คำโกหก-ความจริง ในฐานะแอกและภารกิจทางศีลธรรมไทย (1)


ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร

หากมองแบบผิวเผินแล้ว เราอาจจะรู้สึกว่า การรักษาศีล 5 นั้นตรงไปตรงมาและง่ายแสนง่าย ศีลหรือที่เรียกในไตรปิฎกว่าสิกขาบท 5 นับเป็นเบสิคศีลของ “คนดี” แบบไทยๆที่จะก้าวต่อไปสู่ความซับซ้อนอย่างศีล 8, ศีล 10 ไปจนถึง ศีล 227 ตามกำลังบารมีและกาลเทศะ  สำหรับผู้เขียนแล้ว มีศีลอยู่ข้อหนึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือ มุสาวาทเวรมณีฯ อันหมายถึง ข้อห้ามการโกหก เนื่องมาจากการโกหก ความลวง และสิ่งที่เป็นมายานั้น วางอยู่ในระนาบที่สนิทแนบกับสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง”  “ข้อเท็จจริง” เพียงแต่ว่าเป็นด้านที่ดูเหมือนว่าอยู่ตรงข้ามกันอย่างขาว ดำ

การหลีกเลี่ยงพูดโกหกนั้นอาจคิดว่า ทำได้ไม่ลำบากลำบนนัก เพียงแค่การกล่าว “ความจริง” อย่างตรงไปตรงมาแล้ว การละเมิดศีลข้อนี้ก็ปิดประตูบาปอบายได้เลย เพียงแค่เอ่ยปากหรือไม่เท่านั้น เราก็สามารถกำหนดความดี ความชั่วได้ด้วยปลายลิ้นของเราเอง แต่ในชีวิตจริงอาจไม่ง่ายเช่นนั้น เนื่องจากว่า ชีวิตมนุษย์เราต้องสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก และมีความแตกต่างกันทั้งในด้านไลฟ์สไตล์ อุดมคติ อุดมการณ์ สารพัดความขัดแย้งจากเบาไปถึงหนักล้วนมีอยู่เสมอ ในบางครั้ง “การโกหก” ได้กลายเป็นเครื่องมือทางสังคมที่จะบรรเทาและผ่อนคลายความตึงเครียดและความขัดแย้งได้อย่างไม่น่าเชื่อ พอๆกับเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือ “การนินทา”  การโกหกจึงมีมิติทางสังคมวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กันอยู่และเป็นระบบหนึ่งที่ผู้สอนพุทธศาสนาทั้งเข้าใจ ไม่เข้าใจและพยายามจะละเลยบทบาทของมันอย่างน่าเสียดาย

คำสอนเรื่องโกหก : จากสิกขาบท 5 หรือศีล 5 ในไตรปิฎก
จากการค้นคว้าในไตรปิฎกออนไลน์ที่แปลเป็นภาษาไทยอีกทอดหนึ่ง ได้ให้ความหมาย “มุสาวาท” ในวินัยปิฎกส่วนที่เป็น มุสาวาทวรรค ในวรรคนี้มีอยู่ 3 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพูดนั่นคือการพูดเท็จใน “มุสาวาทสิกขาบท” [1]  การพูดเสียดสีใน “โอมสวาทสิกขาบท” [2]  และการพูดส่อเสียด ใน “เปสุญญสิกขาบท” [3]   เมื่อเป็นวินัยปิฎกจึงเห็นได้ว่าเป็นส่วนของต้นบัญญัติของกฎข้อห้ามต่างๆ หรือกล่าวได้ว่าส่วนนี้คือ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการตั้งกฎนั่นเอง ในส่วนของการพูดเท็จนั้น ที่มาของเรื่องก็คือ พระหัตกะศากยบุตรได้ไปถกเถียงเพื่อเอาชนะกับนักบวชลัทธิอื่น (ที่เรียกว่า เดียรถีย์) โดยอาศัยการกล่าวเท็จกลบเกลื่อนทั้งที่ตัวเองรู้อยู่แก่ใจ เดี๋ยวรับ เดี๋ยวปฏิเสธ ซึ่งเหตุนั้นทำให้ถูกคนตำหนิติเตียน พอพุทธะทราบเรื่องก็ได้ติเตียนว่า

“การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว” 

จากนั้นก็ได้บัญญัติความผิดว่า ใครละเมิดให้ต้องอาบัติระดับปาจิตตีย์

การนิยามศีล 5 หรือ สิกขาบท 5 นั้นพบว่าอยู่ในส่วนของพระสุตตันตปิฎก ทำให้เห็นว่าการมุสาวาทเป็นการจำกัดอยู่เพียง “งดเว้นจากการพูดเท็จ” [4] ไม่ว่าจากการนิยามใน ทสุตตรสูตร ที่แบ่งธรรมเป็นหมวดหมู่ หรือในสิ่งที่เรียกว่า ธรรม 5 ประการ (ซึ่งถือกันว่าอีกชื่อหนึ่งของ ศีล 5) ก็เน้นเรื่องวาจาก็เป็น “งดเว้นจากการพูดเท็จ” เช่นเดียวกัน การค้นคว้าในระยะเวลาอันสั้นในไตรปิฎกออนไลน์ ยังไม่พบว่า สิกขาบท 5 ระบุนิยามอะไรที่พิสดารกว่านี้ อย่างไรก็ตามบริบทของตัวธรรมบทนี้เป็นการแยกถ้อยคำ ออกมาอธิบาย โดยไม่ให้แบ็คกราวน์ชัดเจนว่าเป็นการบรรยายให้ใครฟัง

ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ก็ยังนิยาม “มุสาวาทา เวรมณี” ว่า “เว้นจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง” (to abstain from false speech) [5]

อย่างไรก็ตามเราพบ ธรรมบทที่เกี่ยวข้องกับวาจาที่ถือว่าเป็นโทษอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเราดูจากคำว่า “วจีทุจริต” ในบริบทที่พุทธะพูดคุยกับพระเจ้าอชาตศัตรู ก่อนหน้านั้นได้ยกธรรมบทต่างๆ มาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการพูดเปรียบเทียบกับเจ้าลัทธิสำนักต่างๆ จนกระทั่งยก “จุลศีล” ซึ่งเป็นศีลของพระภิกษุ ซึ่งได้ปรากฏว่ามีส่วนที่เกี่ยวกับการพูดดังนี้ [6]

4. เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง.
5. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
6. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
7. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

จะเห็นได้ว่า วาจาไม่พึงประสงค์ของพระภิกษุไม่ได้มีแค่การกล่าวเท็จ แต่เป็นคำพูดที่สร้างความไม่งามของเหล่าสงฆ์ ยังไม่นับว่าข้อห้ามบางประการเป็นประสบการณ์ตรงที่พุทธะและเหล่าสังฆะเผชิญมาตลอดในสังคมที่เต็มไปด้วยพระร้อยพ่อพันแม่ (และหลายกรณีพระที่ละเมิดจุลศีลนี้ ก็ได้รับการยกเว้นโดยอ้างว่าเป็น “วาสนาเก่า” ที่ติดมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว) 

ในความเห็นผู้เขียนแล้ว ความละเอียดอ่อนของข้อห้ามเรื่องการพูดนอกจากการพูดเท็จที่ครอบไปถึง การพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ นั้นเป็นศีลของพระภิกษุที่วางไว้เป็นกรอบการปฏิบัติเพื่อรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรพุทธที่เพิ่งสถาปนาขึ้นให้มีความเคารพน่าเลื่อมใส ดังนั้นศีล 5สำหรับปุถุชนแล้ว การนิยาม “มุสาวาท” นั้นน่าจะยุติอยู่ที่การพูดเท็จน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริงกับชีวิตธรรมดาที่มนุษย์ที่กิน ขี้ ปี้ นอน ในชีวิตประจำวัน การตีความไกลเกินไป ยิ่งทำให้ชาวบ้านร้านตลาดผู้มีชีวิตยุ่งเหยิงกับโลกย์ๆ ห่างไกลกับการเข้าถึงธรรมที่เราอ้างว่าเป็นสากล หรือเราต้องการธรรมเพื่อเป็นกฎหมายให้สยบยอมกับอำนาจทางโลกย์ ซึ่งผู้เขียนไม่อาจเห็นเช่นนั้นได้

ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะถกเถียงและจำกัดกรอบกันอยู่เพียง มุสาวาท คือ การโกหกและพูดเท็จเท่านั้น

การโกหกในชีวิตประจำวัน
ในหมู่ชนชั้นกลางไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว ภายในศีลทั้ง 5 ข้อนี้ พวกเขาสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะละเมิดศีลข้อนี้เป็นที่สุด เนื่องจากการป้องกันตัวเองจากการฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ดื่มสุรา และการประพฤติผิดทางกาม ยังถือว่าหลีกเลี่ยงได้ง่ายกว่าและค่อนข้างเมกเซนส์ในชีวิตประจำวันแต่อาจต้องอาศัยความอดทนมากกว่าปกติบ้างที่จะไม่ตบยุง, โหลดบิท, ดริ๊งเบาๆหลังเลิกงาน แต่การโกหกนั้น ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่

เพราะว่าโลกของพวกเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตธุรกิจ ชีวิตพนักงานประจำ พวกเขาจำเป็นต้องเผชิญกับโจทย์ชีวิตอยู่เสมอๆ แล้ว “คำโกหก” นั้นเป็นเครื่องมือที่เขาใช้มันเพื่อทะลุทะลวงทางตัน หรือกระทั่งใช้สำหรับอำนวยความสะดวกอยู่เสมอ คำถามแนวสารภาพบาปและหาทางล้างบาป เกี่ยวกับ การโกหก จึงเป็นคำถามคลาสสิคที่นักปฏิบัติธรรมชนชั้นกลางเหล่านี้จะมีต่อสำนักธรรมที่ตนเข้ารีตอยู่เสมอ

แนวทางที่น่าสนใจของการตอบคำถามเรื่องโกหกอยู่ 2 แบบ นั่นคือ การนิยามการโกหกที่ตายตัว กับ การนิยามการโกหกที่ลื่นไหลและประนีประนอมกับสถานการณ์ชีวิตจริง อย่างไรก็ตามต้องขอออกตัวก่อนว่า ด้วยระยะเวลาที่จำกัดในการค้นคว้า อาจเป็นเพียงการหยิบคำตอบของพระบางรูปในบางสถานการณ์มาเท่านั้น เราอาจพบว่าในสถานการณ์เฉพาะอื่นๆ พระรูปนั้นอาจพูดต่างกันไปได้ ในที่นี้ได้นำคำตอบของพระสี่รูป นั่นคือ พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) แห่งวัดพระธรรมกาย, พระไพศาล วิสาโล, พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี), พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ แห่งวัดพระธรรมกาย และพระมิตซูโอะ คเวสโก พระชาวญี่ปุ่นแห่งวัดป่าสุนันทวนาราม กาญจนบุรี  อย่างไรการวิเคระห์นี้ไม่ได้หมายถึงว่า พระแต่ละรูปเป็นอย่างไร แต่มันเป็นเพียงการแบ่งแนวทางของคำตอบเท่านั้น นอกจากนี้ตามคำถามและคำตอบเหล่านี้ มันสะท้อนให้เห็นการดำรงอยู่ของอาการหวาดกลัวของชนชั้นกลางต่อการละเมิดศีล ในขณะที่ต้องการให้พื้นที่ของปัจเจกชนที่มีชีวิตซับซ้อนให้ดำรงอยู่ในภาวะศีลไม่ด่างพร้อยไปด้วย 

คำตอบจากแนวทางที่ไม่ประนีประนอม
พบว่าสำหรับแนวทางที่ไม่ประนีประนอม พระภิกษุจะไม่เห็นว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ดีงามในตัวมันเองและไม่มีข้อยกเว้นจากกาละเทศะใดๆทั้งสิ้น การโกหกถือเป็นการทำลายความบริสุทธิ์ของศีล และการกระทำเพียงเล็กน้อยจะนำไปสู่การสั่งสมความเลวร้ายจากการโกหกที่ใหญ่กว่าได้

กรณีของพระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) [7]  แห่งวัดพระธรรมกาย ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการโกหกในรายการโทรทัศน์ “หลวงพ่อตอบปัญหา” ของสถานี DMC TV ว่า “คำที่ไม่เป็นจริง ห้ามพูดเด็ดขาด...โกหกก็คือโกหก มันผิดนะ” และเห็นว่าข้ออ้างที่ว่า โกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจนั้นฟังไม่ขึ้น “โกหกก็คือโกหก มันผิดนะ” ยิ่งกรณีที่พ่อบ้านจอมเจ้าชู้ที่อ้างว่า โกหกเฉพาะเมียเพื่อความสบายใจนั้นยิ่งเป็น “บาป” ที่น่าสนใจก็คือการอธิบายที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันว่า การโกหกเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นเกิดจากการขาดการจัดการชีวิตได้อย่างรอบคอบมากพอ

ขณะที่พระไพศาล วิสาโล  [8] พระที่ได้ชื่อว่าเป็นพระที่เปิดใจกว้างกับสังคมสมัยใหม่อย่างมากให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ให้คำตอบว่า “การพูดโกหกนั้น แม้จะมีเจตนาดี ถ้าตั้งใจโกหก ก็ถือว่าผิดศีลทั้งนั้น แต่ก็ยังมีส่วนดีตรงที่มีเจตนาดี ต้องมองแยกเป็นส่วนๆ จะให้ดีก็ควรมีทั้งเจตนาดีและพูดความจริง” นอกจากนั้นยังเห็นว่าการโกหก แม้จะด้วยเจตนาดีแก่จะทำให้ติดนิสัย ซึ่งจะทำให้แก้ไขได้ยาก ในอีกด้านพระไพศาลก็เน้นให้มีการฝึกทักษะการพูดความจริงโดยไม่มีผลร้ายต่อผู้ฟังที่เรียกว่าเป็น “ทักษะสังคม” 

คำตอบจากแนวทางที่ประนีประนอม
ในแนวทางนี้พบว่าเกิดการประนีประนอมเนื่องจากว่า ผู้ถามหรือลูกศิษย์ส่วนใหญ่เป็นคนในเมืองที่ต้องเจอกับปัญหาชีวิตประจำวันที่ซับซ้อนมากขึ้น พระผู้ตอบพยายามจะทำความเข้าใจกับโลกแบบนี้ แต่ก็ยังมีเฉดของมัน พระบางท่านอาจจะประนีประนอมไปด้วยในบางกรณี แต่บางกรณีกลับยืนกราน

การโกหกในความเห็นของพระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ [9] แห่งวัดธรรมกาย จัดอยู่ในแนวทางประนีประนอม พระรูปนี้พยายามเข้าใจการโกหกในเงื่อนไขของสังคมสมัยใหม่ นั่นก็คือการอธิบายถึงข้อยกเว้นที่จะผิดศีลมุสาฯอย่างเข้าใจถึงประสบการณ์ฆราวาส เช่น การพูดให้กำลังใจกับผู้ป่วยของหมอ อย่างไรก็ตามมีข้อแนะนำว่า บางครั้งการบอกความจริงอาจจะดีกับคนไข้มากกว่า แต่ต้องบอกอย่างมีศิลปะ ที่น่าสนใจก็คือ อาการเกรงกลัวบาปจากการโกหก หลายครั้งเราจะเห็นว่า คำถามที่ถูกยกขึ้นมา ดูเป็นความกังวลที่เกินเหตุนั่นว่าจะเป็นการโกหกหรือไม่ นั่นคือ การพูดตามมารยาทแบบไทยที่ต้องยกยอกัน (ซึ่งแน่นอนว่าไม่เป็นความจริง) หรือกระทั่งการหวาดกลัวกับการผิดสัญญา การให้คำสัญญาแล้วทำไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นการโกหกด้วย แต่จะยกเว้นแต่ว่ามีเหตุสุดวิสัย เช่น ให้สัญญาว่าจะส่งของแล้วเกิดเหตุแผ่นดินไหวเสียก่อนทำให้ไม่สามารถส่งของได้ 

นอกจากนั้นยังคำถามที่ผู้เขียนเห็นว่ากระแทกไปที่วัดธรรมกายอย่างไม่ได้ตั้งใจก็คือคำถามว่า การสร้างภาพลักษณ์ที่ทำให้ตัวเองดูดี ทั้งที่ความจริงมิได้เป็นอย่างนั้นถือว่าโกหกหรือไม่ ก็มีคำตอบที่ให้ทางออกไว้ว่า นั่นถือเป็นสิทธิของเขาและเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล ในทางกลับกันกลับเตือนผู้ถามด้วยว่า อย่าดูที่เปลือกนอกแต่เพียงอย่างเดียว 

อย่างไรก็ตาม ผลกรรมของการโกหกได้มีการบรรยายไว้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การอธิบายด้วยการวินิจฉัยที่ดูเป็นแพทย์สมัยใหม่นั่นคือโยงเข้ากับโรคอัลไซเมอร์ นั่นคือ การโกหกมันทำให้เกิดภาพซ้อนและทำให้เจ้าตัวเองสับสนว่าอันไหนจริงหรือโกหก ทำให้ขี้หลงขี้ลืมพอสับสนหนักๆ จำไม่ไหว ก็จะกลายเป็นอัลไซเมอร์ ในอีกด้านก็คือนำนรกมาขู่ บอกว่า พวกโกหกจะมีนรกขุมมุสาวทะโดยเฉพาะ ในที่นี้โทษดังกล่าวยังควบคุมพฤติกรรมไปถึงการพูดส่อเสียด ยุให้แตกแยกกัน การพูดคำหยาบรวมถึงการพูดเพ้อเจ้ออีกด้วย และจะเห็นได้ว่านี่เป็นการจงใจเข้าไปควบคุมพฤติกรรมการพูด หนึ่งในการประพฤติดี 3 มาตรฐานนั่นคือ กาย วาจา ใจ

ระบบการให้โทษได้แสดงให้เห็นว่า ผลกรรมและบาปเกี่ยวกับการโกหกนั้นก็มีลำดับขึ้นอยู่อยู่ นั่นคือ หากตั้งใจอย่างแรงกล้าก็ถือว่าบาปมาก การโกหกต่อบุคคลผู้มีคุณธรรมสูงก็จะยิ่งบาปมากเช่น ภิกษุผู้ทรงศีลหรือพ่อแม่ เป็นต้น จารีตคำสอนแบบวัดพระธรรมกายมักจะใช้นรกมาขู่และสวรรค์มาล่อก็ยังเป็นพื้นฐานความคิดสำคัญที่ซ้อนอยู่ด้วย

ส่วน พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) [10] ได้ให้ความเห็นต่อการโกหกผ่าน รายการมองต่าง อย่างมีธรรม ในตอนที่ชื่อว่า “โกหกด้วยเจตนาดี ก็เป็นบาป” ว่า การที่จะกำหนดว่า เงื่อนไขที่จะทำให้การโกหกนั้นสมบูรณ์ จะต้องผ่านกรอบการพิจารณาองค์ประกอบ 5 ประเด็นนั่นคือ หนึ่ง เรื่องนั้นเป็นเรื่องเท็จ, สอง เราตั้งใจจะกล่าวให้เห็นว่าเป็นเรื่องจริง, สาม เราเปล่งวาจากล่าวออกมา, สี่ มีคนเชื่อตามที่เรากล่าววาจานั้นและห้า มีผู้เสียหาย ถ้าครบถ้วนก็ถือได้ว่า การโกหกนั้นบาปโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามการโกหกเพื่อต้องการให้ผู้อื่นสบายใจนั้นไม่ได้เข้าเกณฑ์ทั้ง 5 ดังนั้นหากนับเป็นบาปก็ถือว่าน้อยมาก เพราะว่าไม่มีเจตนาจะทำร้ายใครให้เสียหาย สอดคล้องกับชีวิตคนสมัยใหม่ที่มักมีข้ออ้างในการโกหกว่าเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการจัดความสัมพันธ์ทางสังคม

สำหรับพระมิตซูโอะ คเวสโก [11] ได้ตอบคำถามของลูกศิษย์ฆราวาส ด้วยความที่มีลูกศิษย์ที่เป็นชนชั้นกลางอยู่มากจึงทำให้คำตอบเอื้อให้แก่ผู้ฟังเห็นคล้อยถึงเจตนาเป็นหลัก ดังนั้นการพูด “ไม่เป็นจริง” แต่ไม่มีเจตนาอกุศล ไม่ถือว่าโกหก เช่น หากเราไม่สบายแต่กลัวแม่เป็นห่วงก็ตอบไปว่าไม่เป็นอะไร นั้นถือว่าเป็นเจตนาดี หรือการที่เราอยู่ในหน่วยงานราชการหรือบริษัท จำเป็นต้องรักษาความลับขององค์กร เมื่อถูกถามและเค้นเอาคำตอบจากเรา เราก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยอุบายต่างๆ หลักการสำคัญก็คือ “หัวใจของศีลอยู่ที่การไม่เบียดเบียนเรา ไม่เบียดเบียนเขา” และนั่นก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมให้การโกหกเป็นเครื่องมือทางสังคมแบบหนึ่ง 

นี่คือ การโกหกที่นิยามผ่านไตรปิฎกและการตีความในสังคมร่วมสมัยผ่านพระภิกษุมีชื่อ น่าจะทำให้เราเห็นภาพร่างเกี่ยวกับการให้ความหมายของการโกหกในเทอมของพุทธศาสนาได้ชัดเจนมากขึ้น และจะเห็นว่าการโกหกนั้นไม่ได้เป็นนิยามที่ตายตัว และปรับสภาพไปตามสังคม จากเดิมในพุทธกาลที่พุทธสาวกนำมาใช้แล้วถูกติเตียนเนื่องจากว่าไม่ดีไม่งาม ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กร ขณะที่ในยุคหลังๆ การโกหกที่ผูกอยู่กับศีลที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเรื่อย ก็เบียดขับการโกหกและคนโกหกให้กลายเป็นหนึ่งในความหยาบช้าชั่วร้ายมากขึ้น แต่ในทางกลับกันในสังคมสมัยใหม่ที่พุทธศาสนาเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของตลาดทางจิตวิญญาณก็พบว่า เริ่มมีการปรับตัวยอมรับการโกหกให้มีพื้นที่ทางสังคมอีกครั้ง

ในครั้งหน้า(อีกประมาณ 3-4 สัปดาห์)  ผู้เขียน จะมาชวนคุยกันต่อในประเด็นของ ภาพลักษณ์การโกหกของนักการเมือง ที่มักถูกเปรียบเทียบกันเป็นฝั่งสุดขั้วตรงข้ามกับผู้ทรงศีล รวมไปถึงการโกหกโดยสุจริต ความลวงโดยไม่รู้ อันเนื่องมาจากการไม่แยกแยะเรื่อง ความรอบรู้ทุกสรรพสิ่งทางโลกย์และทางธรรม จึงทำให้เมืองไทยมีแนวโน้มที่จะมอบโอนอำนาจให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปทุกที.

การอ้างอิง

[1] "ปาจิตตีย์ วรรคที่ 1 1. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ 1เรื่องพระหัตถกะศากยบุตร". พระไตรปิฎก เล่มที่ 2  พระวินัยปิฎก เล่มที่ 2 มหาวิภังค์ ภาค 2, น.191-203 อ้างใน http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=2&A=4576&Z=4905&pagebreak=0 (27 กรกฎาคม 2546)

[2] "ปาจิตตีย์ วรรคที่ 1 1. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ 2 เรื่องพระฉัพพัคคีย์". พระไตรปิฎก เล่มที่ 2  พระวินัยปิฎก เล่มที่ 2 มหาวิภังค์ ภาค 2, น.204-208 อ้างใน http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=2&A=4906&Z=5021&pagebreak=0 (27 กรกฎาคม 2546)

[3] "ปาจิตตีย์ วรรคที่ 1 1. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ 3 เรื่องพระฉัพพัคคีย์". พระไตรปิฎก เล่มที่ 2  พระวินัยปิฎก เล่มที่ 2 มหาวิภังค์ ภาค 2, น.275-277 อ้างใน http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=2&A=6722&Z=6771&pagebreak=0 (27 กรกฎาคม 2546)

[4] พระไตรปิฎก เล่มที่ 11  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, น.226 อ้างอิงจากhttp://84000.org/tipitaka/read/?11/286/247 (30 มกราคม 2549) และ พระไตรปิฎก เล่มที่ 22  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 14 อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต, น.288-289 อ้างอิงจาก http://84000.org/tipitaka/read/?22/264/307 (30 มกราคม 2549)

[5] พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม". http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%C8%D5%C5_5  (4 มกราคม 2548)

[6] "สามัญญผลสูตร" ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ 9  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 1 ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1072&Z=1919 ( 27  กรกฎาคม  2546 )

[7] DMC TV.หลวงพ่อตอบปัญหา.  "คนที่ชอบโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจนั้นบาปหรือไม่"http://www.dmc.tv/pages/good_QA/%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%... (28 กรกฎาคม 2554)

[8] คม ชัด ลึก. "โกหกเพื่อไม่ให้ลำบากใจจะผิดศีลไหม: ปุจฉา -วิสัชนา กับพระไพศาล วิสาโล"http://www.komchadluek.net/detail/20120505/129543/%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%...  (18 กรกฎาคม 2555)

[9] พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ. "โกหกแบบไหนถึงจะไม่ผิด" ใน DMC TV. http://www.dmc.tv/pages/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0... (12 มิถุนายน 2555)

[10] True ปลูกปัญญา. “รายการมองต่าง อย่างมีธรรม : โกหกด้วยเจตนาดี ก็เป็นบาป”. http://www.trueplookpanya.com/true/ethic_detail.php?cms_id=8744 (23 กันยายน 2554)

[11] เป็นหนังสือที่ถูกนำมาพิมพ์เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก. ปัญหา 108 (2)  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=564&postdays=0&postorder=... (23 กรกฎาคม 2549)

 

ความเห็น

Submitted by น้ำลัด on

เออเนาะ...การโกหกมันยังต้องตีความกันไปต่างๆนานา
เมื่อสังคมมันซับซ้อนมากขึ้น มันก็มีรายละเอียดปลีกย่อยมากขึ้น

แต่เอ...แล้วคำว่า "โกหก" ในภาษาไทยนี่มันมาจากไหนกันนะ
หรือว่ามันมาจากภาษาเขมร "กึงเฮาะ" หรือเปล่า

ทำไมคนภาคเหนือกับคนภาคอีสานจึงไม่ได้ใช้ศัพท์คำว่า "โกหก"
นี่มันประเทศเดียวกันหรือเปล่าวะเนี่ยะ

มันจะช่างบังเอิญหรือเปล่านะ ที่ภาษาไทลื้อบอกว่า "โต๊ะ"
มันดันมาคล้ายคลึงกับกับภาษาอีสาน "ตั๊ว"

ชาติไหนๆ ภาษาไหนๆก็ต้องมีคำศัพท์เกี่ยวกับการโดหกกันทั้งนั้น
แสดงว่ามันก็ต้องมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีกันทุกชาติทุกภาษา

กำลังนึกอยู่ว่าแค่คำศัพท์คำหนึ่งคำว่า "โกหก"นี้
มันก็เป็นการโกหก ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

โกหกว่าเป็นภาษาไทย ทั้งๆที่มันไม่ใช่ภาษาไทย
แล้วยังงี้เวลาพูดคำนี้ทีไร ก็เหมือนเรากำลังพูดโกหกกันอยู่สินะ

อย่างน้อยก็โกหกตัวเองว่ามันเป็นภาษาไทยใช่ไหม
ฮ่วย...ผิดศีลกันทั้งประเทศทั้งปีเลยนะเนี่ยะ

Submitted by dk on

การโกหก ตรงข้ามกับ การพูดความจริง

มันเป็นการแสดงออก ของเจตจำนง ต่อ โลกภายนอกของบุคคล

ในสังคมที่สลับซับซ้อน มักมีปัญหาระหว่าง ตัวตนคือการกระทำ กับ ตัวตนคือเจตจำนง

คนใกล้ชิดหรือรู้จักกันดี ก็มักประเมินจาก เจตจำนง
คนห่างหรือ คนแปลกหน้า หรือไม่รู้จักกันดีนัก ก็มักประเมินจาก การกระทำ(ที่แสดงออกมา)

ที่จริง การพูดความจริง นอกพุุุทธฯแล้ว สิงนี้ถือเป็น จริยธรรมอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับ การห้ามฆ่าคน

ต่อมาข้อความ "ดังนั้นศีล 5สำหรับปุถุชนแล้ว การนิยาม “มุสาวาท” นั้นน่าจะยุติอยู่ที่การพูดเท็จน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริงกับชีวิตธรรมดาที่มนุษย์ที่กิน ขี้ ปี้ นอน ในชีวิตประจำวัน การตีความไกลเกินไป ยิ่งทำให้ชาวบ้านร้านตลาดผู้มีชีวิตยุ่งเหยิงกับโลกย์ๆ ห่างไกลกับการเข้าถึงธรรมที่เราอ้างว่าเป็นสากล หรือเราต้องการธรรมเพื่อเป็นกฎหมายให้สยบยอมกับอำนาจทางโลกย์ ซึ่งผู้เขียนไม่อาจเห็นเช่นนั้นได้"
^
ตรงนี้แหละ ที่เป็น พรมแดนสีเทาของโลกจริง ที่มนุษย์ดิ้นรนในความเป็นวัตถุทางกายภาพ
โดยที่ โลกจริงในความหมายยุคสมัย ได้แก่ โลกทางการค้า การสื่อสาร บันเทิง อันที่ฐานคติแบบสัมพัทธนิยมเชิง
วิทยาศาสตร์ คือ จะมองเป็นเรื่องๆ ไม่อ้างอิงสิ่งไกลโพ้น คำนึงถึงความเหมาะสม หรือ ความเป็นไปได้

ดังนั้น การโกหก หรือ การพูดความจริง จึงถูกทำให้เป็นเรื่องทางเลือก เพื่อรองรับ ปฏิบัตินิยมของสถานการณ์
และคนเราปะทะสังสรรกันด้วย มาตรฐานกฏหมาย หรือกฏระเบียบชัดๆ เป็นตัวนำ มากกว่า ข้อเรียกร้องทางศีลธรรม
ซึ่งส่วนใหญ่ ก็มาจาก อำนาจ คนดี ที่ผูกขาด หรือมักได้ประโยชน์จากการอ้างศีลธรรมเถรตรงบ่อยๆ นั่นเพราะ ทิศทาง
ของอำนาจ เริ่มมีปัญหาความชอบธรรม หรือ เกิดการตื่นรู้ การอ้างศีลธรรมแบบเถรตรงเพื่ออนุรักษ์โครงสร้าง คนดี ไว้

อย่างไรก็ตาม การใช้การโกหก หรือ พูดความจริง ในฐานะเครื่องมือ ก็อาจทำให้สร้างปัญหาเพิ่ม ต่อ การระเบียบย้อนกลับได้ ในทุกภาคส่วน ทำให้เรื่องขัดแย้งทั้งหลายอาจต้องไปยุติกันที่ ศาล ซึ่งก็อาจมีปัญหาอีกได้
เช่นกัน กรณีตีความกฏหมายต่างกัน...

Submitted by Jubu on

ผมไม่คิดว่าเราควรจะตีความ มุสาวาทา อยู่เพียงแค่การโกหก เพราะคำพูดที่ไม่ดีนั้นมันชัดๆอยู่แล้วว่ามีมากกว่าการโกหกหรือพูดเท็จ และก็ไม่คิดว่าการจะตีความแบบกว้างจะทำให้ชาวบ้านร้านตลาดห่างไกลจากธรรมเพียงเพราะคำพูดพลั้งเผลอ การโกหกด้วยเจตนาดีหรือการล้อเล่นเล็กๆน้อยๆเหล่านี้

และแนวทางในการตีความเรื่องนี้ผมก็เห็นว่าควรเป็นแนวทางแบบไม่ประนีประนอม เพราะเราควรจะรักษาความจริงอย่างน้อยก็ในหลักการไว้ ส่วนจะปฎิบัติตามได้แค่ไหนผมว่าก็มีหลักง่ายๆคือ ยอมรับตัวเอง ยอมรับว่าโดยตัวของเราเองก็ปฎิบัติได้เท่านี้ หรือยอมรับว่าโดยสถานการณ์ของชีวิตหรือมารยาทสังคมอะไรก็ตามทำให้เราปฎิบัติได้เท่านี้ แต่แน่นอนว่าคงจะต้องมีสถานการณ์ที่อาจจะต้องมาใช้ดุลพินิจกันอย่างจริงจังว่าเราละเมิดศีลข้อนี้เกินไปหรือไม่ ไม่ว่าจะในระดับบุุคคลหรือสังคม(การโฆษณารองเท้าข้างต้นยังถือว่าเป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆกระมัง)

ผมก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าชนชั้นกลางที่ชอบเข้าสถานปฎิบัติธรรมเกิดจะมาระมัดระวังเรื่องนี้กันมาก ไม่ต้องเกร็งกันนักหรอกครับถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักหนา

Submitted by สุรพศ ทวีศักดิ์ on

ที่จริงทัศนะที่มองค่าทางจริยธรรมตายตัวยิ่งกว่า คือทัศนะแบบค้านท์

สำหรับค้านท์ การโกหกผิดเสมอ ไม่ว่าจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีใดๆ ก็ตาม เพราะ

1. เราไม่สามารถทำให้การโกหกเป็นกฎสากล (universal law) ได้ หมายถึงไม่สามารถยึดการโกหกเป็นหลักการปฏิบัติอย่างแน่นอนตายตัวต่อกันของมนุษย์ทุกคนได้ (แต่การพูดความจริงทำให้เป็นกฎสากลได้ เพราะต่อให้การพูดความจริงส่งผลเสียหายใดๆ การพูดความจริงก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สามารถยึดถือปฏิบัติได้เสมอ ข้อบกพร่องใดๆที่เกิดจากการพูดความจริง ไม่ได้ทำให้ความถูกต้องของการพูดความจริงถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด)

2. เป็นการใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุจุดหมายของตนเอง (เช่น ของต้นทุน 50 บาท แต่อยากได้กำไร 50 บาทอย่างไม่ซื่อ ก็เลยโกหกว่าทำมา 100 บาท ขายเท่าทุนละกัน คนที่หลงเชื่อซื้อไปก็ตกเป็นเครื่องมือให้คุณบรรลุจุดหมายของคุณเองคือได้กำไร 50 บาท หรือกรณีโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ ก็เป็นการใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือเช่นกัน เพราะคำว่า "เพื่อให้คนอื่นสบายใจ" เป็นเป้าหมายที่คนจะโกหกนั้นคิดเอง ไม่ใช่เป้าหมายที่คนถูกโกหกต้องการเลย แต่เป้าหมายของมนุษย์ที่มีเหตุผลทุกคนคือต้องการ/คาดหวังการพูดความจริงจากคนอื่นๆ)

ค้านท์เสนอว่า "จงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ในฐานะที่เขาเป็น(ผู้มี)จุดหมายในตัวเอง จงอย่าใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุจุดหมายของคุณ" เพราะมนุษย์มี dignity ในตัวเองที่ต้องได้รับการเคารพ (ไม่มีมนุษยที่มีเหตุผลคนไหนที่อยากได้รับความสบายใจจากการฟังคำโกหก ตรงกันข้ามแม้เมื่อเขาถูกโกหกแล้วสบายใจ แต่มารู้ทีหลังว่าถูกโกหกเขาย่อมรู้สึกว่าถูกดูถูกได้)

ความคิดของค้านท์ไม่เกี่ยวกับเรื่องบุญ บาปอะไรหรอกครับ แต่เขาถือว่าเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องเคารพศักดิ์ศรีในความเป็นคนของตนเองและเพื่อนมนุษย์ทั้งปวงอย่างเสมอภาค

น่าสนใจมากเรื่อง คานท์ กับ หลักการที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องบุญบาปครับ แล้วคำจำกัดความของ คานท์ มีขอบเขตแค่ไหนครับ เฉพาะการ "พูดเท็จ" อย่างเดียวเลยไหม (และคงรวม การพูดไม่หมด การพูดครึ่งหนึ่งด้วย)

การปฏิเสธที่จะไม่พูดถึงนี้คือการปฏิเสธพูดเท็จไปในตัวด้วยหรือเปล่าในทางเปรียบเทียบกับพุทธะบางสายที่พยายามจะยืด มุสาวาทไปถึงปริมณฑลของระเบียบวิธีปฏิบัติทางสังคม อย่าง พูดเพ้อเจ้อ พูดหยาบคาย พูดส่อเสียด คงไม่นับด้วยใช่ไหมครับ

Submitted by สุรพศ ทวีศักดิ์ on

ตามเกณฑ์ของค้านท์ พูดเพ้อเจ้อ พูดหยาบคาย พูดส่อเสียด ก็ต้องนับด้วย

เพราะไม่สามารถทำให้การพูดเพ้อเจ้อ พูดหยาบคาย พูดส่อเสียด เป็นกฎสากลได้ (กฎสากลหมายถึงหลักการที่ถือเป็นหน้าที่ทางจริยธรรมที่ต้องปฏิบัติอย่างปราศจากเงื่อนไข การพูดเพ้อเจ้อ พูดหยาบคาย พูดส่อเสียดถ้าใครคิดว่าควรพูดก็หมายถึงควรพูดภายใต้เงื่อนไขบางอย่างเสมอ ไม่อาจใช้เป็นกฎสากลหรือหลักการที่ตายตัวที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์และกับทุกคนอย่างเสมอภาคได้) และการพูดดังกล่าวน่าจะขัดต่อหลักการไม่ใช้เพื่อมนุษย์เป็นเครื่องมือด้วย

จริงๆ ความคิดทางจริยธรรมของพุทธถือว่าถูก-ผิดมีค่าในตัวของมันเอง (ไม่ขึ้นกับความเห็นของบุคคล หรือ social convention)) เหมือนกับค้านท์ ต่างกันที่ค้านท์ไม่ได้นำผลลัพธ์จากการกระทำทางจริยธรรมมาเป็นเกณฑ์ตัดสินถูก-ผิดด้วย เนื่องจากเขาต้องการกฎจริยธรรมที่แน่นอนตายตัวและเป็นสากลเหมือนกฎธรรมชาติ เขาจึงต้องการกฎจริยธรรมที่มาจาก pure reason เท่านั้น อารมณ์ความรู้สึก ความต้องการต่างๆ ผลลัพธ์ต่างๆเป็นเงื่อนไขที่ไม่แน่นอนในตัวมันเองมันจึงไม่ก่อให้เกิดการกระทำทางจริยธรรมที่แน่นอนเที่ยงตรงได้ พุทธก็ถือว่ากฎจริยธรรมเป็นกฎสากลเหมือนกฎธรรมชาติ (กฎแห่งกรรมเป็น 1 ใน 5 ของกฎธรรมชาติที่เรียกว่า "นิยาม 5") แต่พุทธนำผลที่เกิดจากการกระทำทางจริยธรรมที่เกิดกับตนเอง คนอื่น หรือทั้งสองฝ่ายมาเป็นเกณฑ์ประเมินความผิดมาก-น้อยทางจริยธรรมด้วย จึงมีรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่า (มองจากแง่นี้ "มุสาวาท" ผิดเสมอ แต่ผิดมาก-น้อย ขึ้นอยู่กับผลที่ตามมาด้วย เช่นโกหกแฟนเพื่อให้สบายใจ ย่อมผิดน้อยกว่าให้การเท็จในศาลที่เป็นเหตุให้คนติดคุก เป็นต้น ประเด็นคือเราต้องแยก "ความผิดทางจริยธรรม" ออกจาก "ความรู้สึกผิดทางจิตวิทยา" เพราะในทางจิตวิทยาเราอาจรำคาญความหยุมหยิมของมุสาวาทได้ แต่ความรู้สึกรำคาญใดๆ หรือการปฏิบัติได้ไม่ได้ใดๆ ก็ไม่เกี่ยวกับเหตุผลในตัวมันเองของมุสาวาท)

และที่สำคัญการวิเคราะห์หลักการทางจริยธรรมใดๆ เราจำเป็นต้องแยกให้ชัดระหว่างตัวความคิดหรือตัวหลักการ กับปรากฏการณ์ทางความเชื่อ การปฏิบัติของผู้คน เพราะความเชื่อ คำสอน การปฏิบัติของผู้คน พระสงฆ์ หรือชาวพุทธ อาจไม่สอดคล้องกับตัวความคิด หลักการของพุทธศาสนาเสมอไป

Submitted by กวี ธมฺมกวิอุบาสก on

สิกขาบทในพระปาติโมกข์ ๒๒๗ นั้นเป็นพระวินัยบัญญัติ แต่ละสิกขาบท หากเคร่งครัดเกินวิสัย ก็มีพุทธบัญญัติแก้ไข หากหย่อนยานเกินไปก็มีพุทธบัญญัติปรับปรุงให้ดีขึ้น พอแก่วิสัยมัชฌิมาปฏิปทา เช่น การบวชเด็กอายุไม่ถึง ๑๕ ปี เป็นสามเณร ครั้นเกิดมีเด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี เป็นลูกกำพร้าพ่อแม่ตายด้วยโรคระบาดหนัก และพ่อแม่กับเด็กเคยอุปถัมภ์พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าปรับปรุงพระวินัยบัญญัติเรื่องนี้ให้บวชเด็กมีอายุพอไล่นกกาได้ เป็นสามเณร เป็นต้น ส่วนศีล ๕-๘-๑๐ เป็นศีลธรรม ไม่ใช่พระวินัยบัญญัติ ไม่ทรงบอกไว้ว่าแก้ไขและปรับปรุง-เพื่อผ่อนปรน/ทำใหหนักขึ้น ศีลธรรมเป็นศีลที่สัมพันธุ์กับธรรมะ ศีล ๕ ข้อ หนึ่งสัมพันธ์กับเมตตาเป็นต้น ไม่น่าคิดเห็นแบบรวม ๆ กัน เพราะท่านสังคายนาจัดเป็นหมวดหมู่ ๓ ปิฎก พระวินัยบัญญัติเป็นวินัยปิฎกเป็นต้น ต้องแยกคิดเห็น พระสุตันตปิฎกกับพระอภิธรรมปิฎกทั้งสองนี้เป็นศีลธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นโพธิธรรม ส่วนพระวินัยนั้น เกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อนจึงทรงบัญญัติ ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้งมีพระอริยบุคคลล้วน ๆ พระสารีบุตรขอทรงบัญญัติพระวินัย ทรงตรัสว่าเหตุยังไม่เกิด พระสงฆ์เรียบร้อย ยังไม่บัญญัติ การบัญญัติพระวินัย ต้องอาศัยเหตุการณ์เกิดประพฤติผิดในสงฆ์ ข้อที่ว่าโกหก ผิดศีลธรรมนั้น ท่านวุฒิชัย ยกขึ้นกล่าวตามพระสุตันตปิฎก กล่าวด้วยพระพุทธพจน์แล้ว ส่วนนอกนั้นท่านกล่าวตามความคิดเห็นครับ

Submitted by Jubu on

ได้ความกระจ่างมากขึ้นเลยครับ และผมคงเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับจริยธรรมของพุทธศาสนาว่ามีค่าถูก-ผิดที่สมบูรณ์ในตัวเองแต่ก็นำเอาผลลัพธ์ของการกระทำมาเป็นเกณฑ์ด้วย

แต่เมื่อมองจริยธรรมที่ตายตัวแบบค้านท์ ผมยังมีความเห็นว่าเป็นความตายตัวที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่า มนุษย์ที่มีเหตุผล ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยตายตัวหรือถ้าจะตายตัวก็ออกจะตายตัวในลักษณะตรงกันข้ามมากกว่าคือ มนุษย์มักไม่มีเหตุผลหรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ต้องการเพียงเหตุผล เช่นการโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ เป็นเป้าหมายที่คนจะโกหกนั้นคิดเอง ผมว่าก็เป็นเรื่องที่ถูกอยู่ แต่ผมว่าในหลายกรณีเป็นเรื่องที่ทำไปเกิดมาจากความรู้สึกหรือเจตนาที่ดีที่ประเมินความเข้มแข็งหรืออ่อนแอทางจิตใจของผู้ฟังแล้วว่าพร้อมแค่ไหน ซึ่งผมว่ายังห่างไกลจากเจตนาที่จะใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมืออยู่มาก

หรือแม้แต่มีหลายกรณีที่ผู้รับฟังก็รู้ว่าอีกฝ่ายโกหกแต่กลับรู้สึกดีโดยที่ไม่ได้คิดว่าเป็นการดูถูกแต่อย่างใดเช่น มีคนชมอีกคนว่าสวยทั้งที่เจ้าตัวเองก็รู้ตัวว่าไม่ได้เป็นคนสวยแต่ก็รู้สึกดีกับคำพูดนั้น

แต่นั่นแหละครับกรณีลักษณะนี้คงไม่ได้อยู่ในขอบเขตแบบค้านท์เท่าไหร่

Submitted by โสมคาน on

สัตว์มนุษย์ ทั้งมวล ล้วนโกหก
ทั้งย่องยก เยินยอ ล้วนตอแหล
อีกนินทา ทุกวัน มิผันแปร
ที่เห็นแท้ ล้วนกลับกลอก กับหลอกลวง

เพียงมองผ่าน ขานรับ กับสายตา
เพียงได้ยิน เสียงซ่า ชวนหายง่วง
เพียงได้กลิ่น ลิ้มรส หมดทั้งปวง
ก็ติดบ่วง สัมผัส ตัวอัตตา

Submitted by venkam on

คนไม่สวยแล้วบอกว่าสวย เขาไม่เรียกว่าโกหก เขาเรียกว่าตอแหลมากกว่า 555 อย่าไปจริงจังกับอะไรนักเลย ถ้าอยากมีชีวิตปกติสุข แม้แต่ชาดกต่าง ๆ เรื่องนาก เรื่องพระเจ้าสิบชาติ คงไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ก็เอามาสอนกันเป็นเรื่องจริงจัง ที่จริงก็มีทุกชาติ ศาสนา เลือกเอาแต่คำสอนที่พอเพียง ทำได้ อาจจะดีกว่า เช่น การเดินสายกลาง ไม่สุดโต่ง เรื่องอนิจจัง อนัตตา ความไม่ประมาท ฯลฯ ชีวิตทุกวันนี้ ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากโกหก ตอแหล ถ้าทำได้ คงอยากบอกรักกันทุกวัน ทุกคน วันละ 3 เวลา อยากทำดี อยากสวย อยากงาม อยากมีศีลธรรม มีจริยธรรม แต่แม้แต่พระเจ้า ก็ยังบอกให้ทำบุญเพื่อไปสวรรค์ เพื่อนิพพาน ข้อสำคัญ การไม่โกหกเพื่อทำร้ายคนอื่น น่าจะเป็นสาระของการไม่โกหก ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องพูดถึง เรื่องการพูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เรื่องปกปิด เรื่องน่าปวดหัวทางการเมือง สังคม ที่เล่นละคร ยอกย้อน เพื่อเอาเปรียบคนอื่นหรือฝ่ายตรงข้าม ไปถึงการสร้างเรื่องทำร้าย ฆ่าแกง ของกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ที่ทั้งหมดก็อ้างเพื่อเป้าหมายดี ๆ ทั้งนั้น ในทางโลก ทางการระหว่างประเทศ ก็มีการทำสงครามเพื่อสร้างสันติ การฆ่าเพื่อระงับการฆ่า การประหารชีวิต ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่มีพื้นฐานของศีลธรรม ศาสนารองรับเลย แต่ก็อ้างธรรมะ และความดีมาสนับสนุนการกระทำที่บาปของตนเหมือนกันหมด

It is a

Coach Outlet

tricky task to obtain Coach Outlet Coupons. Customers who purchase Coach Purses and bags from the company's stores are sometime gifted with coupons. Normally these Coach Outlet

Coach Outlet Online

Coupons are sent to the customers via mail. This is done at random; not every customer who purchases a bag

Coach Outlet Online

or any other accessory from the Coach stores gets this coupon. There are many customers of these products who have

Coach Outlet Store Online

never gotten this coupon.
The coupons allow

Coach Factory Outlet

the customer to make a further shopping of any other product of this brand at Coach Outlet. The bags offered in the outlet malls of Coach are different as they are the ones that are not selling well or have been discontinued.
Coach Coupons

Coach Outlet Store Online

can be purchased as well. One can also enjoy store merchandise credit. This merchandise credit is given to the customers who have the Coach bag or purse as a gift but are unable to return it from outlet as cash. These customers are then offered a Coach Merchandise credit for the price of their bag.