Skip to main content

หัวค่ำ พี่แพท นายกสมาคมไทย เท็กซัส พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารจีน  ภายในร้านมีคนเอเชียจากหลายประเทศ ทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ลาว เวียดนาม รวมทั้งพี่ไทย  แต่ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษคุยกันยกเว้นคนเวียดนามที่ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษในร้านนอกจากพูดภาษาของตนเอง 

\\/--break--\>

"จริงๆแล้วเด็กเวียดนามพวกนี้เกิดที่อเมริกา พ่อแม่เขาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม แต่ความเป็นเวียดนามของเขาแรงมาก และเขาจะรักษาความเป็นเวียดนามมากจนคนอเมริกาและคนเอเชียอื่นต่างเกรงกลัวในความเป็นคนเวียดนามที่เข้มแข็ง" พี่แพทเล่าให้ฟัง

ระหว่างที่ทานข้าวเราคุยกันถึงโปรแกรมที่ไปต่อหลังจากกินข้าวเสร็จ  ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นนักดนตรีตกลงกันที่จะไปเที่ยวในผับที่ขึ้นชื่อในการเล่นดนตรีสดในร้าน ส่วนผู้หญิงกลัวไปแล้วต้องกลับมาดึกจึงได้แยกไปซื้อของในห้างแทน

"House of Blues เป็นร้านที่ขึ้นที่ของเมืองนี้เกี่ยวกับแนวเพลงบลูส์ ผมอยากให้พวกคุณได้ไปชมวัฒนธรรมดนตรีของคนที่นี่บ้าง" พี่ทอด์ดได้บอกกับนักดนตรีที่มาด้วยกัน ผมชักจะรู้สึกตื่นเต้นซะแล้ว

เมื่อเข้าไปถึงร้าน บรรยากาศเหมือนร้านอาหารหรูๆทั่วไป มีเวทีสำหรับดนตรี ที่นั่งโซฟาอย่างดีสำหรับลูกค้าของร้าน  พี่ทอด์ดเข้าไปหาเจ้าของร้าน แล้วแนะนำคณะจากเมืองไทยที่เดินทางมาด้วย  สีหน้าเจ้าของร้านดีใจมากที่เห็นพวกเราเขามาในร้านเขา

"เราต้องขออภัยด้วยที่วันนี้ไม่มีดนตรี เพราะเป็นวันหยุดของนักดนตรี"เจ้าของร้านบอกข่าวร้ายแก่เรา เล่นเอาเศร้าไปตามๆกันไป แต่เจ้าของร้านพาไปดูฮอล์แสดงคอนเสริตของร้าน เจ้าของร้านยังถือโอกาสชวน หากคราวหน้ามีการทัวร์คอนเสริต อย่าลืมเลยผ่านบริการฮอล์ของร้านไป

จากนั้นเราเจอเจ้าของผับอีกแห่งหนึ่งที่บังเอิญเข้ามาเที่ยวในร้านและเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านเมื่อเขารู้ว่าเรามาจากเอเชียเขาจึงพาเราไปที่ผับของเขาซึ่งคนที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นสมาชิกประจำของผับเท่านั้น  แต่ครั้งนี้มีข้อยกเว้นสำหรับพวกเรา  ทั้งผับตกแต่งด้วยศิลปะอินเดียทั้งสิ้น  ตั้งแต่หน้าประตูลิฟต์ไปจนถึงห้องน้ำ  เจ้าของผับบอกว่า เขารักศิลปะของอินเดียมาก  เขาต้องการรักษาเอาไว้ ไม่ว่าลายผ้า เครื่องดนตรี เครื่องปั้น พระพุทธรูป ล้วนอยู่ในร้านนี้

ผมเองเมื่อเข้ามาในร้านรู้สึกทึ่งในความรักศิลปะอินเดียของเศรษฐีชาวอเมริกันคนหนึ่ง  แต่ผมไม่แน่ใจว่าสำหรับคนอินเดียเขาจะดีใจหรือเปล่า ในเมื่อศิลปะของเขาต้องมาอยู่ในที่แบบนี้  รูปปั้นพระพุทธรูปบางองค์ถูกตั้งอยู่ด้านหลังขวดเหล้าขวดไวน์หลายสิบขวด  บางองค์ต้องอยู่ในห้องดื่มส่วนตัว  ต่างคนคงมีต่างมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้  ทำให้ผมนึกถึง โกละ หรือกลองมโหระทึกของคนปกาเกอะญอที่ถูกเศรษฐีโรงแรมหลายคน เอาไปตั้งเป็นโต๊ะกาแฟในโรงแรม  ในความรู้สึกคนปกาเกอะญอมันไม่ใช่  ไม่ใช่ที่อยู่ของเขา

หลังจากเราออกจากผับศิลปะอินเดีย  เราเห็นชอบร่วมกันว่า ในเมื่อไม่มีบลูส์ให้ฟัง ไปฟังร็อคแก้เซ็งก็ไม่เลว   จึงไปร้านที่มีการแสดงดนตรีร็อคที่มีชื่อเสียงในเมือง  แต่ปรากฏว่าร้านดังกล่าวกลับปิดอีก  เหมือนโชคไม่ให้เอื้อให้เราได้เสพดนตรีของเมืองนี้ในคืนนี้  จึงได้มีการเบนเข็มไปสถานที่เที่ยวดูอะไรที่ตื่นเต้นแบบผู้ชายแทน  จึงทำให้ผมลังเลมาก ไปดีหรือไม่ไปดี

"ไหนๆ คุณมาถึงอเมริกาแล้ว คุณไปดูวัฒนธรรมของคนที่นี่บ้างดิ" พี่แพทบอกผม
"ไปเถิด ไม่มีใครไปบอกภรรยาคุณหรอก" เพื่อนนักดนตรีจากอีสานบอกผม
"ไปเหอะ ไม่มีอะไรหรอก ไปเที่ยวดูเฉย พี่ก็ไป สนุกๆ" พี่ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มโน้มน้าวผม
"ไปดิ เผื่อกลับไปเล่าให้พี่น้องคุณฟังอีกมุมหนึ่งของที่นี่" พี่ทอด์ดบอกผม

ผมจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อทุกคนมีใจอยากไปกัน และมารถคันเดียวกัน หากผมดื้อไม่ไปคนเดียวและให้ทุกคนกลับไปส่งผมก็ดูจะเรื่องมากไปหน่อย  ผมจึงตกลงตามๆเขาไป โดยยังไม่รู้ว่าปลายทางที่แท้จริงคืออะไร

ทันทีที่ถึงสถานที่หมาย ได้รับคำสั่งให้หยิบพาสปอร์ตออกมา  เพื่อแสดงต่อพนักงานของสถานที่นั้น  มีการตรวจค้นอาวุธ กักมือถือกล้องถ่ายรูปทุกอย่างไว้  พกเพียงกระเป๋าตังค์เข้าไป  เมื่อเข้าไปในบาร์ ผมตกใจกับภาพที่เห็นต่อหน้านิดหน่อย  ย้ำว่านิดหน่อย หญิงสาวแหม่มกำลังเต้นเย้ายวนตามโต๊ะต่างๆของแขก  โดยที่นุ่งเพียงบิกินี่ ตัวเดียว เนื้อเป็นเนื้อ นมเป็นนม  ผมค่อยๆปรับอารมณ์ตนเองให้ปกติ  ทางคณะเลือกโต๊ะที่ติดขอบเวที เพื่อสามารถดูนางระบำได้อย่างใกล้ชิด และก็ไม่ผิดหวัง  นอกจากได้เห็นด้วยตาที่ระยะประชิดแล้ว เสียงหายใจของเธอยังได้ยินเลย

นางระบำออกมาโชว์ลีลาเย้ายวนคนแล้วคนเล่า จากสาวเล็ก สาวใหญ่จนถึงสาวแก่ น่าเบื่อบ้างน่าตื่นเต้นบ้าง  ก่อนที่เธอจะออกมาด้วยทรวดทรงแบบนักยิมนาสติก โดยปกติคนอื่นจะใช้เสาเหล็กสำหรับรูด แต่เธอเอามือจับแล้วดันตัวขึ้นตรง แล้วเหวี่ยงตัวตามเข็มนาฬิกา  เธอแสดงให้เห็นพละกำลังของผู้หญิงมิใช่เพียงความเย้ายวน เซ็กซี่อย่างเดียว ลีลาของเธอไม่ได้ออกมาในเชิงลามกอนาจาร แต่เต็มไปด้วยท่วงท่าจังหวะที่มีศิลปะอยู่ในตัว  คืนนี้ผมไม่ได้ประทับใจนักระบำเย้ายวนของแหม่มสาว แต่ผมกลับประทับใจนักยิมนาสติก 

ราตรีนี้ จากเพลงบลูส์ เป็นผับศิลปะอินเดีย ต่อด้วยดนตรีร็อค ตามด้วยบาร์ระบำและยิมนาสติก


ในฮอลล์แสดงคอนเสริตของ House of Bluse
 


ในผับศิลปะอินเดีย
 


ขวดเหล้า ไวน์ ต่อหน้ารูปปั้น
  


ในมุมส่วนตัว
 


อีกมุมหนึ่ง

  

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
การนอนและนอนอย่างเดียวในรถตู้ไม่ใช่เรื่องง่าย  บางทีปวดฉี่ บางครั้งปวดหลัง ทุกครั้งที่รถแวะจอดเติมน้ำมันหรือแวะทำอะไร ผมก็มักจะตื่นด้วยทุกครั้ง  จนได้รับการต่อว่าจากคนที่นั่งมาด้วยกันด้วยความเป็นห่วงว่าผมจะรับช่วงการขับรถต่อได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ชิ สุวิชาน
คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่คนฟังเพลงเป็นคนไทย แต่ที่พิเศษกว่าที่อื่นเนื่องจากคนไทยเป็นคนจัดงานกันเอง เป็นการจัดงาน ”Thai Festival in Texas” ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการจัดปีละครั้ง ทุกๆปีจะจัดในเดือนเมษายน แต่ปีนี้มาจัดกันในเดือนกันยายนเนื่องจากต้องการให้กิจการทัวร์ ของ Himmapan 2nd world เป็นจุดเด่นของงานในปีนี้ ภายในงานมีการขายอาหาร เสื้อผ้า ของไทย มีการจัดซุ้มนวดแผนไทยมาบริการ
ชิ สุวิชาน
จาก Houston มุ่งสู่ Dallas ระหว่างทางผมได้มีโอกาสเป็นสารถีอีกครั้ง ระหว่างทางที่ขับรถอยู่ผมก็เหลียวซ้ายและขวาบ้าง ผมเห็นตัวที่อยู่ข้างทาง วัวก็ไม่ใช่ ควายก็ไม่เชิง เมื่อเดินทางมาถึงDallas ที่ หมาย ซึ่งมีพี่น้องคนไทยรอรับ จัดแจงที่อยู่ที่กินเป็นอย่างดี “ที่นี่ มีคนปกาเกอะญอไหมครับ?” เป็นคำถามแรกที่ผมถามที่ Dallas
ชิ สุวิชาน
วันนี้ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้ไปเดินซื้อของที่ Outlet ส่วนผู้ชายหลังจากทานอาหารเช้า ต้องเดินทางไปติดตั้งเครื่องเสียงเพื่อเล่นในเย็นวันนี้
ชิ สุวิชาน
หัวค่ำ พี่แพท นายกสมาคมไทย เท็กซัส พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารจีน  ภายในร้านมีคนเอเชียจากหลายประเทศ ทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ลาว เวียดนาม รวมทั้งพี่ไทย  แต่ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษคุยกันยกเว้นคนเวียดนามที่ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษในร้านนอกจากพูดภาษาของตนเอง 
ชิ สุวิชาน
การเริ่มต้นใหม่ หลังจากที่สังคยานาดำเนินขึ้น จุดหมายวันนี้อยู่ที่ร้าน Home plate grill เป็นร้าน sport club ของคนไทย ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามเบสบอลทีม Houston Astros ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม ทางคณะทีมงานได้ไปเชิญชวนแฟนๆเบสบอลมาฟังดนตรีก่อนเกมจะเริ่ม ทำให้ในร้านเริ่มมีคนทยอยเข้ามา บ้างมานั่งดื่มก่อนเข้าไปดูเกมในสนาม บ้างเข้ามาซื้อเพื่อไปดื่มในสนาม
ชิ สุวิชาน
ข้าวเย็นมื้อหนักจบลง ตัวแทนสมาคมไทย-เท็กซัส ได้พาคณะไปที่พักผู้หญิงพักที่บ้านคนไทย ผู้ชายพักที่วัดไทยที่อยู่ใกล้ๆ ชื่อ”วัดป่าศรีถาวร” ซึ่งมีที่พัก มีห้องน้ำที่อยู่ในขั้นสะดวก พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ที่นี่เป็นกันเองนอกจากบริการที่พักแล้ว ยังให้ข้าวปลาอาหารให้ทานอีกเล่นเอาทีมงานผู้ชายต่างซึ้งไปตามๆกัน
ชิ สุวิชาน
สายๆของวันที่ 20 กันยา เราเดินทางออกจาก Austin ต่อไปเมือง Houston มีกำหนดการเล่นบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่เล่น ตัวแทนจากสมาคมไทย-เท็กซัส ได้มาต้อนรับและพาไปดูเวทีซึ่งเป็นที่คล้ายตลาดสดหรือตลาดนัดที่เมืองไทย มีอาหาร เสื้อผ้า ของเล่น รูปร่างหน้าตาและสัดส่วนรูปร่างของคนแถวนี้ใกล้เคียงเมืองไทย เพียงแต่ไม่พูดภาษาไทย พูดภาษาสเปนมากกว่าภาษาอังกฤษ
ชิ สุวิชาน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ Alamo เราออกเดินทางต่อไปยัง Austin ระหว่างทางแวะทานข้าวที่ร้านอาหารไทย ผมไม่ทิ้งโอกาสที่จะถามหาคนในเผ่าพันธุ์ของผม
ชิ สุวิชาน
การเดินทางยังดำเนินต่อ บทเพลงในรถยังเป็นเพื่อน มีทั้งเพลงที่ดัง มีทั้งเพลงไม่ดัง บางเพลงเคยได้ฟังมาบ้าง บางเพลงไม่เคยรู้จัก “เพลงที่ดังกว่า ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป คนที่ดังกว่าไม่ได้เก่งกว่าเสมอไป” ทอด์ดสรุปให้ฟัง “แต่อย่างผมไม่ดัง และไม่เก่งด้วย” ผมสรุปของผมในใจ
ชิ สุวิชาน
มีเวลาพัก หลังจากเล่นที่ Thai Thani Resort  วันหนึ่งได้มีโอกาสไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบระยะทางประมาณชั่วโมงเศษจากสแครนตั้น  รุ่งเช้า ออกเดินทางจากสแครนตั้นมุ่งสู่ตอนใต้ของอเมริกา เป้าหมายอยู่ที่ Texas ระยะทางเกือบสองพันไมล์ ขบวนรถตู้สามคัน บรรทุกทีมงานยี่สิบกว่าชีวิตพร้อมอุปกรณ์เครื่องเสียง เครื่องดนตรี เดินทางเต็มที่วันแรกจนตีสอง ทุกคนยอมแพ้ทั้งคนขับและคนนั่ง ถ้าเครื่องดนตรีและเครื่องเสียงพูดได้ ก็คงขอพักเช่นกัน จึงค้างกันที่เมือง Bristol รัฐ Tennessee
ชิ สุวิชาน
หลังคอนเสริตจบลงที่นิวยอร์ก เราเดินทางกลับสแครนตันในคืนนั้นเลย กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่ ทำให้หลังจากถึงที่นอนไม่เกินห้านาที เสียงกรนจากรอบข้างเริ่มดังขึ้น เหมือนมีการเปิดคอนเสริตประสานเสียง มีทั้งเสียงเบส เทนเนอร์ อัลโต โซปราโน ครบครัน กว่าผมจะหลับได้เล่นเอาฟังจนอิ่ม