ,  ภู  เชียงดาว, จิตติมา  ผลเสวก  โดยบรรณาธิการ  สุริยันต์  ทองหนูเอียด

ว่าไปแล้วโศกนาฏกรรมคนชายขอบ หรืองานเขียนสารคดีที่มุ่งเสนอแง่มุมชีวิตของกลุ่มคนที่เสมือนไร้ตัวตน หรือถูกรัฐหรือสื่อกระทำให้ไร้ตัวตนไปจากช่องทางการรับรู้ของสังคมกระแสหลัก กำลังขยับขยายให้มี “หอกระจาย” ข่าวสารซึ่งอาจเรียกกันว่า ทางเลือกใหม่ (ส่วนหนึ่งมาจากความเบื่อหน่ายของสื่อกระแสหลัก) ปรากฎการณ์นี้ก่อร่างสร้างพลัง ผลักดัน ต่อสู้กันมาเป็นเวลายาวนาน จากหลากหลายกลุ่ม หลายองค์กร ซึ่งแน่นอนว่า ชื่อของ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือในนามของ ส.ศิวรักษ์  ก็เป็นผู้หนึ่งที่ยืนหยัดแสวงหาแนวทางกระจ่างฝ่ายุคอึมครึม ด้วยแนวทางความคิดอ่าน ด้วยวิถีการดำเนินชีวิต และบุคลิกเฉพาะตัว เราจึงไม่อาจปฏิเสธว่า ส.ศิวรักษ์ เป็นดั่งอาจารย์ของเรา ทุกครั้งที่อาจารย์พูด ลูกศิษย์อย่างเรามีหรือจะไม่สดับตรับฟัง

20080409 2
ที่มาภาพ : http://www.bangkokbiznews.com/2005/12/03/images/picweb_copy685.jpg

จากบทสัมภาษณ์  สุลักษณ์ ศิวรักษ์ 75 ปี บนเส้นทางแสวงหาสัจจะ ในนิตยสาร  ฅ คน เดือนมีนาคม ๒๕๕๑ นั้น มีคำถามเกี่ยวกับชัยชนะของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมที่น่าสนใจ ในหน้า ๖๙  ขอยกมาให้อ่านกัน

(ถาม) เข้าใจว่าชัยชนะที่อาจารย์พูดถึง มิใช่การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของคนเล็ก ๆ ในการผลักดันเรื่องต่าง ๆ ในสังคม

(ตอบ) คือเราไม่ได้เห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู อันนี้สำคัญมาก ศาสนาพุทธสอนไว้อย่างนี้  ถ้าเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู เราจะเป็นเหมือนเขาเลย ในภาษาอังกฤษบอกว่า ถ้าคุณสู้กับมังกร คุณจะกลายเป็นมังกร ศาสนาพุทธบอกว่า ถ้าคุณสู้กับมาร คุณก็กลายเป็นมาร ถ้าคุณเกลียดไอ้พวกคอร์รัป แล้วคุณก็จะคอร์รัปเหมือนเขา  พระไพศาล วิสาโล พูดไว้ดีมากว่า มดสู้มาตลอด แต่มดไม่เคยเห็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นศัตรู ไม่เห็นว่ากองทัพเป็นศัตรูเพราะฉะนั้นมดเขาก็ไม่เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย ศาสนาพุทธใช้วิธีนี้นะครับ ศาสนาพุทธมันอยู่กับผี ไม่ได้ฟันผีให้ล้มไป แต่ทำผีให้เชื่อง อยู่กับไสยศาสตร์ ทำให้ไสยศาสตร์เชื่อง ตอนนี้เราอยู่กับทุนนิยม บริโภคนิยมก็ต้องทำให้ทุนนิยม บริโภคนิยมเชื่อง ต้องทำอย่างนี้ อย่าไปเห็นว่าต้องฆ่าไอ้หมักทิ้ง ฆ่าทักษิณทิ้ง ไม่ใช่หวังว่าเขาจะดีขึ้นในวันหนึ่ง ผมก็เชื่อว่าเขาจะดีขึ้นได้อาจจะช้าหน่อย ไม่ใช่เขา คนอื่นก็คงจะดีขึ้นได้

การกล่าวถึง มด (ชื่อเล่นของ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์)  พระไพศาล วิสาโล หรืออ้างถึงศาสนาพุทธ ล้วนถือเป็นศิลปะแห่งวาทะที่เราจะพบได้เป็นจังหวะ ๆ ขณะให้สัมภาษณ์ นี้ทำให้นึกถึงประโยคอมตะที่ว่า ศิลปะส่องทางให้กัน แต่การณ์นี้กลับยิ่งกว่า เพราะการที่ “คนอย่าง” สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าวยกย่องถึง “คนอย่าง” มด วนิดา กล่าวยกย่อง “คนอย่าง” พระไพศาล วิสาโล เท่ากับเป็นการต่อคบไฟแห่งความหวังให้ผู้คนและสังคม  แม้จะไม่ใช่ศิลปะการประพันธ์ แต่นี่เป็นศิลปะแห่งชีวิต

ครั้นมาดูคำถามนี้บ้าง

(ถาม) ส. ศิวรักษ์ มาเข้าใจคนจน ก็เพราะเจ้า แต่ ส. ศิวรักษ์ ก็เป็นคนที่วิพากษ์เจ้ามากที่สุด

(ตอบ) ผมไม่ได้รังเกียจเจ้านะครับ  แต่ถ้าเจ้าทำตัวเป็นคนมากเท่าไหร่ ก็จะน่ารักมากขึ้นเท่านั้น  แต่ถ้าเจ้าทำตัวเป็นเทวดา เป็นอภิสิทธิ์ชนเท่าไหร่ ก็จะยิ่งน่าเกลียดขึ้นเท่านั้น เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากหรอก

การพูดถึงเจ้า คนแต่ก่อนนี้เขาพูดนะครับ รัชกาลที่ ๗ ท่านรับสั่งเลยว่า ท่านจะทำอะไรใหม่ ๆ แล้วมีคนถามว่า ไม่กลัวคนวิพากษ์วิจารณ์หรือ ท่านบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินทำอะไรคนก็วิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว

สมัยก่อนนี้ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล คนก็ด่าพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ ๗ ท่านเข้าใจ คุณเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์หนึ่งก็ต้องถูกด่าสิครับ แต่ตอนนี้เราจะให้ชมอย่างเดียวหรือไง คนแต่ก่อนนี้เขาวิพากษ์วิจารณ์ครับ

คำตอบของ ส. ศิวรักษ์  แสดงออกถึงความเป็นปราชญ์ ถึงความรู้และประสบการณ์ และที่สำคัญความกล้าพูดความจริง กล้าคิดต่าง ซึ่งถือเป็นจุดหนึ่งที่หลอมรวมเป็นตัวตนของ ส. ศิวรักษ์ในปัจจุบัน  

การกล้าคิดต่าง เป็นข้อสำคัญประการใหญ่ทีเดียว และ ส.ศิวรักษ์ ก็ถือเป็นบุคคลหนึ่งในสังคมที่อาจหาญชาญชัย หากใครสนใจกระบวนการกล้าจะคิดต่าง สามารถหาอ่านเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิตได้จาก หนังสือ แหวกแนวคิด ของ ส.ศิวรักษ์  ซึ่งสำนักพิมพ์ ๒๒๒ เป็นผู้จัดพิมพ์ จากการลงตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์ ฐานสัปดาห์วิจารณ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ ในวาระที่  ส. ศิวรักษ์ เดินทางไปรับรางวัล Alternative Nobel  หรือรางวัลสัมมาอาชีวะ (Right Livelihood Award) ประกาศให้ ปัญญาชนสยามผู้อื้อฉาว – ส.ศิวรักษ์ เป็นหนึ่งในสี่ปัจเจกบุคคลและองค์กรที่สมควรได้รับรางวัลในฐานะ “ ผู้ปกป้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ปี ๒๕๓๘ (Honour Defenders of Democracy and Human Rights)
        
ความกล้าคิดแหวกแนว กล้าพูดความจริง กล้าวิพากษ์วิจารณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ไม่ใช่สักแต่ “วิจารณ์” คนอื่น ไม่หันดูตัว  ดังที่หลายคนเป็นๆ อยู่ หากแต่ ส. ศิวรักษ์ยังกล้าพูดถึงด้านลบของตัวเองอย่างจริงใจด้วย  ดังเช่นในหน้า ๗๖

(ถาม) ในชีวิตอาจารย์  มีอะไรที่คิดว่าเป็นความล้มเหลวบ้างไหม
        
(ตอบ)  (เงียบ...)  ขอเวลาคิดหน่อย  เพราะคนเรามักจะปิดบังความล้มเหลว (หัวเราะเสียงดัง)  ...ความล้มเหลวที่หนึ่ง  ผมเทศน์มากเกินไป ผมทำในสิ่งที่ผมเทศน์น้อยเกินไป เทศน์มากกว่าลงมือทำ  ความล้มเหลวข้อที่สอง  จนป่านนี้อายุเจ็ดสิบห้าแล้วยังอยากมีกิ๊กอยู่...ให้ตายห่าสิ  

ความล้มเหลวที่สำคัญที่สุด  ที่ผมเทศน์ให้คนเขาลืมผม  เพราะลึก ๆ แล้วผมก็อยากเป็นอมตะ  ลึก ๆ ไม่อยากให้เขาลืม (หัวเราะ) นี่ถือเป็นความล้มเหลว... เพราะคนที่ถือพุทธจริงๆ จังๆ ชาติหน้าผมก็ไม่ใช่ ส. ศิวรักษ์ แล้ว  ไปติดยึดอะไรกับชื่อ ต้องทำใจในเรื่องนี้ให้ได้  ถ้าละตรงนี้ได้ก็คือดวงตาเห็นธรรม  ... ฯลฯ ...

หรือในคำถามนี้
(ถาม)  ในฐานะที่เป็นผู้ที่แสวงหาความจริง  และชีวิตที่ดำเนินมาได้ผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมไทยจากเผด็จการ  มาถึงยุคทุนนิยม บอกได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่น่าชังที่สุดในสังคมไทย

(ตอบ)  สิ่งที่น่าชังที่สุด  ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐  เป็นต้นมา  สังคมไทยเป็นสังคมซึ่งปฏิเสธความจริง  และเอาความจริงระคนเท็จมามอมเมาคนโดยตลอด  จนกระทั่งคนไม่เห็นผิดที่จะไม่พูดความจริง   ...ด้วยความเคารพ  แม้กระทั่งสื่อทั้งหมดทำตัวเหมือนปศุสัตว์เลย  เราไม่ยืนหยัดฝ่ายความจริงที่จะต่อต้านเลย  ... ฯลฯ ...

บทความนี้ แม้ได้วางแง่มุมของการวิจารณ์วรรณกรรมที่คุ้นเคยลงอย่างทื่อ ๆ   
แต่ก็หวังว่าเรา ๆ ท่านจะไม่ถือสา  เพราะเราต่างรู้สึกได้ว่า แม้วรรณกรรมจะเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของภาษา วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิต  แต่ขณะเดียว พื้นใจของเราย่อมเปิดรับทัศนคติจากบทสัมภาษณ์ ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการกรองคำ กรองความเป็นรูปแบบของงานเขียน ดังเช่น บทสัมภาษณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ที่ยกมานี้ เพราะสำหรับบางคนแล้ว การเชี่ยวชาญในด้านหนึ่ง ก็อาจให้ผลเทียบเคียงกับผู้ที่เชี่ยวชาญในอีกด้านได้เช่นกัน

นอกจากกระตุ้นให้เราขุกจิตคิดขึ้นได้ทันทีแล้ว ยังจุดเพลิงพลังใจและสานต่อให้ได้อยากเรียนรู้ ศึกษา เมื่อเรามองเห็นชีวิตของคนอื่น นอกจากจะมองเห็นเฉพาะตัวเอง.
                



        

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ถ้าเปรียบสวนหนังสือเหมือนผืนดินแห่งหนึ่งแล้วล่ะก็ ผู้เขียนเองก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อหนังสือ จากการอ่านผลงานทางวรรณกรรมของบรรดานักประพันธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะรูปแบบเรื่องสั้น นวนิยาย หรือกระทั่งกวีนิพนธ์บางเล่ม ข้อเขียนที่มีต่อหนังสือบางเล่มหรือเรื่องบางเรื่อง อาจแบ่งเป็นผลรับตามสูตรคณิตศาสตร์ได้ไม่ชัดเจน ใช้หลักต้องใจต้องอารมณ์และความนึกหวังเป็นหลักก็ว่าได้
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : จักรวาลผลัดใบ การเกิดใหม่ของจิตสำนึก ผู้เขียน : กลุ่มจิตวิวัฒน์ ประเภท : ความเรียง พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน  
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ           :           ชะบน ผู้เขียน               :           ธีระยุทธ  ดาวจันทึก ประเภท              :           นวนิยาย   พิมพ์ครั้งที่ 1 เมษายน 2537 จัดพิมพ์โดย        :    …
สวนหนังสือ
นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มนุษย์หมาป่า ผู้แต่ง : เจน ไรซ์ ผู้แปล : แดนอรัญ แสงทอง จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์หนึ่ง พิมพ์ครั้งแรก : สิงหาคม 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : บันทึกนกไขลาน (The Wind-up Bird Chronicle) ผู้เขียน : ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) ผู้แปล : นพดล เวชสวัสดิ์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน   “หนูอยาก...อยากจะได้มีดผ่าตัดสักเล่ม หนูจะกรีดผ่า ชะโงกหน้าเข้าไปมองข้างใน ไม่ใช่ผ่าศพคนนะ... แค่ก้อนเนื้อแห่งความตาย หนูแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ในนั้น ก้อนกลมเหนียวหยุ่นเหมือนลูกซอฟต์บอล แก่นกลางแข็งเป็นเส้นประสาทพันขดแน่น หนูอยากหยิบออกมาจากร่างคนตาย เอาก้อนนั้นมาผ่าดู อยากรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่... (ภาคหนึ่ง, หน้า 36)
สวนหนังสือ
นายยืนยง  เมื่อวานนี้เอง ฉันเพิ่งถามตัวเองอย่างจริงจัง แบบไม่อิงค่านิยมใด ๆ ถามออกมาจากตัวของความรู้สึกอันแท้จริง ณ เวลานี้ว่า ทำไมฉันชอบอ่านวรรณกรรมมากที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหลาย คุณเคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้หรือเปล่า
สวนหนังสือ
นายยืนยง ฉันวาดหวังสวยหรูไว้กับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงบนผืนดินห้าไร่เศษ ที่ดินผืนสวยซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยปัจจัยแห่งกสิกรรม มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีบ่อน้ำขนาดใหญ่สองบ่อ และกระท่อมน้อยบนเนินเตี้ย ๆ รายล้อมไปด้วยทุ่งข้าวเขียวขจี แต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน มายาแห่งหวังก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ฉันจำเก็บข่มความขมขื่นไว้กับชีวิตใหม่ ในที่พำนักใหม่ ซึ่งไม่ใช่ผืนดินแห่งนี้
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ  : ความมั่งคั่งปฏิวัติ Revolutionary Wealth ผู้เขียน  : Alvin Toffler, Heidi Toffler ผู้แปล  : สฤณี  อาชวานันทกุล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน   พิมพ์ครั้งที่ 2  มกราคม  2552
สวนหนังสือ
  และแล้วรางวัลซีไรต์ปี 2552 รอบของนวนิยายก็ประกาศผลแล้ว ปรากฏเป็นผลงานนวนิยายเรื่อง ลับแลแก่งคอย ของอุทิศ เหมะมูล โดยแพรวสำนักพิมพ์เป็นผู้จัดพิมพ์ (ประกาศผลเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา)ใครเชียร์เล่มนี้ก็ได้ไชโยกัน ฉันเองก็มีเล่มนี้เป็นหนึ่งในหลายเล่มด้วย รู้สึกสะใจลึก ๆ ที่อุทิศได้ซีไรต์ เนื่องจากเคยเชื่อว่า งานดี ๆ อย่างที่ใจเราคิดมักพลาดซีไรต์เป็นเนืองนิตย์ ผิดกับคราวนี้ที่งานดี ๆ ของนักเขียน "อย่างอุทิศ" ได้รางวัล
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ           :           นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย ผู้แต่ง                 :           วิสุทธิ์ ขาวเนียม ประเภท              :           กวีนิพนธ์รางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 10 จัดพิมพ์โดย        : …
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ลับแล, แก่งคอยผู้แต่ง : อุทิศ เหมะมูลประเภท : นวนิยายจัดพิมพ์โดย : แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก 2552
สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประเทศใต้ผู้เขียน : ชาคริต โภชะเรืองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ก๊วนปาร์ตี้ ข้อเด่นอย่างแรกที่เห็นได้ชัดจากนวนิยายเรื่องประเทศใต้ หนึ่งในผลงานที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปีนี้ คือ วิธีการดำเนินเรื่องที่กระโดดข้าม สลับกลับไปมา อย่างไม่อาจระบุว่าใช้รูปแบบความสัมพันธ์ใด ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง หรืออย่างที่สกุล บุณยทัต เรียกในบทวิจารณ์ว่า "ไร้ระเบียบ" แต่อย่าลืมว่านวนิยายเรื่องนี้ได้เริ่มต้นที่ "ชื่อ" ของนวนิยาย ซึ่งในบทนำได้บอกไว้ว่า "ผม" ได้รับต้นฉบับนวนิยายเรื่องหนึ่งจาก "เขา" ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน มันมีชื่อเรื่องว่า…