Skip to main content

สิบกว่าปีผ่านไป ภายในบ้านของครูดอยผู้ช้ำใจจากการนำดนตรีปกาเกอะญอไปเล่นในโบสถ์


เขารู้สึกดีใจมากที่ลูกชายของเขามาขอเรียนดนตรีพื้นบ้านของคนปกาเกอะญอ ทั้งๆที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันต่างมุ่งหน้าเดินตามดนตรีตามกระแสนิยมกันหมดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าคอยและหวังมาโดยตลอดที่จะมีคนมาสืบทอดลายเพลงของชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขาหรือคนอื่นที่เป็นคนชนเผ่าเดียวกันก็ตาม ทำให้ฝันของเขาเริ่มเป็นจริงว่าทางเพลงแห่งวัฒนธรรมปกาเกอะญอจะไม่สิ้นสุดในยุคของเขา


แต่เขารู้สึกตกใจ เมื่อลูกชายบอกเขาว่า จะนำเตหน่ากู ไปเล่นในคืนคริสตมาสปีนี้ที่โบสถ์ในชุมชน

ลูกแน่ใจนะ ว่าจะเล่นในโบสถ์” ขาถามลูกชายของตนเอง พร้อมๆกับนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ถูกต่อว่ากลางงานประชุมสมัชชาคริสตจักรกะเหรี่ยงภาคมูเจะคี เมื่อสิบปีก่อน


เขายังรู้สึกหวั่นๆ ไม่น้อย เพราะกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิม แล้วลูกจะทนรับความกดดันไว้ไม่ไหว หากมีคำพูดเชิงตำหนิเกิดขึ้นหลังจากไปเล่นในโบสถ์ สิ่งที่เขากังวลมากกว่านั้นคือ กลัวว่าลูกเขาจะทิ้งเสียงและสำเนียงเพลงแห่งนกเขาป่าไปในที่สุด

แน่ใจ เล่นซิ! ผมเป็นแค่เด็ก เค้าคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง!” ลูกชายยืนยัน


ด้วยความกระชั้นชิดที่วันเวลาในการแสดงใกล้จะถึงทำให้เวลาในการร่ำเรียนและฝึกฝนการเล่นเตหน่ากู มีแค่สามคืนเท่านั้น แต่สามคืนก็เพียงพอที่ทำให้ลูกชายจะโดนพ่อเขกหัวไปหลายดอก เนื่องจากเล่นและร้องไม่ได้ดั่งใจพ่อ

 

เมื่อคืนคริสตมาสได้มาถึง ในชุมชนมีการเฉลิมฉลองกันอย่างเรียบง่ายตามประสาคริสตจักรบนดอย แต่ก็ไม่ทิ้งความสนุกสนานรื่นเริง เฮฮา บทเพลงแล้วบทเพลงเล่าได้ถูกขับร้อง ละครเวที เรื่องการกำเนิดของกุมารน้อยเยซู ได้ถูกนำมาแสดงซ้ำอีกเช่นเคย เด็กๆ ต่างมีส่วนร่วมในการแสดงและการร้องในคืนคริสตมาสอย่างถ้วนหน้า


ในไม่ช้าก็ถึงลำดับการแสดงของเขา เขาขึ้นไปแบบเคอะเขิน เหนียมอายและตื่นๆ เวที เนื่องจากยังไม่คุ้นเคยและไม่ค่อยมั่นใจกับเครื่องดนตรีที่เขาจะเล่นในคืนนี้เท่าใดนัก แต่เขารู้สึกว่า ถึงวินาทีนี้เขาต้องเล่นให้ได้ อย่างน้อยก็ให้จบเพลงที่ฝึกมา

 
พ่อของเขาไม่กล้าไปดูลูกเล่นเตหน่ากูในโบสถ์ เพียงแต่ให้คำแนะนำสำหรับการเล่นบนเวที ให้ระวังในเรื่องการเขินอาย การประหม่า ให้ทำตัวสบายๆ แต่ผู้เป็นมารดานั้น ได้ไปให้กำลังใจลูกอย่างใกล้ชิด


เขาขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งด้วยตนเอง ท่าทางและรูปร่างของเครื่องดนตรีของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่มาในงานคืนนั้น แม้มันจะเป็นเครื่องดนตรีของชนเผ่าปกาเกอะญอ แต่มันก็ห่างเหินไปจากสายตาและความรู้สึกของคนในชนเผ่ามานาน อยู่ๆ ก็มีเด็กตัวเล็กหยิบเครื่องดนตรีที่ไม่ค่อยมีคนเล่นแล้วและไม่รู้ว่าเล่นเป็นหรือเปล่า จึงทำให้เป็นเรื่องขำขันสำหรับผู้คนในวันนั้น


เมื่อเขาจัดที่นั่งตนเองจนลงตัวแล้ว เขาเริ่มดีดสายเตหน่ากูอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ จนเขาดูตัวแข็ง ไม่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ เขาเริ่มร้องเพลงตามแบบเสียงสั่นๆ


มีเรื่องราวราวหญิงสาวปกาเกอะญอ ชื่อ “หน่อฉ่าตรู” ที่หายไปในเมืองโย ทำให้ทุกอย่างในชุมชนปกาเกอะญอ เปลี่ยนไป ครกตำข้าวไม่ดังอีกต่อไป แม้กระทั่งไก่ก็หยุดขับขานเสียง ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ในชุมชนหมดไป แต่ยังพอมีหวังคือต้องพยายามเรียกหน่อฉ่าตรูให้กลับมา โดยใช้เสียงของเตหน่ากู ใช้วัฒนธรรมของชนเผ่าให้หน่อฉ่าตรูตื่นจากภวังค์ และกลับมาคืนชีวิตชีวาสู่ชุมชน


เป็นเนื้อเพลงที่พ่อเขาตั้งใจสอน ตั้งใจจะบอก และสื่อสารอะไรบางอย่างแก่คนในคริสตจักร ปกาเกอะญอ ผ่านเสียงเพลง


เมื่อร้องเพลงจบ เขาเดินลงเวทีอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น เขาเดินจากไปผ่านผู้มาร่วมงานในวันนั้น มิวายเขายังได้ยินคำพูดที่แว่วดังมาจากฝูงชน


เชื้อพ่อมัน ไม่ทิ้งแถวเลย เมื่อก่อนพ่อมันเคยเล่นเตหน่ากูในโบสถ์และเคยโดน เสอหระโดะ (ศาสนาจารย์) ต่อว่าให้ครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ลูกชายมันเอาอีกละ ดีที่วันนี้เส่อหระโดะไม่อยู่ แต่มันก็เล่นจนจบเพลงได้ แสดงว่าพ่อมันตั้งใจสอน” เขาเดินผ่านทำเป็นไม่สนใจก้าวเท้าเดินกลับไปที่บ้านเพื่อไปเก็บเครื่องดนตรี


พอกลับไปที่บ้าน จึงได้วางเตหน่ากูเก็บไว้ตามที่อยู่มุมเดิมของมันอย่างสงบเสงี่ยม พ่อจ้องมองอากัปกิริยาของลูกชาย


เล่นเป็นไงมั่ง?” พ่อเอ่ยปากถาม

ได้มาห้าบาทคับ” เหมือนตอบไม่ค่อยตรงคำถาม

ใครให้เหรอ?” พ่อถามต่อ

แม่คับ” เขาตอบพ่อพร้อมกับหยิบเหรียญขึ้นมาอวดให้พ่อดู

แม่เอ็งก็เหลือเกินนะ เห่อลูกซะจริงๆ” พ่อพูดพร้อมกับหัวเราะ


แต่พ่อของเขาโล่งอก เขารู้สึกเหมือนเป็นการกลับมาของบทเพลง และดนตรีวัฒนธรรมปกาเกอะญอในสังคมคริสตเตียนปกาเกอะญอ สร้างความหวังให้หัวใจคนเล่นดนตรีพื้นบ้านปกาเกอะญอชื้นขึ้นมาบ้าง พอเห็นโอกาสในการเข้าไปมีส่วนเปล่งเสียงในโบสถ์บ้าง


บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
การนอนและนอนอย่างเดียวในรถตู้ไม่ใช่เรื่องง่าย  บางทีปวดฉี่ บางครั้งปวดหลัง ทุกครั้งที่รถแวะจอดเติมน้ำมันหรือแวะทำอะไร ผมก็มักจะตื่นด้วยทุกครั้ง  จนได้รับการต่อว่าจากคนที่นั่งมาด้วยกันด้วยความเป็นห่วงว่าผมจะรับช่วงการขับรถต่อได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ชิ สุวิชาน
คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่คนฟังเพลงเป็นคนไทย แต่ที่พิเศษกว่าที่อื่นเนื่องจากคนไทยเป็นคนจัดงานกันเอง เป็นการจัดงาน ”Thai Festival in Texas” ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการจัดปีละครั้ง ทุกๆปีจะจัดในเดือนเมษายน แต่ปีนี้มาจัดกันในเดือนกันยายนเนื่องจากต้องการให้กิจการทัวร์ ของ Himmapan 2nd world เป็นจุดเด่นของงานในปีนี้ ภายในงานมีการขายอาหาร เสื้อผ้า ของไทย มีการจัดซุ้มนวดแผนไทยมาบริการ
ชิ สุวิชาน
จาก Houston มุ่งสู่ Dallas ระหว่างทางผมได้มีโอกาสเป็นสารถีอีกครั้ง ระหว่างทางที่ขับรถอยู่ผมก็เหลียวซ้ายและขวาบ้าง ผมเห็นตัวที่อยู่ข้างทาง วัวก็ไม่ใช่ ควายก็ไม่เชิง เมื่อเดินทางมาถึงDallas ที่ หมาย ซึ่งมีพี่น้องคนไทยรอรับ จัดแจงที่อยู่ที่กินเป็นอย่างดี “ที่นี่ มีคนปกาเกอะญอไหมครับ?” เป็นคำถามแรกที่ผมถามที่ Dallas
ชิ สุวิชาน
วันนี้ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้ไปเดินซื้อของที่ Outlet ส่วนผู้ชายหลังจากทานอาหารเช้า ต้องเดินทางไปติดตั้งเครื่องเสียงเพื่อเล่นในเย็นวันนี้
ชิ สุวิชาน
หัวค่ำ พี่แพท นายกสมาคมไทย เท็กซัส พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารจีน  ภายในร้านมีคนเอเชียจากหลายประเทศ ทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ลาว เวียดนาม รวมทั้งพี่ไทย  แต่ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษคุยกันยกเว้นคนเวียดนามที่ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษในร้านนอกจากพูดภาษาของตนเอง 
ชิ สุวิชาน
การเริ่มต้นใหม่ หลังจากที่สังคยานาดำเนินขึ้น จุดหมายวันนี้อยู่ที่ร้าน Home plate grill เป็นร้าน sport club ของคนไทย ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามเบสบอลทีม Houston Astros ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม ทางคณะทีมงานได้ไปเชิญชวนแฟนๆเบสบอลมาฟังดนตรีก่อนเกมจะเริ่ม ทำให้ในร้านเริ่มมีคนทยอยเข้ามา บ้างมานั่งดื่มก่อนเข้าไปดูเกมในสนาม บ้างเข้ามาซื้อเพื่อไปดื่มในสนาม
ชิ สุวิชาน
ข้าวเย็นมื้อหนักจบลง ตัวแทนสมาคมไทย-เท็กซัส ได้พาคณะไปที่พักผู้หญิงพักที่บ้านคนไทย ผู้ชายพักที่วัดไทยที่อยู่ใกล้ๆ ชื่อ”วัดป่าศรีถาวร” ซึ่งมีที่พัก มีห้องน้ำที่อยู่ในขั้นสะดวก พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ที่นี่เป็นกันเองนอกจากบริการที่พักแล้ว ยังให้ข้าวปลาอาหารให้ทานอีกเล่นเอาทีมงานผู้ชายต่างซึ้งไปตามๆกัน
ชิ สุวิชาน
สายๆของวันที่ 20 กันยา เราเดินทางออกจาก Austin ต่อไปเมือง Houston มีกำหนดการเล่นบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่เล่น ตัวแทนจากสมาคมไทย-เท็กซัส ได้มาต้อนรับและพาไปดูเวทีซึ่งเป็นที่คล้ายตลาดสดหรือตลาดนัดที่เมืองไทย มีอาหาร เสื้อผ้า ของเล่น รูปร่างหน้าตาและสัดส่วนรูปร่างของคนแถวนี้ใกล้เคียงเมืองไทย เพียงแต่ไม่พูดภาษาไทย พูดภาษาสเปนมากกว่าภาษาอังกฤษ
ชิ สุวิชาน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ Alamo เราออกเดินทางต่อไปยัง Austin ระหว่างทางแวะทานข้าวที่ร้านอาหารไทย ผมไม่ทิ้งโอกาสที่จะถามหาคนในเผ่าพันธุ์ของผม
ชิ สุวิชาน
การเดินทางยังดำเนินต่อ บทเพลงในรถยังเป็นเพื่อน มีทั้งเพลงที่ดัง มีทั้งเพลงไม่ดัง บางเพลงเคยได้ฟังมาบ้าง บางเพลงไม่เคยรู้จัก “เพลงที่ดังกว่า ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป คนที่ดังกว่าไม่ได้เก่งกว่าเสมอไป” ทอด์ดสรุปให้ฟัง “แต่อย่างผมไม่ดัง และไม่เก่งด้วย” ผมสรุปของผมในใจ
ชิ สุวิชาน
มีเวลาพัก หลังจากเล่นที่ Thai Thani Resort  วันหนึ่งได้มีโอกาสไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบระยะทางประมาณชั่วโมงเศษจากสแครนตั้น  รุ่งเช้า ออกเดินทางจากสแครนตั้นมุ่งสู่ตอนใต้ของอเมริกา เป้าหมายอยู่ที่ Texas ระยะทางเกือบสองพันไมล์ ขบวนรถตู้สามคัน บรรทุกทีมงานยี่สิบกว่าชีวิตพร้อมอุปกรณ์เครื่องเสียง เครื่องดนตรี เดินทางเต็มที่วันแรกจนตีสอง ทุกคนยอมแพ้ทั้งคนขับและคนนั่ง ถ้าเครื่องดนตรีและเครื่องเสียงพูดได้ ก็คงขอพักเช่นกัน จึงค้างกันที่เมือง Bristol รัฐ Tennessee
ชิ สุวิชาน
หลังคอนเสริตจบลงที่นิวยอร์ก เราเดินทางกลับสแครนตันในคืนนั้นเลย กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่ ทำให้หลังจากถึงที่นอนไม่เกินห้านาที เสียงกรนจากรอบข้างเริ่มดังขึ้น เหมือนมีการเปิดคอนเสริตประสานเสียง มีทั้งเสียงเบส เทนเนอร์ อัลโต โซปราโน ครบครัน กว่าผมจะหลับได้เล่นเอาฟังจนอิ่ม