Skip to main content
ผมฝ่าชุมชนมูเจะคีหลายชุมชน ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรากฏร่องรอยเล็บตีนเล็บมือรวมทั้งเริ่มเห็นมูลอันเป็นของเสียแห่งระบบทุนนิยมที่ถ่ายทิ้งเอาไว้ในชุมชนปกาเกอะญอที่มีอายุหลายร้อยปีแห่งนี้ และมีแนวโน้มที่ทรัพยากรธรรมชาติ ผู้คนและวัฒนธรรมจะถูกกลืนกินเป็นอาหารอันโอชะมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เมื่อได้มีโอกาสกลับมา พอมาถึงหมู่บ้านแรกของชุมชนปกาเกอะญอในบริเวณมูเจะคี ทันทีที่ได้สัมผัสมันเหมือนได้กลับคืนสู่รัง ได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปตอนอยู่ในเมือง เมื่อผ่านชุมชนแต่ละหมู่บ้านจะพยายามมองรถทุกคันที่ผ่าน มองคนทุกคนที่เจอว่าเป็นเพื่อนเราหรือเปล่า? ลุง ป้า น้า อา หรือเปล่า? ญาติพี่น้องหรือเปล่า? หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงหรือเปล่า? เป็นคนรู้จักหรือเปล่า? หากใช่เมื่อไหร่ การทักทายจะเกิดขึ้นทันทีแม้เพียงประโยคสั้นๆ หนึ่งหรือสองประโยคก็เพียงพอต่อความรู้สึกแล้ว

ตรงกันข้ามกับเวลาที่ต้องจากบ้านเข้าไปในเมือง ผมถอนหายใจทุกครั้งเมื่อล่วงเลยผ่านหมู่บ้านสุดท้ายของมูเจะคี นั่นก็ก็คือหมู่บ้านแรกตอนขากลับ อารมณ์มันถูกเปลี่ยนถูกครั้งเมื่อเลยผ่านหมู่บ้านสุดท้ายไปแล้ว มันเหมือนต้องไปสู่สมรภูมิรบอีกครั้ง

 

อีกครั้งที่ผมได้ถอนหายใจ แต่ครั้งนี้มีความรู้สึกแอบภูมิใจและดีใจไม่น้อยในการกลับมาของเพลง ธา ปลือ ในสังคมปกาเกอะญอคริสตเตียน โดยที่การกลับมาครั้งนี้ไม่ธรรมดา มันกลับมาในงานศพของศาสนาจารย์ผู้บุกเบิกคริสตจักรในบริเวณมูเจะคี ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ไม่เลวเลยทีเดียว

 

"เมื่อมาแล้วครั้งหนึ่ง มันต้องมาอีกแน่" ผมนึกในใจอย่างตื่นเต้น

 

รุ่งเช้ามีเพื่อนพ้องน้องพี่ทักทายไถ่ถามบรรยากาศงานศพของศาสนาจารย์ผู้บุกเบิกคริสต์จักรมูเจะคีกับผมเนื่องจากไม่สามารถร่วมงานได้ผ่านทางโทรศัพท์มาหลายราย ผมจึงกลายเป็นเป็นผู้รายงานเหตุการณ์โดยจำเป็น โดยไม่ลืมที่จะนำเสนอช่วงของการร้องเพลง ธา ปลือ ให้ผู้ฟังได้รับทราบด้วย เมื่อรายงานเหตุการณ์เสร็จมักจะมีคำถามกลับมาเกือบทุกครั้ง

 

"ร้อง ธา ปลือ ในงานศพเขา (ศาสนาจารย์) ไม่มีใครว่าให้เหรอ?" มักจะมีคำถามกลับมา

"ไม่มี ไม่มี ลูกหลานเขาเปิดโอกาสและชาวบ้านเริ่มเข้าใจแล้ว"ผมเองมักตอบกลับไปแบบนี้เช่นกัน

 

เย็นวันนั้น ขณะที่ผมกำลังรายงานเหตุการณ์ให้อีกคนอยู่นั้น

"เดี๋ยวก่อนนะ มีสายโทรศัพท์ซ้อนเข้ามา ผมรับรับสายก่อนแล้วค่อยเล่าให้ฟังต่อนะ"เมื่อเขาตกลงผมจึงสลับสายเพื่อรับสายที่เข้ามาใหม่ โดยยังไม่รู้ว่าเป็นใคร

 

"ขอถามหน่อยว่า ใครใช้ให้คุณร้องเพลง ธา ปลือ ในงานศพของพ่อผม???" ผมงงและตกใจนิดหน่อยก่อนตั้งสติฟังต่อ

 

"ผมทำทุกอย่าง เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ไม่มีที่ติ ยกเว้น ที่มีการร้องเพลง ธา ปลือของคุณ เป็นการทำให้งานของพ่อผมซึ่งเป็น ศาสนาจารย์ เสียหายหมดเลย เป็นที่ครหานินทา ผมเป็นลูกหลานและเป็นผู้นำศาสนาผมต้องเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่เป็นผู้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างนี้ มันเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือทางศาสนา ถ้ารู้ว่าคุณจะร้องธา ปลือผมห้ามคุณอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างเสียหายหมดเลย" เสียงพูดของเขาสั่นเครือ สะอึกสะอื้น ผมรู้ได้เลยว่าเขาร้องให้เหมือนมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นในชีวิตเขาอย่างใหญ่หลวง และนั่นไม่ต้องทำนายว่าเป็นเรื่องอะไร

 

ผมไม่ตอบโต้อะไรมากนัก เพียงแต่บอกเขา

"พาตี่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว พาตี่ทำดีแล้ว ทุกคนชื่นชมโดยเฉพาะช่งธา ปลือ ก็มีคนเข้าใจอยู่นะ"ผมพยายามอธิบาย

 

"แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องร้อง คุณปรึกษาคนในครอบครัวผมก่อนมั้ย?" เขาย้อนถามผม

 

"ผมขอโทษครับ ที่ผมทำไม่ดีในงาน" คำขอโทษผมทำให้เสียงเขาอ่อนลงและยุติการต่อว่าจนวางสายในที่สุด โดยที่ผมไม่ได้บอกว่าพี่ชายของเขาเป็นมาขอผมให้ร้องเพลง ธา ปลือ ผมเกรงว่าหากบอกเขาแล้วอาจทำให้เกิดการผิดใจกันในพี่น้อง และผมยังไม่ได้บอกว่าที่ผมขอโทษและที่พูดว่าทำไม่ดีในงานนั้น แท้ที่จริงผมอยากบอกว่าผมทำไม่ดี ผมควรร้องเพลงธา ปลือ ให้มากกว่านั้น และควรชวนผู้เฒ่าผู้แก่มาให้มากกว่านั้นต่างหาก

 

สองวันต่อมา ผมได้ข่าวว่ามาจากบ้านว่า พือ ส่าอุเง ถูกต่อว่าเนื่องจากร่วมมือกับผมร้อง ธา ปลือ ในงานศพ ดังกล่าว สงสารแต่เพียงผู้เฒ่าที่ตั้งแต่เกิดมาเป็นขุนเพลงธา เขายังไม่เคยถูกต่อว่าเลย เขาเป็นขวัญใจมาโดยตลอด แต่งานนี้เขาโดนเต็มเปา เขาคือผู้ที่สมควรจะได้รับคำขอโทษจากผม

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
การนอนและนอนอย่างเดียวในรถตู้ไม่ใช่เรื่องง่าย  บางทีปวดฉี่ บางครั้งปวดหลัง ทุกครั้งที่รถแวะจอดเติมน้ำมันหรือแวะทำอะไร ผมก็มักจะตื่นด้วยทุกครั้ง  จนได้รับการต่อว่าจากคนที่นั่งมาด้วยกันด้วยความเป็นห่วงว่าผมจะรับช่วงการขับรถต่อได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ชิ สุวิชาน
คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่คนฟังเพลงเป็นคนไทย แต่ที่พิเศษกว่าที่อื่นเนื่องจากคนไทยเป็นคนจัดงานกันเอง เป็นการจัดงาน ”Thai Festival in Texas” ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการจัดปีละครั้ง ทุกๆปีจะจัดในเดือนเมษายน แต่ปีนี้มาจัดกันในเดือนกันยายนเนื่องจากต้องการให้กิจการทัวร์ ของ Himmapan 2nd world เป็นจุดเด่นของงานในปีนี้ ภายในงานมีการขายอาหาร เสื้อผ้า ของไทย มีการจัดซุ้มนวดแผนไทยมาบริการ
ชิ สุวิชาน
จาก Houston มุ่งสู่ Dallas ระหว่างทางผมได้มีโอกาสเป็นสารถีอีกครั้ง ระหว่างทางที่ขับรถอยู่ผมก็เหลียวซ้ายและขวาบ้าง ผมเห็นตัวที่อยู่ข้างทาง วัวก็ไม่ใช่ ควายก็ไม่เชิง เมื่อเดินทางมาถึงDallas ที่ หมาย ซึ่งมีพี่น้องคนไทยรอรับ จัดแจงที่อยู่ที่กินเป็นอย่างดี “ที่นี่ มีคนปกาเกอะญอไหมครับ?” เป็นคำถามแรกที่ผมถามที่ Dallas
ชิ สุวิชาน
วันนี้ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้ไปเดินซื้อของที่ Outlet ส่วนผู้ชายหลังจากทานอาหารเช้า ต้องเดินทางไปติดตั้งเครื่องเสียงเพื่อเล่นในเย็นวันนี้
ชิ สุวิชาน
หัวค่ำ พี่แพท นายกสมาคมไทย เท็กซัส พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารจีน  ภายในร้านมีคนเอเชียจากหลายประเทศ ทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ลาว เวียดนาม รวมทั้งพี่ไทย  แต่ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษคุยกันยกเว้นคนเวียดนามที่ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษในร้านนอกจากพูดภาษาของตนเอง 
ชิ สุวิชาน
การเริ่มต้นใหม่ หลังจากที่สังคยานาดำเนินขึ้น จุดหมายวันนี้อยู่ที่ร้าน Home plate grill เป็นร้าน sport club ของคนไทย ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามเบสบอลทีม Houston Astros ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม ทางคณะทีมงานได้ไปเชิญชวนแฟนๆเบสบอลมาฟังดนตรีก่อนเกมจะเริ่ม ทำให้ในร้านเริ่มมีคนทยอยเข้ามา บ้างมานั่งดื่มก่อนเข้าไปดูเกมในสนาม บ้างเข้ามาซื้อเพื่อไปดื่มในสนาม
ชิ สุวิชาน
ข้าวเย็นมื้อหนักจบลง ตัวแทนสมาคมไทย-เท็กซัส ได้พาคณะไปที่พักผู้หญิงพักที่บ้านคนไทย ผู้ชายพักที่วัดไทยที่อยู่ใกล้ๆ ชื่อ”วัดป่าศรีถาวร” ซึ่งมีที่พัก มีห้องน้ำที่อยู่ในขั้นสะดวก พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ที่นี่เป็นกันเองนอกจากบริการที่พักแล้ว ยังให้ข้าวปลาอาหารให้ทานอีกเล่นเอาทีมงานผู้ชายต่างซึ้งไปตามๆกัน
ชิ สุวิชาน
สายๆของวันที่ 20 กันยา เราเดินทางออกจาก Austin ต่อไปเมือง Houston มีกำหนดการเล่นบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่เล่น ตัวแทนจากสมาคมไทย-เท็กซัส ได้มาต้อนรับและพาไปดูเวทีซึ่งเป็นที่คล้ายตลาดสดหรือตลาดนัดที่เมืองไทย มีอาหาร เสื้อผ้า ของเล่น รูปร่างหน้าตาและสัดส่วนรูปร่างของคนแถวนี้ใกล้เคียงเมืองไทย เพียงแต่ไม่พูดภาษาไทย พูดภาษาสเปนมากกว่าภาษาอังกฤษ
ชิ สุวิชาน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ Alamo เราออกเดินทางต่อไปยัง Austin ระหว่างทางแวะทานข้าวที่ร้านอาหารไทย ผมไม่ทิ้งโอกาสที่จะถามหาคนในเผ่าพันธุ์ของผม
ชิ สุวิชาน
การเดินทางยังดำเนินต่อ บทเพลงในรถยังเป็นเพื่อน มีทั้งเพลงที่ดัง มีทั้งเพลงไม่ดัง บางเพลงเคยได้ฟังมาบ้าง บางเพลงไม่เคยรู้จัก “เพลงที่ดังกว่า ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป คนที่ดังกว่าไม่ได้เก่งกว่าเสมอไป” ทอด์ดสรุปให้ฟัง “แต่อย่างผมไม่ดัง และไม่เก่งด้วย” ผมสรุปของผมในใจ
ชิ สุวิชาน
มีเวลาพัก หลังจากเล่นที่ Thai Thani Resort  วันหนึ่งได้มีโอกาสไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบระยะทางประมาณชั่วโมงเศษจากสแครนตั้น  รุ่งเช้า ออกเดินทางจากสแครนตั้นมุ่งสู่ตอนใต้ของอเมริกา เป้าหมายอยู่ที่ Texas ระยะทางเกือบสองพันไมล์ ขบวนรถตู้สามคัน บรรทุกทีมงานยี่สิบกว่าชีวิตพร้อมอุปกรณ์เครื่องเสียง เครื่องดนตรี เดินทางเต็มที่วันแรกจนตีสอง ทุกคนยอมแพ้ทั้งคนขับและคนนั่ง ถ้าเครื่องดนตรีและเครื่องเสียงพูดได้ ก็คงขอพักเช่นกัน จึงค้างกันที่เมือง Bristol รัฐ Tennessee
ชิ สุวิชาน
หลังคอนเสริตจบลงที่นิวยอร์ก เราเดินทางกลับสแครนตันในคืนนั้นเลย กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่ ทำให้หลังจากถึงที่นอนไม่เกินห้านาที เสียงกรนจากรอบข้างเริ่มดังขึ้น เหมือนมีการเปิดคอนเสริตประสานเสียง มีทั้งเสียงเบส เทนเนอร์ อัลโต โซปราโน ครบครัน กว่าผมจะหลับได้เล่นเอาฟังจนอิ่ม