Skip to main content

 

ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน


สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้


ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...


ผมยังถ่ายรูปด้วยกล้องที่มีฟิล์ม ไม่ใช่เพราะไม่อยากเปลี่ยนแปลง แต่กล้องยังใช้งานได้อยู่ ยังมีฟิล์มขายอยู่ ร้านล้างฟิล์มยังรับล้างฟิล์มไปอีกนาน อาจด้วยเหตุผลว่าโลกนี้ โลกเก่ายังมีชีวิตอยู่ได้ แถมมีจำนวนประชากรนิยมเชยอยู่พอสมควร กลุ่มคนเชยมีจำนวนมากพอให้โลกเก่าพอถูๆไถๆกันไปได้บ้าง


ที่สำคัญนั้น กลุ่มคนเชยไม่ใส่ใจเรื่องของการขวนขวายสู่ขั้นตอนหลุดพ้นจากความไม่เชยง่ายๆเป็นแน่(หรือเปล่า)


ฟิล์มเลยทำให้คนเชยดูยังมีหน้าตาดี มีเอกลักษณ์เดินลอยนวลกันไปได้

คนเชยก็มักอ้างแบบหลืบๆคูๆว่า ฟิล์มทำให้การกลับมาจากที่หนึ่ง จากเรื่องหนึ่งดูเข้มข้นขึ้น ไม่จืดชืดว่างั้นเถอะ

คนเชยยังบอกอีกว่า ฟิล์มมีลุ้น ฟิล์มอาจสมหวังและพลาดหวัง

ฟิล์มทำให้เจ็บน้ำตื้น แม้น้ำตาไม่ร่วง


และอีกหลายคำนิยามคำเชยๆ ของคนเชยๆอันเกี่ยวข้องกับฟิล์ม

"ทำไมพี่ไม่เปลี่ยนเป็นดิจิตอล" ผมตอบคำถามนี้บ่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นมิตรไม่รักมักไม่ฟัง ผมก็มักอ้างเอากลุ่มคนเชยนี่แหละมารวมหมู่พวก ตอบเป็นจริงบ้าง ตอบเป็นเล่นบ้าง


คำตอบอ้างแบบน้ำตื้นๆ มีโอกาสเห็นปูเห็นปลาดำผุดดำว่ายตามหนองคลองบึงเดือนมีนาคม อ้างถึงกระแสลมพัดไล่ดอกพยอมให้หมดต้นไปก่อนบ้างหละ อ้างรอเปลี่ยนรัฐบาลใหม่อีกสักชุดสองชุด (เอ..เกี่ยวอะไรกับรัฐบาล) อ้างว่ารอตะวันบ่ายมีน้ำค้างแข็งตกหน้าร้อนบ้าง


แต่รุนแรงสุดก็เห็นจะอ้างกับน้องคนหนึ่งว่า รอค่าต้นฉบับงานเขียนหนึ่งชิ้นมีราคาสูงเทียมเท่าการปรากฏตัวของดาราในงานประกวดไม้ดอกไม้ประดับบ้างหละ..(ฮา)


สุดท้ายกลับมาใช้ฟิล์มดังเดิม(เถอะพี่)

"ฝันไปเถอะลุง"


  


ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน!! กดชัตเตอร์แชะ งามจริงๆ กดชัตเตอร์อีกแชะ กดไปแล้วสองแชะ กล้องประท้วงบอกมาว่า ฟิล์มคุณใกล้จะหมด กรุณาเติมฟิล์มนะคะ


น้ำเสียงลอยมานั้นมีโทนเสียงใกล้เคียงกับเสียงเตือนตอนการ์ดโทรศัพท์ใกล้จะหมด


ถ่ายไปแล้วก็ยังรู้สึกไม่ได้ดังใจ ขออีกรูปเถอะน่า คราวนี้ขอนั่งถ่าย เอ ไม่น่าจะดี ยืนถ่ายมาแล้ว 2 รูป นอนถ่ายดีกว่ามั้ง จะได้เห็นมุมสูงไง


แชะ หนึ่งแชะสุดท้ายจริงๆ(นอนถ่ายครับ)

"ได้ยินเสียงมันมั้ย" คนนำทางเป็นลุงวัย 65 ปี

 

 


ผมมีเพื่อนรุ่นลุงอยู่หลายคน ลุงวัย 65 เป็นหนึ่งในเพื่อนที่เดินข้ามน้ำข้ามป่าไปไหนแล้ว ลื่นคอลื่นใจเหลือเกิน

"อานี เดือนมีนาเมษา เสียงมันจะดังกว่านี้ เวลาเขาไปซอกับผู้หญิง ซอแข่งกับผู้หญิง เขาจะโห่ผู้หญิง ว้าเหม่ยะ เมเยาะแกแก หน่อซาหน่อล้าแอ เขาบอกว่าไผ่เนี่ย ขี่มาเนี่ย จะดังแก๊กๆๆตลอด เพราะฉะนั้น เธอโตเป็นสาว เตียวไปไหน เดินไปไหน มีคนดู เห็นมั้ย กิ่งไม้ไผ่มันเกี่ยวกับสาว เกี่ยวกับการปั่นฝ้าย.."

โดนวิชาความรู้จู่โจมเข้ามาเต็มๆ มัวชมไผ่ชมใบไผ่เพลินดีนัก เป็นไง


ไหนๆก็พูดถึงเสียง ผมก็ถามต่อสิ

"เสียงไผ่หน้าร้อนเป็นไงลุง"

"อานี..ว่าฤดูแล้ง มันจะเสียงเบาๆแก๊กๆๆอย่างนี้ไปเรื่อย แต่ฤดูฝนมันจะดังอ๊อๆแอ๊ๆ อย่างนี้ ฤดูร้อนกับฤดูฝน เสียงมันจะดังต่างกัน"

ยืนเงียบมองนางแบบนายแบบใบสยาย

"มันเป็นภาษาของเขา" ลุงตอบ

นี่สิเด็ด เด็ดจริงๆ มันเป็นภาษาของเขา


ผมถามต่อถึงการดูแลไผ่

"ปลูกปีนั้น 10 กอ ปีหนึ่งเฮาไปดูเตื้อเดียว ไม่ดูก็ยังได้ ไผ่บางอย่าง เฮาหามาปลูก คิดง่ายๆอย่างนี้ หน่อนี่ดูมันไม่ทำรายได้ อันที่จริงมันมีราคา ขายต้นละ 10 บาท เขามาเอาถึงที่เลย หน่อมันก็มีกิน ยังแบ่งหื้อพี่น้องกินเป็นอาหาร แล้วคิดว่า ไผ่นี่มันใช้ได้หลายแบบ จะใช้ทำรั้วก็ได้ ทำบ้าน มุงบ้าน ทำเป็นเสา ทำเป็นอะไรๆก็ได้ทั้งนั้น..."


ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน ชมไผ่ไปพลาง รับคำอธิบายขยายนิยามไผ่ไปพลาง ร้อนๆแล้งๆควันๆตื้อๆปลายเดือนกุมภาพันธ์ ชมไผ่น่าเพลิดเพลินไม่น้อย


เห็นว่ายามนี้ ควันครองเมือง อนาคตควันครองโลก ร้อนเหลือเกิน เปลี่ยนท่วงทำนองเดิมชมไผ่กันบ้าง เผื่อร้อนพอคลาย หากยังไม่คลาย ก็หาไผ่มาปลูกไว้สักกอ


ปลูกไว้ฟังเสียงของมัน ดับกระหายคลายร้อน แก้ร้อนใน

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา เธอต้องลงไปดู ไม่ แต่พี่เห็นมัน มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี…
ชนกลุ่มน้อย
ด็อกเตอร์สมบัติ เครือทอง ครูการเขียนคนแรกของผม ย้ายจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก นานหลายปีมาแล้ว แต่ผมได้พบครูสอนเขียนเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น วันที่ครูมาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ผมไม่พลาดโอกาสที่จะพบหน้าครูให้ได้ เราพบกันในร้านกาแฟบนถนนนิมนานเหมินทร์ ย่านร้านรวงธุรกิจบริการกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จัดแต่งร้านพร้อมนำเสนอเครื่องดื่มชวนดื่มชิมรส รมณียสถานคราคร่ำด้วยผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน พบกันคราวนี้ ผมมีเรื่องเก่าย้อนถาม “จดหมายจากสวนยางถึงสวนลุกซองบูร์ยังมีอยู่มั้ยครับ…
ชนกลุ่มน้อย
เปิดตัวหนังสืออีกแล้วหรือพี่..!??!” เครื่องหมายประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ประมาณว่าไม่เข็ดหลาบจำเสียทีนะพี่ หนังสือเล่มไหนเล่มใหม่หรือพี่ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย “นั่นสิ มันหลบอยู่ตรงไหน กลายเป็นของหายากไปได้อย่างไร หลบหน้าหลบตาคนอ่าน” ทีเล่นหรือทีจริงก็ตาม สุดท้ายผมก็บอกไปว่า สงสัยแผงเขาไม่ว่างวางของหนัก หรือไม่ก็เขาเก็บออกไปจากแผงเสียแล้วมั้ง แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่า แล้วพี่จะมาเปิดตัวหนังสืออีกทำไม สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานของพี่รวยเหรอ ผมรีบออกตัวว่า เปล่า อาจจะจนก็ได้มั้ง พอศอของข้าวแพงไข่ไก่แพง บนหนทางที่ไม่ได้ปลูกข้าวกินเอง และไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่…
ชนกลุ่มน้อย
ผมไปตามวันเวลาหมอนัดอีกครั้ง หลังจากพลาดนัดครั้งแรก ถ้าผมไม่ไปตรงเวลา ผมจะต้องคอยนานอีกอย่างน้อยสองเดือน คนจัดการรับเรื่องนัดหมายพยายามแจกแจงให้เห็นความจำเป็นของการคอย เพราะคนป่วยอันเนื่องมาจากฟัน มีเป็นจำนวนมาก เหมือนกับต่างคนต่างรู้ช่องทางทำฟันราคาถูก “ไปคลีนิกไม่ต้องนัดนานเป็นเดือนนะลูก” ป้าคนนั่งกุมแก้มขวาบวมเป่ง ผมถามป้าว่ามาทำอะไร “ถอนฟัน” .. ห่างออกไปราวสิบห้าเมตร มือเหล็กยักษ์กำลังขุดคุ้ยโคนรากไม้ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มตลอดเวลา เส้นเชือกขีดคั่นปักแดนล้อมเอาไว้ แต่แค่บอกอาณาบริเวณห้ามคนผ่านเข้าไปเท่านั้น คนเดินผ่านไปมาก็ยังต้องหันไปมองมัน…
ชนกลุ่มน้อย
พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย “เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร “ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง “สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง…
ชนกลุ่มน้อย
คุณไปยืนอยู่ใต้ต้นพลัมตอนย่ำค่ำ มันขึ้นปะปนอยู่กับป่าผลไม้อื่นๆ อย่างพลับ ท้อ บ้วย สาลี่ อโวคาโด ขนุน กล้วย นับรวมหลายสิบชนิด เพียงต่อพลัมกำลังให้ลูกสุกเต็มต้น เช้าวันต่อมา คุณกลายร่างเป็นนกป่าเข้าสวนตั้งแต่เช้า ดวงอาทิตย์สว่างมาจากแนวป่าสนลอดผ่านพุ่มใบไม้เป็นลำแสงสีเงินสีทอง งามสงบจนคุณไม่อยากจะเดินย่างไปไหน   แต่นกหิวลืมตัว ปลิดเข้าปากกินสดๆ อย่างไม่รู้จักอิ่ม “ลูกนี้สุกแล้ว ลองดูๆพันธุ์ลูกแดง พันธุ์ลูกเหลืองก็มี เดินไปดูต้นโน้น” เจ้าของสวนชวนชิม “กินเลยๆ ปล่อยให้มันร่วงไปอย่างนั้น นกมานกก็กินกัน”
ชนกลุ่มน้อย
ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น “ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง “หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน…
ชนกลุ่มน้อย
31 สิงหาคม 2540 13.30 น. ไกลลิบ ถนนโค้งพุ่งผิดรูปหายไปในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ คนหนึ่งเหมือนหลักกิโลเมตรเคลือบสีดำ เห็นมาแต่ไกล เพียงแต่เสาหินเคลื่อนที่ได้ ช้าเหมือนมด พอรถวิ่งไปใกล้ จึงเห็นผืนผ้าขาวเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกดำ เคียงคู่ไปกับเสาหิน เหมือนไม่รู้สุขรู้เศร้า เสาหินสวมหมวกเก่าๆ รองเท้ายางหุ้มส้น ในใจผมคิดว่า แกคงเดินเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง พอรถแล่นผ่านตัวแก โค้งถนนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ความจริงก็ปรากฏ ขบวนแห่ศพ!!.. รถผมเชื่องช้าเป็นไส้เดือน เหมือนว่าล้อรถหุ้มด้วยหนังงูเหลือม ลมตีเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่ใช่ลมดอกไม้สด แต่เป็นลมมีกลิ่นธูป…
ชนกลุ่มน้อย
30 สิงหาคม 254008.35 น. รถจิ๊ปสีดำส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน เสียงนั้นเพิ่งกลับมาจากทำงาน เธออดนอนมาค่อนคืน ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น เสียงเหล็กปะทะของแข็ง ผมผละจากหน้าเครื่องพิมพ์ดีดโอ เสาบ้าน กันชนแตกเป็นรอยร้าวเธอมองหน้าผม ผมพยายามจะเข้าใจ “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าชีวิตจริงจะมีกันชนหรือไม่ก็ตาม”หนังสือ “ลมหายใจสงคราม” ของอา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังวางอยู่บนโต๊ะ ผมเปิดอ่านอีกครั้ง “..ผมเสียใจ! ระยำ! ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้บ่อยนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแนะนำให้คุณเข้าป่า ในป่ามันก็มีสงครามระหว่างแมลงกับใบไม้ และดอกไม้เป็นพิเศษ บัดซบ! คุณไม่รักสงคราม แต่คุณก็ไม่เกลียดมัน คุณกลัวมันเท่านั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปในโพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดินผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ…
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้ คนทุกคนจะเป็นพี่น้องกัน” ถึงเวลาหยิบปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ สะตอใส่กล่องลังเสียที ช่วงเวลาตากอากาศบ้านเกิดหมดลงอีกครั้ง ผมได้ย้อนกลับไปบนเส้นทางเก่าๆที่เคยไป สถานที่ที่ข้องเกี่ยวกับวัยเด็ก คนที่ผูกพันใจ รวมไปถึงพืชพันธุ์ต้นไม้ที่อยู่ในใจ กลับไปสู่ต้นสายปลายเหตุของตัวเอง และเดินทางต่อไป อย่างที่บอกแต่ต้น ผมพกหนังสือไปหลายเล่ม แต่ไม่ได้อ่านครบทุกเล่ม อย่างเล่ม แผ่นดินอื่น รวมเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเปิดอ่านผ่านๆอีกรอบ แต่ผมก็มีโอกาสไปเดิน บนถนนโคลีเซียม เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขา วันเวลาได้กลืนกินฉากเก่าๆไปแทบหมดสิ้น…
ชนกลุ่มน้อย
 ยืนอยู่บนท่าเรือปากพะยูน  มองเห็นเกาะสี่เกาะห้าที่อยู่ของรังนกนางแอ่นชัดเจน  ราวกับภาพวาดในม่านฝน  เบลอๆหมองๆ มองได้นานๆ  ผมกลับบ้านทุกครั้ง  ต้องไปให้ถึง ณ จุดนั้นให้ได้  ที่ซึ่งระเบียงยื่นออกไปในน้ำ   ยังมีร้านกาแฟ  ชาผงชงถุงแบบโบราณ  โต๊ะเก้าอี้ตั้งวางแบบเปิดโล่ง  ตกเย็นถุงกาแฟบนรถเข็นยกขึ้นลงไม่ขาดมือ  ชงหวานชงขม  ใส่นมข้นหวาน  น้ำตาลกับโกปี้  โต๊ะต่อโต๊ะ  เก้าอี้ต่อเก้าอี้ตั้งพื้นไม่มีหลังคา  รับลมพัดมาแรงๆ  มองออกไปยังเห็นพื้นน้ำเขียวกว้าง  …