ต่า หมื่อ แฮ ธ่อ เลอ โข่ โกละ ตา ข่า แฮ ธ่อ เลอ โข่ โกละ
อะ เคอ กิ ดิ เค่อ มี โบ มา ซี ปกา ซู โข่ อะ เจอ
ผีร้ายโผล่มาทางริมฝั่งสาละวิน แมงร้ายโผล่มาทางลำน้สาละวิน
เสื้อผ้าลายเหมือนดั่งต้นบุก มาเข่นฆ่าทำลายล้างชีวิตคน
(ธา บทกวีคนปกาเกอะญอ)
“คุณเคยติดตามสถานการณ์ทางรัฐกะเหรี่ยงประเทศพม่าบ้างไหม” เสียงผู้ชายโทรศัพท์มาถามผมด้วยภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง
“ผมทำงานในองค์กรชื่อFree Burma Rangers ครับ” เขาแนะนำตัว
จากนั้นผมกับเขาก็ได้สนทนากันในเรื่องสถานการณ์การสู้รบในประเทศพม่า โดยเฉพาะในรัฐกะเหรี่ยง คนชนเผ่าเดียวกับผม เขาบอกผมว่าเขาได้เข้าไปทำงานในเขตการสู้รบโดยการไปช่วยเหลือทางการแพทย์ต่อชาวบ้านผู้ทนทุกข์จากการกวาดล้างของรัฐบาลทหาร
เขาเล่าถึงสถานการณ์ชาวบ้านที่ต้องอพยพหนีการสู้รบ จนต้องมาอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากสงครามในฝั่งไทยตลอดแนวเขตตะเข็บชายแดนไทย-พม่า
ปัจจุบันทางการไทยไม่อนุญาตให้ผู้อพยพรายใหม่เข้ามาอาศัยเพิ่มอยู่ในศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากสงครามได้อีกแล้ว ในขณะที่การสู้รบ การใช้กำลังเข่นฆ่าชาวบ้านและบังคับไปเป็นลูกหาบยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นด้วยซ้ำ
ผู้นำชาวบ้านที่หนีภัยจากการสู้รบกลุ่มที่ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากสงครามในฝั่งไทยได้ จึงได้มีการหาพื้นที่ริมฝั่งสาละวินในเขตฝั่งรัฐกะเหรี่ยงที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยให้ชาวบ้านมาอาศัยอยู่ชั่วคราว เพื่อให้ชาวบ้านสามารถหลบซ่อนความตายจากน้ำมือของรัฐบาลทหารได้อย่างน้อยได้ต่อชีวิตให้ยืนยาวออกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วค่อยมาคิดกันต่อว่าจะไปต่ออย่างไร
อิ๊ตุถ่า หรือสบห้วยอิ๊ตุ ริมฝั่งสาละวินทางตะวันตก แม้ว่าในความรู้สึกของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคือที่ปลอดภัยและอุ่นใจได้ว่าอยู่ไกลจากเงื้อมปืนของทหารพม่า แต่สำหรับผู้นำชาวบ้านและผู้นำกองทัพกะเหรี่ยงรู้ดีว่ามีความเสี่ยงไม่น้อย
จากแม่สามแลบขึ้นไปโดยเรือประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง ถึง อิ๊ตุถ่า ตรงข้ามแม่สามแลบทางฝั่งพม่าคือฐานของทหารพม่าซึ่งมีทหารประจำการไม่ตำกว่า 100 นาย เหนือแม่สามแลบขึ้นไปทางเหนือฐานของทหารพม่าอีกจุดหนึ่งซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปจากบ้านท่าตาฝั่งเล็กน้อยเดินทางโดยเรือประมาณ45 นาที ถึง อิ๊ตุถ่า และเหนืออิ๊ตุถ่าหากเดินด้วยเท้าประมาณ 2 ชั่วโมงก็มีฐานทหารพม่าตั้งอยู่ ณ อูดาถ่า แต่ละฐานมีขนาดและจำนวนทหารประจำการที่ใกล้เคียงกัน
แต่ ณ วันนี้ไม่มีเวลาและโอกาสจะหาที่ที่ดีกว่าและเหมาะสมกว่านี้ได้
“รัฐบาลทหารพม่า ไม่เพียงแต่ต้องการทำลายกองทัพของชนกลุ่มน้อยต่างๆเท่านั้น แต่ยังต้องการทำลายชุมชนของชนกลุ่มน้อยด้วย โดยการเข้ามาปล้น ฆ่าและเผาบ้านของชาวบ้านที่ไร้อาวุธ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้คนต้องหนีออกมา” เขาพูดกับผม แล้วเขาก็เปิดสารคดีที่เขาไปถ่ายทำในพื้นที่การสู้รบ
มีทีมแพทย์อาสาปฏิบัติหน้าที่อยู่ท่ามกลางการหนีภัยสงคราม สภาพการอพยพหนีของชาวบ้าน ผู้ที่บาดเจ็บและเจ็บป่วย รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ของชาวบ้าน
“รัฐบาลทหารพม่า ไม่ต้องการเพียงแค่ครอบครองหรือมีอำนาจเหนือชนเผ่าต่างๆเท่านั้น แต่ต้องการทำลายล้างประชากรของชนเผ่าต่างๆให้หมดไปจากประเทศโยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าการเข่นฆ่า การขับไล่ออกจากพื้นที่ การกลืนทางวัฒนธรรมรวมทั้งการกลืนทางสายเลือดโดยการแต่งงานกับคนชนเผ่าต่างแล้วให้มาเป็นคนพม่า เพราะฉะนั้นหากเราหนีออกไป ก็ยิ่งเป็นการยอมแพ้ เราอยู่เราก็ตาย แต่ผมแก่แล้วหนีก็ตายอยู่ก็ตายจะขออยู่ตรงนี้เป็นจนถึงที่สุด ไม่ไปไหนแล้ว” ผู้เฒ่าคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ในสารคดี
“สำหรับเราชาวบ้านหรือประชาชนไม่ใช่ศัตรู ชาวบ้านที่เป็นชาวพม่าก็ไม่ใช่ศัตรู ศัตรูที่แท้จริงคือรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ประชาชนพม่าเองก็ทนทุกข์ทรมานจากการปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าเช่นกัน หากประเทศนี้มีการปกครองโดยระบบประชาธิปไตย รัฐบาลให้สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมแก่ประชาชนในการทำมาหากิน ก็คงไม่มีการลุกขึ้นมาต่อต้านรบราฆ่าฟันกันขนาดนี้” ทหารคนหนึ่งให้สัมภาษณ์
“อย่าว่าแต่ประชาชนพม่าด้วยกันเลย ขนาดพระสงฆ์ที่เขา (ทหารพม่า) กราบไหว้นับถือ ยังฆ่าและทำลายได้เลย” ผู้ทำสารคดีพูดกับผมพร้อมกับส่ายหัว
ไม่ว่าใครจะมีอำนาจปกครองประเทศไหน ไม่ว่าใครจะปกครองประเทศแบบใด เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย แต่สำหรับเราประชาชน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ชะตากรรมของประชาชนผู้ไร้อำนาจจะเป็นอย่างไร เพียงแค่ความเห็นใจความเข้าใจ อาจเป็นกำลังใจที่มีค่าสำหรับประชาชนด้วยกัน หรือคุณอาจทำได้มากกว่านั้น ???