Skip to main content

พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย


เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร

ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง


คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง

สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง พอให้รู้ว่าเย้าแหย่เล่นหรอกนะ อย่าซีเรียสจริงจังไปเลยพ่อหนุ่ม พ่อของลูกชายรีบตอบกลับไป น่าจะดี ไปลงสถานีตำรวจสักครั้ง แต่เอ๊ะ มีสถานีอื่นมั้ยที่ไม่ใช่สถานีตำรวจ สถานีขนส่งอย่างในหนังเรื่องเดอะเลสเตอร์มีมั้ยครับ”


เขานึกไปว่า คำพูดตอบน่าจะกลืนไปกับอารมณ์คนขายตั๋วกระมัง

มีจ้าวๆ เพิ่งสร้างใหม่ ดีกว่าในหนังเสียอีก สีแดงสีเหลืองเห็นแต่ไกลเลยจ้าว จะเตียวไปไหนก่อได้ ไปไหนก่อจ้าว..” คนเป็นพ่อตอบตกลง เตียวคือเดิน โอเค..ช็อกโกแล็ตแซทเทอเดย์สถานีขนส่งเชียงดาว แต่เขาไม่ตอบคำถามว่าจะไปไหนต่อ

หกสิบบาทจ้าว รถบัสแดงคันที่จอดอยู่นั่นนะจ้าว” ..



ขณะนั่งรอเวลารถออก เด็กหนุ่มนุ่งกางเกงยีนส์เสื้อยืดสวมรองเท้าผ้าใบและเป้สะพายใบเล็ก เพิ่งปลดโทรศัพท์มือถือออกจากหู หันมาถามพ่อของลูกชาย

ไปเล่นที่ไหนครับ” คนเป็นพ่อยิ้ม ไปเล่นเพลงให้เด็กๆฟัง”

กีตาร์ยี่ห้ออะไร ยามาฮ่าหรือเปล่า” เขาคงอยากรู้จริงๆ แต่กีตาร์นอนอยู่ในกล่อง ไม่ทันที่เขาจะตอบ เด็กหนุ่มถามต่ออีกว่า ราคาเท่าไหร่”


เขานึกอยากเปลี่ยนท่าทีจริงจังให้ดูสบายๆ

เป็นความลับครับ ช่างเถอะราคาเท่าไหร่ ถ้าชอบจริงอีกหน่อยรู้เอง น้องไปลงไหนเหรอ”


เป็นความลับคำนั้น เขาใช้พูดกับลูกชายอยู่บ่อย จะได้รู้สึกว่าในโลกนี้ เรื่องง่ายๆบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ยากเข้าถึงได้เหมือนกัน เรื่อง่ายๆหลายเรื่องก็ไม่ต่างไปจากเรื่องมักง่าย และเรื่องง่ายๆหลายเรื่องหยาบ ไม่ใส่ใจ ไร้มารยาท ยากชวนสงสัยได้เหมือนกัน


แต่หน้าตาของเด็กหนุ่มดูเพิ่งออกมาจากวัยลูกชายได้ไม่นาน ความอยากรู้อยากเห็นเป็นคุณสมบัติที่ควรพึงมีติดตัววัยกำลังโตเป็นตัวเต็มวัย

ไปลงฝาง พี่เล่นเพลงบอดี้แสลม สวีทมันเลทได้มั้ย” เขาหมายถึงวงดนตรีร็อคขวัญใจวัยรุ่นกระมัง สรรพนามเรียกพ่อของลูกว่าพี่เต็มปากเต็มคำ

พี่เล่นเพลงวงชาตรีได้บ้าง วงบรั่นดี วงคีรีบูนได้บางเพลง” เขานึกย้อนถึงเพลงที่เป็นขวัญใจวัยรุ่นยุคนั้น

โห.. เก่ามากเลยพี่ พ่อผมก็ร้องได้นะ” เขาอ้างไปถึงพ่อ

พี่เล่นประจำอยู่ที่ไหน”

เล่นไม่ประจำ เล่นตามแต่ใจ เล่นตามจำเป็นต้องไปเล่น”



เสียงรถสตาร์ทเครื่องดังขึ้น เรากระเด็นออกไปหาที่นั่งบนรถ

ระหว่างรถบัสแล่นผ่านทางคดโค้งเขตป่าเขา เขานึกถึงคำถามของเด็กหนุ่มเมืองฝาง พี่เล่นเพลงอะไร ไปร้องให้ใครฟัง คำถามที่ดูง่าย ไม่ต่างจากไปไหน ไปหาใคร เป็นคำถามที่ตอบเท่าไหร่ก็คลุมเครือ ไม่ชัดเจน มีรายละเอียดที่ต้องอธิบายกันนาน และที่สำคัญนั้น โอกาสจะเป็นคำตอบที่อยู่ในความสนใจหรือพึงพอใจผู้ถาม ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน


พ่อของลูกนั่งมองลูกชาย ความอ้างว้างจู่โจมเข้ามาในใจอย่างประหลาด มนุษย์อ้างว้างเกิดมาทำอะไร ทำนานแค่ไหน ไปไหน ชั่วชีวิตหนึ่งเราจะตอบตัวเองได้หมดจดตรงใจทุกอย่างหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำอ้างข้อแก้ตัว แสร้งเชื่อ ข้ามผ่านเหตุการณ์ครั้งหนึ่งไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องจริงจังอะไร จนกว่าจะหายไปจากโลก


รถบัสแล่นเลื้อยเลาะคู่ขนานไปกับน้ำปิงในร่องหุบเขา เขานึกถึงวันที่เด็กหนุ่มเงาของเขาวัยหน้าใส จับกีตาร์ห่มผ้าเดินขึ้นรถไฟ พร้อมสมุดบันทึก และหนังสือเต็มกระเป๋า ออกเดินไปข้างหน้า คิดถึงเพลงของพอล ไซมอลและการ์ฟังเกล(SIMON AND GARFUNKEL’S) หนุ่มพเนจรของคาราวาน ลมภูเขาพัดข้ามแม่น้ำ พัดลูบใบหน้า เส้นผมปลิว เสียงเพลงอ้างว้างลอยมาวนเวียนรอบตัว



บนทางชีวิตที่ยาวไกล บนความห่วงใยที่ยาวนาน

ให้ฉันเขียนเพลงขับขาน สานความเข้มแข็งและเชื่อมั่น

วันวันฉันวนซ้ำความฝัน วันวันปั้นความฝันเป็นการงาน

มีวันใดหรือเธอ ฉันจะห่าง

มีวันใดหรือเธอ เธอจะไป...”



บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ