ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปในโพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง
วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
ผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ ในบริเวณนั้น
เรื่องของเรื่องน่าจะอยู่ที่หุบลมแรง ผมอยากจะเข้าไปยืนอยู่ ณ ใจกลางของหุบลม ที่ว่ากันว่ามีลมพัดแรงทุกๆห้านาที เราจะสัมผัสได้ถึงเกลียวลมหมุนราวกับใบพัดมหึมาพัดผ่านมาทางนี้ พัดทั้งวันทั้งคืน พัดจนคนปลูกข้าวห่วงต้นข้าวจะไม่ตั้งท้อง และพัดจนเจ้าของเถียงนาต้องซ่อมหลังคาบ่อยๆ
ปากต่อปากบอกต่อกันว่า หลังคาเถียงนาใครปลิวไปอีกแล้ว เป็นเรื่องเกิดขึ้นปกติธรรมดา จนกลายเป็นสิ่งคุ้นเคย
อีกไม่นานเถียงนาจะถูกซ่อมแซม สร้างใหม่ขึ้นมาเหมือนเดิมจนได้ นั่น น่าจะเรียกว่าเป็นหนทางอยู่ร่วมกับลม กลมกลืนกับภูมิประเทศแบบรู้ไปด้วย เข้าใจไปด้วย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
สังคมอยู่ร่วมกับลม แม้จะมากด้วยอุปสรรคและยากลำบาก แต่ใช่ว่าจะเลี่ยงหลีกหลบออกไปพ้นได้ เพราะยังต้องอยู่กับที่ทำกินแห่งนั้น
วันแดดแรง เห็นเทือกเขาอินทนนท์สูงตระหง่านเป็นปราการขอบฟ้าอย่างชัดเจน และดูเหมือนจะขยับมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม มีเพียงส่วนยอดเท่านั้นที่กลุ่มก้อนเมฆยังครอบครองเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
หุบลมแรง เป็นเสียงลมหายใจของเทือกอินทนนท์ก็ว่าได้ คนนำทางบอกว่าลมหมุนวนในหุบหลังภูเขาใหญ่ พัดมาลงจังหวะสัดส่วนพอดิบพอดีตรงหุบลมแรง ชาวบ้านต่างรู้ว่าเป็นเกรียวลมหมุนวน เป็นลมหายใจเข้าออกของอินทนนท์ พัดพายมาถึงหุบลมแรง
หรือจะเรียกว่าหุบลมแรง เป็นรูโพรงจมูกของยอดอินทนนท์ก็ได้
ทางดินแคบๆที่ไต่ความสูงคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ผ่านนูนเนินรากไม้ ขอนไม้ล้มทับทาง ผ่านป่าสนสามใบสองใบขนาดโอบรอบก็มี หรือป่าสนหนุ่มก็มี ลมหมุนพัดโชกมาครั้งหนึ่ง เสียงหวีดใบสนก็ดังเหมือนเสียงน้ำตก หวีดเสียงไปทั่วอาณาบริเวณ
มองผ่านไปยังเนินเขาอีกลูกหนึ่ง ราวกับเนินเขาป่าแคระ ไม่เพียงแต่รูปทรงต้นไม้ที่ไหวเอนไปทางเดียวเท่านั้น แต่ป่าทั้งป่ายังดูแก่แคระแกร็น แข็งแรงเป็นมะขามข้อเดียว อย่างกับป่าของคนแคระ พิจารณาดูกิ่งก้าน ก็หงิกงอเต็มไปด้วยข้อต่อ ยื่นออกไปราวกับนิ้วมือพิกลพิการ
ไม้ทุกต้นในบริเวณนั้นเป็นเหมือนกันหมด
“ลมหมุนพัดแรงทั้งปี พัดจนต้นไม้หันหน้าไปทางเดียวกัน” คนนำทางบอก หรือจะเรียกว่าเป็นเส้นขนในโพรงจมูกอินทนนท์ก็ได้ ช่างเป็นเนินเขาที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง
เถียงนาลุงเหน่วออยู่ลึกเข้าไปในก้นหุบรูปกรวย หลังคามุงใบตองตึงมีรูโหว่ใหญ่เปิดโล่ง เป็นเถียงนาที่ปูพื้นไม้ไผ่ ดูไม่ต่างไปจากเพิงดีๆนี่เอง หลังเถียงนาเป็นป่าทึบ เห็นยอดสนแซมปนอยู่ด้วย
ลมวนรอบหมุนผ่านมาอีกแล้ว เสียงใบสนหวีดหวิวผ่านอากาศกังวานไปทั่วอาณาบริเวณ คนนำทางบอกว่าบริเวณนี้รับแรงปะทะจากลมหมุนเต็มๆ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ได้ยินแต่เสียงลมพัดผ่านป่า พัดแรงไล่มาเป็นระลอกๆ
ลุงเหน่วออยู่ในเถียงนาตามลำพัง คนนำทางบอกว่า ลุงเหน่วอเพิ่งกลับมายังทางเส้นนี้เมื่อไม่นาน มานั่งเถียงนาได้นานๆ ก็ไม่นาน ลุงหายไปจากเถียงนานานหลายเดือน ราวกับคาดหวังว่าลมหมุนพัดแรงจะผ่านไปชั่วนิรันดร์
บางอย่างจุกแน่นอยู่ในลำคอผม เมื่อรู้ความจริงว่า ลุงเหน่วอเพิ่งสูญเสียลูกชายวัยหนุ่มไปในป่าหลังเถียงนาเมื่อห้าเดือนก่อนนี้เอง
“ปืน” ลุงเหน่วอพูดแล้วหลบหน้าหลบตา
ลูกชายลุงเหน่วอหายไปจากบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปทิศทางไหน หรือหลบไปพักค้างคืนที่ไหน ลุงเหน่วอไปพบศพลูกชายในป่าหลังเถียงนา เสียงร้องไห้ในเสียงสนเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น หมุนวนอยู่ในลมหายใจเข้าออกของคนเป็นพ่อ