ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าเพศนักบวช ในศาสนาศักดิ์สิทธิ์มักให้ความสำคัญกับการไม่ยุ่งเกี่ยวกับรสสัมผัสทางเพศ พุทธประวัติสายเถรวาทมีเรื่องเล่าว่าก่อนตรัสรู้มีลูกสาวพญามาร 3 คนที่ออกมาเต้นยั่วยวนอดีตเจ้าชายสิทธัตถะ บางตำราแต่งว่าเปลือยกายเสียด้วยซ้ำ นัยของการกระทำเช่นนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นต่อ
มโนภาพรสชาติทางเพศต่อเพศตรงข้าม อันถือว่าเป็น “ของต่ำ” ซึ่งเป็นด่านสำคัญก่อนทะลุไปสู่อาการตรัสรู้
ในสังคมอินเดียที่ผู้ชายเป็นใหญ่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเห็นผู้หญิงเป็นสิ่งกีดขวางเพื่อบรรลุสู่จุดหมาย ศาสนาพุทธเองแม้จะกล่าวในทำนองว่า มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าสู่ธรรมะได้ แต่ด้วยโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เอื้อการห้ามผู้หญิงบวชจึงเป็นร่องรอยที่ปรากฏตกทอดอยู่ในไตรปิฎก ข้อถกเถียงของเถรวาทในยุคสองพันกว่าปีต่อมาก็คือ ผู้หญิง ผู้ชายต่างก็เป็นสมมติบัญญัติเท่านั้น เป็นสิ่งที่สมมติขึ้น แม้จะไม่บวชทุกคนก็เข้าถึงธรรมได้ ข้ออ้างนี้ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เกิดขึ้นระหว่างฆราวาสและพระสงฆ์ โดยเฉพาะในสังคมไทย ขณะที่ในหลายคำสอนก็บอกว่า คนที่เกิดมาเป็นผู้หญิงนั้น เป็นกรรมไม่ดีจากชาติที่แล้ว เป็นกรรมที่เกิดจากความผิดทางเพศ เป็นผู้ชายเจ้าชู้บ้าง ประพฤติผิดศีลข้อ 3 นี่คือ คำอธิบายที่ดูถูกความเป็นหญิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นเพศที่ต่ำกว่า
ภาพวาดพุทธะกับลูกสาวพญามาร
การปรักปรำว่า พุทธะท้องไม่รับ
เนื้อในพุทธประวัติยังมีเรื่องระคายเคือง อันเนื่องมาจากการที่นางจิญจมาณวิกา ปรักปรำพุทธะว่าเป็นพ่อของเด็กในท้อง ซึ่งเป็นการใช้มารยาที่ทำเป็นท้องปลอมๆ หลอกชาวบ้านชาวเมือง แต่หากดูบริบทในพระสูตร[1] จะเห็นว่าเป็นเพียงการกล่าวที่โยงไปกับ “กรรมเก่า” เนื่องจากชาติก่อนเป็นพราหมณ์ได้เคยปรักปรำฤาษีว่าเป็นผู้มักเสพกาม เนื่องจากอิจฉา และเหล่าลูกศิษย์ก็เชื่อ พระสูตรนี้เพื่อแสดงให้เห็นโทษของการกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีมูลในเรื่องกาม เรื่องนางจิญจมาณวิกาถูกดึงออกมาบริบทเพื่อทำให้เห็นแต่ “ผู้หญิง”ที่กล่าวโทษพุทธะ ขณะที่การเล่าสืบต่อกันมาเรื่องดังกล่าวมีความซับซ้อนที่ผู้เขียนค้นไม่เจอในไตรปิฎก นั่นคือ นางจิญจมานวิกรับรู้ถึงการเสียผลประโยชน์ของปริพาชก (ที่หมายถึง นักบวชนอกพุทธศาสนา) ที่นางศรัทธาอันเนื่องมาจากความดังของพุทธะที่ขึ้นมาเบียดบังรัศมี จึงได้วางแผนที่จะสร้างความเสียหายให้พุทธะด้วยวิธีดังกล่าว ในเรื่องเล่าดังกล่าวนำไปสู่การสร้างกรรมใหญ่จนตอนท้ายของเรื่องนางจิญจมานวิกาต้องถูกธรณีสูบ อันถือว่าเป็นจุดจบที่เลวร้ายที่สุดที่คนชั่วช้าที่สุดจะพึงถูกกระทำในพุทธประวัติ
เรื่องเล่าจากพุทธกาล เหล่าพระภิกษุคะนอง
ผู้หญิงมักจะถูกมองว่าเป็นผู้ทำให้ศาสนามัวหมอง เพราะเนื่องจากมีจริตจะก้านและเครื่องเพศที่เย้ายวนให้พระตบะแตกได้ง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงแล้ว พระผู้ชายก็มีไม่น้อยที่ก่อเรื่องฉาวโฉ่ เหล่าก๊วนภิกษุที่สร้างความปวดหัวในกับคณะสงฆ์ในยุคพุทธกาลก็คือ พระอุทายีและกลุ่มพระฉัพพัคคีย์ หรือกลุ่มพระคะนองทั้ง 6 [2] หากเปรียบเทียบกับมาตรฐานเจ้าคุณพระสงฆ์ไทยในปัจจุบันนับได้ว่า มีพฤติกรรมที่เหลวแหลกเหลือประมาณ เช่น การลักทรัพย์ชาวบ้าน การยุยงให้กระทำผิดทางเพศ รวมไปถึงเล่ห์กลตางๆ ฯลฯ ไม่เพียงเท่านั้นเรายังพบพระอีก 2 รูป
มีเหตุการณ์ที่คล้ายกับการกล่าวปรักปรำพุทธะ ก็คือ การที่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ วานให้ภิกษุณีเมตติยาไปฟ้องพุทธะกล่าวหาว่า พระทัพพมัลลบุตร เพื่อต้องการจะสึกพระอรหันต์อายุน้อยที่ในตัวบทกล่าวว่าเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โดยใส่ร้ายว่าทั้งสองได้ร่วมเพศกับกัน แต่พอสอบสวนแล้วพบว่าไม่ผิด กลับเป็นว่าพุทธะจับสึกภิกษุณีเมตติยา ส่วนพระคู่หูต้นเหตุ ไม่ปรากฏว่าถูกจับสึก หรือต้องโทษใหญ่ใดๆ และกรณีนี้ก็เช่นเดียวกับ กรณีทีภิกษุคะนองหลายรูปทำผิด แล้วกลายมาเป็นต้นบัญญัติ อย่างคดีนำไปสู่การตั้งบัญญัติว่า ถ้าพระใดกล่าวโทษพระด้วยกันว่าทำผิดถึงปาราชิก ให้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส (โทษหนักรองจากปาราชิก) [3] อย่างไรก็ตามภิกษุทั้งสองก็ยังก่อเรื่องขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องนั่นคือ ขณะที่เดินทางลงจากเขาคิชฌกูฏได้พบว่ามีแพะสองตัวกำลังผสมพันธุ์กัน ก็เลยออกอุบายด้วยการตั้งชื่อแพะสองตัว ตัวหนึ่งชื่อ พระทัพพมัลลบุตร และอีกตัวหนึ่งชื่อ ภิกษุณีเมตติยา และป่าวร้องออกไปว่า ทั้งสองได้ร่วมเพศกัน พระคู่หูเห็นมากับตาตัวเองในที่สุดพอสอบสวนเลศนัยก็ถูกคลี่คลายและนำมาสู่ต้นบัญญัติอีกเช่นกันว่าด้วย การกล่าวหาโดยเลศนัยว่ามีความผิดขั้นสังฆาทิเสส แต่ก็เช่นเดิมไม่พบว่า ทั้งสอบรับกรรมหรือโทษอะไรหนักหนา[4]
นารีพิฆาตในประวัติศาสตร์ไทย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ปัญหาความมั่นคงของรัฐที่ผูกกับทฤษฎีโดมิโน่ที่หวาดกลัวคอมมิวนิสต์อย่างไม่ลืมหูลืมตา กลายเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากว่า คอมมิวนิสต์นี่เองที่จะทำลายแกนหลักที่เป็นไตรยางค์ของความเป็นไทย นั่นคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในด้านหนึ่งรัฐไทยก็พยายามปกป้องศาสนาจากการโจมตีจากภายนอก ขณะเดียวกันรัฐเองก็ถูกกระตุ้นให้ควบคุมพระสงฆ์ให้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เนื่องจากว่าหากพระประพฤติเสื่อมเสีย จะนำไปสู่การละเลยต่อศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนาซึ่งเป็นแกนหลักแกนหนึ่งของอุดมการณ์ชาติ จะส่งผลต่อไปยังความล้มเหลวในการใช้อำนาจรัฐควบคุมศีลธรรมทางสังคมไปอีกด้วย ดังที่เราจะได้เห็นรัฐบาลเผด็จการบางชุดอ้างอิงชุดศีลธรรมที่แนบแน่นกับศาสนาพุทธเป็นคติพจน์ เช่น “จงทำดี” ของถนอม กิตติขจร หรือการอ้างศีลธรรม คุณธรรมในช่วง เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบาลหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ก็ดี นอกจากจะเป็นการสร้างตัวแบบของชุดความดีขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ การสร้าง”คนดี” “พระดี” ขึ้น พระดีที่โดดเด่นขึ้นเป็นอย่างมากและได้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างก็คือ เครือข่ายพระป่าสายอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ในอีสานและทางเหนือ ที่ขยายตัวในทศวรรษ 2510-2520 และปรากฏการณ์ที่แสดงออกถึงอาการคลั่งไคล้ “คนดี” ได้อย่างชัดเจนที่สุด นั่นก็คือการเลือกจำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครในปี 2528 ด้วยคะแนนเสียงล้นหลาม ปฏิเสธมิได้ว่าชัยชนะของ จำลองได้มาจากภาพลักษณ์ของคนดีมีคุณธรรม ซึ่งความดีงามทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เป็นความดีงามเดี่ยวๆ ตามอุดมคติ แต่กลับผูกอยู่กับความมั่นคงและความเป็นไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความดีงามที่ถูกรุกราน เป็นสิ่งที่คอขาดบาดตายราวกับสูญเสียดินแดนที่ควรหลั่งเลือดปกป้อง
คำว่า "แผนนารีพิฆาต" ถูกใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้เขียนยังค้นหาไม่เจอ เพียงแต่ว่า คำว่าแผนนารีพิฆาตนั้นสัมพันธ์อย่างยิ่งกับความมั่นคงของพุทธศาสนา ดังกรณีนางจิญจมานวิกา ที่เป็นหญิงจากคนต่างศาสนาที่ต้องการจะดิสเครดิตพุทธะ ได้ถูกนำมาเล่าและผลิตซ้ำอยู่เสมอๆ
แน่นอนว่าพระสงฆ์เป็นตัวแทนของอำนาจของเพศชาย จุดตายสำคัญกลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ใต้อำนาจเพศชายและพุทธศาสนานั่นคือ ผู้หญิงไม่ว่าจะเป็น สมีเจี๊ยบ (2532), พระนิกร (2534), ยันตระ (2537), ภาวนาพุทโธ (2538), อิสระมุนี (2544) ฯลฯ แทบทั้งหมดคือพระดัง ที่มีพื้นที่ในสื่อมวลชน และถูกปัญหาเดียวกันก็คือ การสูญเสียความเป็นพระเพราะเพศหญิง เพราะมาตุคาม
ในความคิดของชุมชนพุทธในจินตนาการที่เกิดจากการเสพสื่อมวลชน ต่างถูกทำให้เห็นคล้อยกันว่า ควรจะลงโทษประหารบุคคลเหล่านั้นออกจากความเป็นพระไม่ให้คนเหล่านี้ มีที่ยืนในสังคม และบีบให้ไปใช้สถานะของปุถุชน และกดหัวให้รู้สึกสำนึกผิดบาปจากการล่วงละเมิดวินัยอันศักดิ์สิทธิ์ และทำให้พุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ผุดผ่องต้องมัวหมอง แม้อดีตพระยันตระจะเปลี่ยนไปห่มจีวรเขียว หรือไว้ผมเครายาวแบบฤาษี ที่ไม่ใช่พระภิกษุตามคำนิยามที่เคร่งครัด ก็ยังถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง เพราะว่า เขายังอยู่ในสถานะกึ่งพระกึ่งปุถุชน ซึ่งก็คือ “พระปลอม” ที่ยังไม่สำนึกผิดบาปอยู่นั่นเอง ผลของการเป็น “พระปลอม” จึงตกเป็นเป้าของการมุ่งโจมตีที่ปัจเจกบุคคลอย่างเกลียดชัง และปฏิบัติราวกับอดีตพระเหล่านี้เป็นโจรชั่วฆ่าคนตาย
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ การเกิดเรื่องราวใหญ่โตนี้เกิดขึ้นในทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ช่วงที่สื่อมวลชนเริ่มมีบทบาทในกว้างมากขึ้น ข่าวสึกพระ ข่าวพระเสื่อมมีตลาดการอ่านที่กว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง โครงเรื่องใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงการที่พระต้องภัยมาตุคามนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า “แผนนารีพิฆาต” ที่มันเป็นการบ่อนทำลายพุทธศาสนาได้อย่างเข้าเป้า
เรื่องเล่าของ นารีพิฆาตพระ
มีการอ้างถึงว่าในปี 2535 พระคำสอน ทีปธมฺโม วัดถ้ำพระธาตุโพธิ์ทอง ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม พรรษา 10 เป็นศิษย์ของพระอาจารย์บุญมี ปิยธมฺโม เจ้าอาวาสซึ่งพระคำสอนทำการแทนเจ้าอาวาสที่กำลังอาพาธอยู่ ได้ให้สัมภาษณ์ชี้แจงแก่ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งถึงแผนการทำลายพุทธศาสนาโดยบางลัทธิศาสนา โดยยกกรณีที่พระบุญมี ถูกคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาพัวพันและพยายามจะใช้เครื่องดื่มในการทำลายประสาท ก่อนที่จะใช้สีกามาสึกพระ ในช่วงปี 2532-2533 เหล่านี้เป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ที่อ้างหนังสือ กลยุทธ์มารพระพุทธศาสนา โดย กลุ่มธรรมานุรักษ์ พวกเขาได้ยกให้เห็นแผนทำลายศาสนาด้วย 2 วิธีการนั่นก็คือ ใช้ผู้หญิงยั่วยวนทางกามารมณ์กับพระทั่วๆไป กับ การฆ่าให้ตายหากเป็นพระผู้ใหญ่มากๆ ที่กามตายด้านหนังสือเล่มนี้ยกตัวอย่างแผนดังกล่าวไว้ 3 กรณีคือ
“...รายที่ 1 ในจังหวัดหนองคาย พระอาจารย์ชื่อดังได้หลงเสน่ห์แม่ชีสาวชาวสิงคโปร์ ซึ่งมาบวชชีด้วยความศรัทธาเลื่อมใสในพระอาจารย์ ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาตามทำนองที่กล่าวแล้วในที่สุดความใกล้ชิด ตบะพระอาจารย์แตกต้องศีลวิบัติสึกออกมา เมื่อสึกแล้วแม่ชีกลับเมินเฉยไม่สนใจ พระอาจารย์ต้องอกหักเพราะหลงรักแม่ชีสิงคโปร์ และแล้วแม่ชีสิงคโปร์รายนี้ก็ล่าเหยื่ออื่นๆ ต่อไปอีก
รายที่ 2 เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดสกลนคร มีอุบาสิกาสาวสวยหน้าตาแฉล้มคนหนึ่ง มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระอาจารย์ยิ่งนัก ในที่สุดได้โกนหัวนุ่งขาวห่มขาวบวชเป็นชี หมั่นปฏิบัติพัดวีพระอาจารย์ ไม่นานเท่าไร แม่ชีสาวได้สนิทสนมกับพระอาจารย์ เข้านอกออกในได้สนิท เพราะความเคร่งของแม่ชี ในที่สุดความสวยของแม่นางยักษินีก็พร่าพรหมจรรย์ของพระอาจารย์สำเร็จ รายนี้สืบทราบมาว่าเป็นสาวญวน ปลอมแปลงมาทำลายโดยตรง
รายที่ 3 ในจังหวัดอุบลราชธานี ข่าวนี้ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว คือกรณีที่พระกับแม่ชีถือวัตรปฏิบัติ ชนิดช่วยกันขัดสีฉวีวรรณ (ถูเนื้อถูตัว) ให้กันและกันได้ ข่าวนี้ลงเอยอย่างไรไม่ทราบชัด” [5]
แผนนารีพิฆาตในที่นี้ได้เกิดจากความโลภหรือหลงผิดของผู้หญิงอย่างเดียวแล้ว แต่มันสะเทือนไปถึงความอยู่รอดของพุทธศาสนา นัยของสิ่งเหล่านี้คือ ภัยคุกคามพระสงฆ์และพุทธศาสนาได้อย่างถึงพริกถึงขิงที่สุดก็คือ ผู้หญิงและความตาย ขณะที่ผู้เขียนค้นเจอเพียงปกหนังสือที่ชื่อ เซ็กส์ในดงขมิ้น กรณีศึกษาแผนนารีพิฆาต พระยันตระ ปี 2538
เรื่องเล่าอีกชุดหนึ่งที่ฟังดูแล้วน่าขนลุกสุดประมาณก็คือ การตัดแปะเนื้อหาที่ทำให้เห็นสถานการณ์เลวร้ายของพุทธศาสนาภายใต้แผนบงการของคนนอกศาสนา ทั้งยังเชื่อมโยงพุทธศาสนากับการเมืองและรัฐบาล หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นข้อเขียนที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการระบุว่า[6]
ปี 37-39 ขบวนการ “นารีพิฆาต” เกิดขึ้น ทำลายศรัทธาชาวพุทธอย่างยาวนาน พระเกจิอาจารย์ ระดับนำทั่วประเทศจำนวนมาก ถูกทยอยฆ่าตายด้วยยาพิษ ปาราชิก และ กลั่นแกล้งให้เสียหายในเรื่องสตรีและสตางค์ เพื่อทำลายศาสนบุคคลระดับนำ เช่น ท่านเจ้าคุณวัดเทพฯ หลวงปู่โง่น ฯลฯ ที่ทำเช่นนั้นเพราะ มีแผนร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 ที่ต้องไม่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แม้จะมีชาวพุทธ ลงชื่อกว่า 2 ล้าน 3 แสนคน ในขณะที่นายอานันท์ ขู่ว่า ถ้ายอม.. “บัญญัติให้พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ เลือดจะนองท้องช้าง” เพราะว่ามีผู้ไม่เห็นด้วย 6 แสนคน ในที่สุด 6 แสนเสียงนั้นชนะคน 2 ล้าน??
ปี 40 นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ให้นำพระพุทธรูปออกจากห้องทำงาน และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.อิสลาม อีกหลายมาตรา เช่น จุฬาราชมนตรีมีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรีไทย
มีแผนการใช้เด็กสาวๆ 10-14 ปี จากแม่แจ่ม ซึ่งเป็นหมู่บ้านคริสต์ มาทำลายพระภาวนาพุทโธ ด้วยหลักฐานเท็จ พยานเท็จ ศาลตัดสินจำคุกท่าน 150 ปี ซึ่งปกติคดีแบบนี้ ลงโทษกันไม่เกิน 5 ปี เท่านั้น
การโจมตีดังกล่าวไม่พบหลักฐานอ้างอิงอย่างน่าเชื่อถือ แต่ที่น่าสนใจก็คือ เป็นลิงค์ที่อยู่ในเว็บไซต์ พระไทย ที่เป็นเว็บไซต์แหล่งรวมข่าวคราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ในทุกวันนี้ก็ยังเป็นเว็บไซต์ที่มีการอัพเดทข่าวสารอยู่เรื่อยๆ
อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ อิสระมุนีที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงปี 2544 อิสระมุนีนั้นโด่งดังขนาดที่ว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เคยประกาศตนเป็นลูกศิษย์ กรณีนี้ถูกเปิดโปงโดยรายการโทรทัศน์สถานีไอทีวี ความเห็นส่วนตัวของคนในเว็บไซต์หนึ่งในปี 2547 ลงความเห็นว่าเป็นแผนนารีพิฆาต ผู้เขียนเรื่องดังกล่าวได้แจงรายละเอียดนารีพิฆาตในฐานะกลุ่มแก๊งผลประโยชน์ที่หากินกับวงการสงฆ์ แต่น้ำหนักของข้อเขียนนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ความมั่นคงของชาติ โดยยกเรื่องเล่าขึ้นมาสนับสนุนที่อ้างว่า เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเป็นหัวหน้าแก๊งนารีพิฆาตที่กลับใจ สำนึกผิดกลับมาเปิดโปงเรื่องในวงการ[7] โดยที่เธอเองเคยถูกแก๊งต้มตุ๋นหลอกลวงซื้อพระเครื่องเก่าไปกว่า 3 แสน จึงมีความคิดที่จะเอาคืน และได้ถูกสมาชิกแก๊งดงกล่าวชักจูงเข้าไปเป็นสมาชิก โดยอ้างว่าอยากได้เงินคืนต้องทำงานด้วยกัน แต่ในที่สุดอยู่นานไปมีความชำนาญมากขึ้นจนสามารถตั้งตัวเป็นหัวหน้าได้ จึงก้าวหน้าไปสู่การหลอกลวงเงินจากพระหลากรูปแบบ โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ วัด, พระที่มีเงิน และคนรวยที่มีความโลภเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะพระและวัดกลุ่มเป้าหมายนั้นจะต้องมีเงื่อนไขคือ เป็นวัดที่มีโครงการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่ามีเงิน, พระมีชื่อเสียงที่คนศรัทธาเลื่อมใสจำนวนมาก ซึ่งพวกเขากลัวเสียชื่อ พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อปกป้องชื่อเสียง และการบริหารผลประโยชน์ของวัดต้องอยู่กับพระรูปเดียว เพื่อให้สะดวกต่อการเบิกจ่าย จะหลีกเลี่ยงหากวัดมีลูกศิษย์ที่เป็นตำรวจและทหาร มีการสืบรสนิยมความชอบของพระ ขณะที่พระหนุ่มๆ ไม่ค่อยเป็นเป้าหมายนักเพราะไม่เงินและหลอกยากกว่า โดยเฉพาะพระพวกที่สะเดาะเคราะห์ทำน้ำมนต์นั้นยิ่งตกอยู่ในข่าย
หากล็อกเป้าได้ ก็จะทำการเช่าบ้านใกล้วัดและเข้าไปช่วยเหลือ ทยอยส่งเด็กเข้าไปหาพระโดยเฉพาะผู้หญิงใส่เสื้อคอกว้าง ไม่ใส่ยกทรง นุ่งกระโปรงสั้นๆ และหากถูกล่วงเกินทางเพศก็จะเรียกร้องเงินทันที โดยทั่วไปจะล่อลวงเงินพระไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อง่ายต่อการจ่ายจะเรียกครึ่งหนึ่งก่อนประมาณ 4-5 ล้านบาท แน่นอนว่า การกระทำดังกล่าวจำเป็นต้องมีหลักฐานมัดตัวด้วย ดังนั้น เทคโนโลยีการบันทึกภาพนิ่งและเคลื่อนไหวจึงเป็นสิ่งสำคัญ มีการให้ข้อมูลถึงว่า พระบางรูปอาจถูกมอมยาอีและยานอนหลับในอาหารที่ถวาย ในสภาพที่ไร้สติก็จะถูกจัดท่าทางได้อย่างใจนึก เธอยกกรณีต้มตุ๋นพระที่ชัยภูมิ ที่พบว่าเคยมีพฤติกรรมชู้สาวกับเด็กนักเรียนที่สนับสนุนการศึกษา แต่ผู้ปกครองไม่กล้าโวยวาย เป้าหมายเคราะห์ร้ายงับเหยื่อ ในที่สุดก็ได้เงินมา 1 ล้านบาท ใช้เวลาสั้นๆเพียง 3 เดือนก็สามารถวางบิลได้
แก๊งนี้ยังอ้างผลงานของตนเองถึงพระชื่อ “น” (น่าจะเป็นคนที่เราได้อ้างถึงด้านบน) ว่าใช้เวลานานถึงขนาดต้องให้มีการตั้งท้องเพื่อเป็นหลักฐานมัดตัว ในตอนแรกเรียกเงินไป 5 ล้าน ทางพระก็ยอมจ่ายแต่ในภายหลังแก๊งรู้มาว่า มีเงินมากจึงขึ้นราคาไปถึง 10 ล้านสุดท้ายก็เป็นข่าวและนำมาสู่การจับสึก ซึ่งการจับสึกไม่ใช่เป้าหมายของแก๊ง เพราะนั่นหมายถึง สูญเสียทั้งเวลาและรายได้ เธอยังได้เล่าสภาพกรทำงานว่า เป็นทีมใหญ่ประมาณ 20 คน ถ้าได้เงิน 5 ล้าน ผู้หญิงที่เป็น “นางนกต่อ” จะได้ค่าตัวประมาณ 1-2 แสนบาทต่อราย หัวหน้าทีมจะได้ประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อราย หากรู้ภายหลังว่าพระมีเงินน้อย แก๊งใหญ่ไม่ทำ สมาชิกก็จะออกไปทำรายได้พิเศษและแบ่งเงินกันเอง ย้ำอีกครั้งว่า นี่เป็นข้อมูลในปี 2547 อดีตหัวหน้าแก๊งได้ชี้ว่า แก๊งส่วนใหญ่จะอยู่แถบอีสาน บางแก๊งมีคนมีสีระดับนายพันและนายพลหนุน ทั้งในและนอกราชการ เธอยังได้ให้อุทธาหรณ์ด้วยว่า ให้พระระวังตัวจากคนใกล้ชิด, การฉันยา, การเข้ามาเสนอขายวัตถุมงคล, คนแปลกหน้าที่เข้ามาทำบุญ และไม่ควรถือเงินวัดไว้เอง
เรื่องเล่านี้ยิ่งทำให้จิ๊กซอว์ของแผนนารีพิฆาตสมบูรณ์และมีตัวตนที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ทั้งที่ไม่สามารถอ้างอิงอย่างเป็นหลักฐาน แต่ก็มีน้ำหนักโน้มน้าวให้เรื่องเล่าแผนนารีพิฆาตดูเป็นเรื่องจริงจังมากยิ่งขึ้น
ล่าสุด หลวงปู่เณรคำและอดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก
กรณีอื้อฉาวล่าสุดก็คือ กรณีหลวงปู่เณรคำ และอดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก ในนามของนักบวชรูปแรกนั้นยังไม่จบง่ายๆ เพราะพัวพันกับทั้งการถูกกล่าวหาเรื่องผู้หญิง เงินทอง สมบัตพัสถาน การอวดอุตริมนุสสธรรม รวมไปถึงการปกครองของคณะสงฆ์ด้วย ในที่นี้จึงไม่กล่าวอะไรมาก นอกจากพบว่า การอ้างเรื่องนารีพิฆาต ในด้านหนึ่งแล้ว ก็กลายเป็นข้อโจมตีของฆราวาสต่อพระสงฆ์ที่ถูกตัดสินไปแล้วว่า เป็นผู้กระทำผิดจริงๆ การที่พระพูดถึงแผนนารีพิฆาตในบางสถานการณ์แล้ว กลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้สาระไม่น่าเชื่อถือไป ในเมื่อถูกทำให้เชื่อด้วยภาพถ่าย และการกล่าวโจทย์ของพยานบุคคล มาก่อนหน้านี้แล้วผ่านสื่อมวลชน
แต่ที่น่าสนใจสำหรับผู้เขียนมากกว่าก็คือ กรณีของอดีตพระเถราจารย์รูปหลังที่กระแสนารีพิฆาตถูกนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง โดยเฉพาะคำอ้างจากคนใกล้ชิด เนื้อหาจะเป็นจริงหรือไม่ผู้เขียนตอบไม่ได้ แต่การโจมตีผู้หญิงด้วยแผนนารีพิฆาตกลับพอเหมาะพอเจาะกันกับการที่อดีตพระมิตซูโอะ สร้างเซอร์ไพรส์ให้ญาติโยมในวงกว้าง โดยเฉพาะภาพลักษณ์ที่ดีเยี่ยม เป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ชา ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นพระนักพัฒนา ผลิตสื่อคำสอนที่สื่อสารกับคนร่วมสมัยได้อย่างละมุนละไม
การเผยแพร่ให้ข่าวในนามลูกศิษย์ที่ถูกพาดหัวข่าวว่า “ปากคำลูกศิษย์ทิดมิตซูโอะเปิดแผนนารีพิฆาตสึกพระ” [8] ก็มีรูปการณ์คล้ายกับแผนนารีพิฆาตขั้นต้น ก็คือ มีผู้หญิงเข้าไปทำตัวใกล้ชิดกับพระมิตซูโอะ และไปสัมพันธ์ผ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพในที่นี้คือ การอุปัฏฐากรักษาโรคเบาหวานที่ต้องเดินทางไปทำการรักษา ระหว่างนั้นก็มีข้อสังเกตว่า พระอาจารย์เริ่มเปลี่ยนไปคือ นั่งเหม่อ เก็บตัว มีอาการโมโห โกรธ บางครั้ง ว่ากันว่าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ในที่สุดก็นำมาซึ่งการสึกออกจากความเป็นพระ เหตุการณ์ภายหลัง พบว่าลูกศิษย์เดินทางไปพบอดีตพระมิตซูโอะ และพบว่ามือทั้งสองข้าง คล้ำแบบดำเขียว เหมือนกับช้ำมาก เฉพาะที่มือทั้งหน้ามือและหลังมือ แต่เจ้าปฏิเสธบอกว่าไม่เป็นอะไร ทั้งยังมีท่าเดินที่เปลี่ยนไปนั่นคือ เป็นการเดินที่ลากเท้า เหมือนคนอ่อนแรง ซึ่งลูกศิษย์ตั้งข้อสังเกตว่า เดิมนั้นจะเดินแบบยกเท้าพ้นพื้น แล้วจรดเท้าลงแบบเดินจงกรม ซึ่งลูกศิษย์ได้ปรึกษากับแพทย์ภายหลังและวินิจฉัยว่าเป็นอาการของยากล่อมประสาท แน่นอนว่า การค้นหาข้อมูลหญิงสาวคนดังกล่าวจึงเป็นขั้นตอนต่อมา โดยเฉพาะการอ้างอิงข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ได้พบเรื่องราวปัญหาชีวิตส่วนตัวและปัญหาทางธุรกิจการเงินจนต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม กระทั่งชื่อเล่น
กรณีนี้จึงแตกต่างไปจากกรณีอื่นที่พระสมัครใจที่จะลาสิกขาเอง แต่แน่นอนด้วยความกังขาและกรอบคิดแบบแผนนารีพิฆาต คนที่ถูกความเชื่อและโลกทัศน์ชุดนี้ถล่มจนจมดินก็ไม่ใช่ใคร ผู้หญิงคนนี้จึงถูกตีตราพิพากษาไว้แล้ว
เสียงของฆราวาสในนามอดีตพระดัง กับ ความคิดนอกคอนเซ็ปต์นารีพิฆาต
การค้นคว้าข้อมูลระยะสั้นพบว่า ไม่ได้มีเพียงเสียงของฝ่ายปกป้องพุทธศาสนาเท่านั้นที่ออกมา แต่ยังมีเสียงของอดีตพระภิกษุที่ออกมาให้คำอธิบายเกี่ยวกับการกระทำของตนในภายหลังอีกด้วย แน่นอนว่า ต้องเป็นคำอธิบายที่กล่าวถึงตนเองในทางที่ดีมากไปกว่าการประจานตนเอง กรณีต่อไปนี้ล้วนเป็นการอธิบายที่ไม่ได้เป็นการโจมตีผู้หญิงในฐานะเพศที่ต่ำ ตามคอนเซ็ปต์นารีพิฆาตพระแต่อย่างใด
ย้อนไปถึง นายสมศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือสมีเจี๊ยบ อดีตพระครูสมุห์สรศักดิ์ คมฺภีรปญฺโย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ มติชนสุดสัปดาห์ ได้ความว่า [9]
"...บวชตั้งแต่อายุ 13 ปี รวมเวลาบวช 14 ปี มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงประมาณอายุ 20 ปีกว่า"
"กับผู้หญิงมากกว่า 7 คน เกือบ ๆ โหล ไล่อาชีพแล้วก็มีนักร้อง 1 คน แม่ค้า 2 คน ช่างเสริมสวย 1 คน นอกนั้นเป็นนักเรียน"
ที่น่าสนใจสำหรับผู้เขียนมากก็คือ นิยามรักของเขา
"ความรักเป็นคำสั้น ๆ แต่มันกินใจและยาวนานสำหรับคนบางคน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วยากที่จะห้าม อย่างคนรักพระหรือพระรักคน เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจ เมื่อความชอบเกิดขึ้นภายนอก ซึ่งอาจจะหลงรักกันโดยที่อีกคนไม่รู้ และเมื่อถึงวันที่มาประสาน มารับรู้ เข้าใจอะไรกัน ก็ถึงคราวสุกงอม จะว่าเราคนเดียวก็ไม่ได้ มันมีความพอใจและพร้อมกันทั้งสองฝ่าย พระเองก็ข่มขืนผู้หญิงไม่ได้ ความรักความใคร่ ความหลง ทำให้คนตาบอดไปชั่วขณะ บางครั้งก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบ บางครั้งเราก็ทำไปด้วยสติสำนึกที่ดี ซึ่งในทางพระถือเป็นโทษที่ร้ายแรง เกินกว่าที่จะปลงอาบัติให้หลุดได้จึงไม่ได้ปลง"
ในเรื่องเงินทอง เขาอ้างว่า
"บางคนอาจมองว่าผมไปจีบผู้หญิงต้องใช้เงินทุ่ม ที่จริงผู้หญิงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระไม่ค่อยมีเงินที่จะไปทำอย่างนั้นอย่างจินตนา โพธิราช นักร้องประจำพลอยคาเฟ่นั้น ผมก็ให้ใช้เดือนละ 2,000 บาท ,3,000 บาทเท่านั้น และไม่ได้ให้ประจำ รายได้ของเขาตกเดือนละ 20,000 บาท ผู้หญิงคนอื่น ๆ เขาก็มีอาชีพมีงานทำ...บางคนว่าผมมีรถเบ็นซ์ รถบีเอ็มนั่ง นั่นเป็นรถของลูกศิษย์ที่ปวารณาตัวรับใช้ ผมจะเรียกใช้สัปดาห์ละสองสามวันเท่านั้น และที่ว่างกันว่าผมมีคอนโดมิเนียมนั้น ก็ไม่จริง อย่างนั้นต้องเป็นคนมีเงิน 30-40 ล้านถึงจะสร้างได้ ผมรู้สึกเสียใจที่มีการกล่าวกันว่าผมมีรายได้วันละ 15,000-100,000 บาท ซึ่งถ้าผมมีรายได้ขนาดนี้ ผมคงไม่อยู่ดักดาน ต้องออกไปนานแล้ว ตอนนี้มีเงินอยู่เพียง 30,000 บาท ใช้ชีวิตเงินเพียง 500,000-600,000 บาท ก็คิดว่าเป็นชีวิตที่สุขสบายแล้ว"
สำหรับกรณีของอดีตพระมิตซูโอะ เราอาจตระหนักได้ดีถึงพลานุภาพของคลิปและภาพเคลื่อนไหวที่สะท้อนภาพตัวแทนความจริงที่ผ่านการจัดสรรคัดกรองมาก่อนแล้ว คลิปที่ถ่ายอดีตพระมิตซูโอะที่ออกมาพูดว่า “จดทะเบียนสมรส เรียบร้อยแล้ว บวชมา38 พรรษา ไม่คิดว่าจะสึก ไม่เคยคิดจะแต่งงานในชาติ แต่สำหรับแอนน่าจะเป็นเนื้อคู่ มาแต่ชาติก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์” เป็นการตอกย้ำให้ผู้ชมและศิษย์ทั้งหลาย ยอมรับความจริงว่า สิ่งนี้เป็นเจตนาของเขาเองจริงๆ ขณะที่ลูกศิษย์ลูกหา
กลับยอมรับไม่ค่อยได้และพยายามค้นหาความจริงอีกด้าน[10] ซึ่งก็น่าสนใจว่าจะลงเอยกันอย่างไร
สุดท้ายขอทิ้งท้าย ด้วยจดหมายที่เขียนโดยอดีตพระมิตซูโอะด้วยลายมือของตัวเอง ใครที่เป็นแฟนงานเขียน หรือติดตามหนังสือเล่มน้อยของเขา ก็น่าจะระลึกถึงสำนวนอันคุ้นเคยได้ดี[11]
เมื่อบ่ายวันที่ 28 มิถุนายน 2556 ผมมิตซูโอะ ซิบาฮาซี และคุณสุทธิรัตน์ มุตตามระ ภรรยา เดินทางไปที่ทำการเขต Shizukuishi จังหวัดอิวาเตะ Iwate บ้านเกิดผม เพื่อจดทะเบียนสมรส หลังจากนั้นต้นสัปดาห์หน้า ผมและภรรยาจะเดินทางเข้า Tokyo เพื่อยื่นเรื่องการสมรสของเราต่อสถานเอกอัครราชทูตไทยกรุง Tokyo
“เราทั้ง 2 ได้ทำตามกฎเกณฑ์ทั้งทางโลกและมิได้มีการกระทำใดๆที่ขัดพระธรรมวินัยในทางธรรม ความรักของเราทั้งสองเกิดขึ้นโดยสุจริต ผมได้ตระหนักดีด้วยสติว่า สมควรละเพศบรรพชิต จากนี้ไปชีวิตของเราก็เหมือนกับชาติใหม่ ให้ชีวิตคู่ขอเราเป็นเหมือนซากุระต้นหนึ่ง ที่สวยงามในสังคม เราจะมีชีวิตของเราทั้ง 2 เพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นต่อไป”
ภาพที่แนบมาด้วยเป็นภาพจากที่ทำการเขต ที่เรา 2 คนไปจดทะเบียนสมรสกัน
อาจารย์มิตซูโอะ ซิบาฮาซี
วันที่ 28 มิถุนายน 2556
Shizukuishi Iwate Japan
[1] “พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ 10 (390)” ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง ใน พระไตรปิฎก (ฉบับสยามรัฐ) เล่มที่ เล่มที่ 32 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 24 ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 1 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=32&A=7877&w=%CA%D8%B9%B7%C3%D4%A1%D2
[2] กรุณาเข้าไปที่ http://www.84000.org และพิมพ์คำว่า "พระอุทายี" และ "พระฉัพพัคคีย์" ในช่อง “ค้น พระไตรปิฎกจากข้อความ” จะเห็นถึงพฤติกรรมอย่างละเอียด
[3] "สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ 8 เรื่องพระทัพพมัลลบุตร" ใน พระไตรปิฎก (ฉบับสยามรัฐ) เล่มที่ 1 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 1 มหาวิภังค์ ภาค 1, น. 666-686 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=01&A=17310&Z=17840 (27 กรกฎาคม 2546)
[4] "สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ 9 เรื่องพระเมตติยะ และพระภุมมชกะ" ใน พระไตรปิฎก (ฉบับสยามรัฐ) เล่มที่ 1 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 1 มหาวิภังค์ ภาค 1, น. 687-709 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=1&A=17841&Z=18422&pagebreak=0 (27 กรกฎาคม 2546)
[5] Moral (นามแฝง). "ยุทธวิธีนารีพิฆาต". http://community.thaiware.com/index.php/topic/317159-aoecoooaoosou/
(30 มิถุนายน 2550)
[6] รื้อประวัติศาสตร์ ขบวนการพิฆาตไทย http://www.phrathai.net/node/2718 (19 มกราคม 2553)
[7] Suriyan (นามแฝง). “ย้อนรอย... เปิดใจอดีตหัวหน้าแก๊ง "นารีพิฆาตพระ” ”. http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=1&qid=2020 (13 พฤศจิกายน 2547)
[8] Thai E-News: “ปากคำลูกศิษย์ทิดมิตซูโอะเปิดแผนนารีพิฆาตสึกพระ http://thaienews.blogspot.sg/2013/06/blog-post_6569.html (29 มิถุนายน 2556 )
[9] สมพร พรหมหิตาธร. "พระสงฆ์ของใคร...?" ใน ธรรมะไทย. http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=218 (2 มีนาคม 2550)
[10] "'โดโด้'ห่วง'มิตซูโอะเชื่อตกเป็นเหยื่อ" ใน คมชัดลึกออนไลน์ . http://www.komchadluek.net/detail/20130703/162568/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD.html#.Uddl1zvwlbM (3 กรกฎาคม 2556)
[11] "ฟังชัดๆ คลิป "อดีตพระมิตซูโอะ" ยืนยันจดทะเบียนสมรสแล้วระบุ เป็นคู่บารมี-เนื้อคู่มาแต่ชาติก่อน" ใน มติชนออนไลน์. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372438009&grpid=&catid=02&subcatid=0200 (29 มิถุนายน 2556)