Skip to main content


เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ

อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ


อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา

เธอต้องลงไปดู

ไม่

แต่พี่เห็นมัน

มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี หรือไม่มันก็ควรกลับนรกไปเสียที

ในหูผมได้ยินแต่เสียงร้องของมัน

ผมผลักประตูหลังบ้านออกไปอย่างแรง


ผมไม่อยากนับเลยว่าบ้านหลังที่อยู่ในปัจจุบันนี้ นับเป็นหลังที่เท่าไหร่ ทุกหลังล้วนเป็นบ้านของคนอื่น บ้านแต่ละหลังมีเรื่องสยองพองขนแตกต่างกันไป บ้านหลังที่เคยอยู่ ผมอยากลืม ประตู หน้าต่าง หลังคา ที่นอน เปล ตุ๊กแก ต้นอโศก ต้นเสี้ยว มะลิเครือ ฯลฯ มันแตกหักไปพร้อมๆ กัน


ผมมาพบบ้านหลังนี้ตามคำแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกแต่เพียงว่า เป็นบ้านสองชั้น กึ่งปูนกึ่งไม้ กว้างขวาง มีที่โล่งรอบบ้านให้ปลูกอะไรอย่างที่ผมชอบปลูกได้สบายๆที่สำคัญนั้นราคาค่าเช่าไม่แพง เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่นๆแถบชานเมือง


เจ้าของบ้านล่ะ ผมถาม

เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ปลดเกษียณ แกไม่มายุ่งหรอก แกมีบ้านหลายหลัง คงไม่อยากให้บ้านร้าง

จริงเหมือนเพื่อนว่า แกไม่มาข้องแวะนำความรำคาญมาให้เลย แต่เพื่อนยังแหย่เล่นว่า ขอเพียงมีเงินให้แกทุกเดือน แกจะเป็นคนดีมากๆ


รู้ได้ไง ผมถาม

เพื่อนบ้านกัน รั้วติดกัน ตอนที่คนงานของแกมาตัดหญ้าในบริเวณบ้าน แล้วก้อนหินเกิดปลิวมาโดนกระจกหน้าต่างแตก จนแกต้องออกเดินมาดู พร้อมกับจ่ายค่าเสียหายให้พอราคาเปลี่ยนใหม่ แถมด้วยคำเชิญชวนให้ตัดกิ่งไม้ที่ระอยู่ริมรั้วด้วยกัน ตอนนี้เองที่แกบอกว่าบ้านหลังหนึ่งยังว่างรอให้คนเช่า


คนมาอยู่ก่อนเป็นใคร?

แม่หม้ายลูกหนึ่ง เพื่อนผมตอบ แต่อยู่ไม่กี่เดือนก็ออกไป เขาไม่มีค่าเช่าส่งให้ทันรายเดือน

ผมลำบากใจอย่างที่สุดกับความใหญ่โตของบ้าน


คืนแรกที่ผมเข้ามานอนบ้านหลังนี้ ผมนอนไม่หลับ ผมได้ยินเสียงนกป่วยร้องดังทั้งคืน บางทีก็มีกลิ่นขี้นกโชยมา ผมนึกว่ากำลังท่องอยู่ในฝัน กระทั่งตื่นเช้าขึ้นมาพบว่า มีไก่ฮวงมายืนสะบัดปีกอยู่บนรั้ว 5 ตัว มันมองหน้าเฉย ไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ ซ้ำยังชะโงกหน้าขวาทีซ้ายที ทำเป็นคุ้นเคย ผมเห็นแล้วเกิดความรู้สึกไม่ชอบมันทันที


เริ่มด้วยการไล่มันก่อน จากนั้นก็เป็นก้อนหิน ค่อยๆ เพิ่มขนาดก้อนหินให้โตขึ้นๆ

มันหายไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ กระทั่งเย็นวันหนึ่ง ผมได้ยินมันวิ่งพล่านอยู่ในรั้วบ้าน ส่งเสียงร้องอย่างกับบาดเจ็บ ผมยืนมองมันอย่างมุ่งร้าย มันคงดิ้นรนอยากจะกลับไปนอนกรง


ขณะที่ผมกำลังคิดตัดสินใจบางอย่างอยู่นั่นเอง เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้นหน้าบ้าน แล้วมีเสียงเรียก

คุณ คุณอยู่มั้ย คุณ… เสียงนั้นดังซ้ำๆ

ผมเดินไปหา เขารีบพูดสวนกลับมา ไก่ฮวงติดอยู่ในบ้านคุณ ผมขอเข้าไปหน่อย ผมรีบบอกให้เขาเข้ามา

เขาบ่นถึงไก่ฮวงอีกหลายคำ เขาเป็นคนร่างผอมสูง มีขนดกตามแขน ผิวคล้ำ ใส่แว่นตา แต่ดวงตาข้างหนึ่งเหมือนบรรจุไว้ด้วยสำลี เขาบ่นแล้วบ่นอีกถึงความดื้อรั้นของพวกมัน

รู้ว่าบินสูงไม่ได้ ยังอยากจะบิน

กี่เดือนครับ ตัวขนาดนี้

เกือบปี

เลี้ยงยากมั๊ย ผมรู้ตัวว่าถามไปงั้นๆ

ไม่ยาก เหมือนไก่เลี้ยงตามบ้านทั่วๆ ไป กินยอดไม้ยอดหญ้า กินแมง ไส้เดือน มันกินทุกอย่างแหละ เขานิยมกินกัน เขาว่าเนื้อแน่นเนื้ออร่อย

ต้องทำกรงให้มันด้วยหรือ


ใช่

นับแต่วันนั้น อย่างกับว่าพวกมันถูกล้างสมองจนราบคาบ หรือไม่ก็ถูกลงโทษด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ซึ่งทำให้พวกมันหลาบจำ ไม่มีไก่ฮวงมาเดินเพ่นพ่านตามรั้วบ้านอีกเลย ผมสงสัยวิธีการของเขามาก แต่ไม่กล้าถาม ได้แต่ชะเง้อมองข้ามรั้ว ใช่จริงๆ มันคงอยู่ในคอกกรงตลอดเวลา เสียงร้องกับกลิ่นของมันเท่านั้น โชยมากับลมให้ชวนอึดอัด น่ารำคาญ ที่สำคัญคือมันร้องอยู่ทั้งวันทั้งคืน อย่างกับมันจะรู้ว่าจะถูกจับถอนปีกถอนขนนำขึ้นเขียงในวันพรุ่ง


ผมนั่งอยู่ดึกๆ ดื่นๆ ทุกคืน ผมนอนหลับยาก ผมพยายามจะคิดว่าเสียงร้องที่ดังอยู่นอกประตูหน้าต่างนั้น เป็นเสียงไก่ฮวงที่เขาเลี้ยง ไม่น่าขลาดกลัวแต่อย่างใดหรอก แต่ผมเชื่อตามใจรู้สึกเพียงชั่วครู่เท่านั้น


เมื่อไหร่หนอ นกป่วยพวกนี้จะบินไปพ้นๆ

อย่าหวัง

เขาทนฟังพวกมันร้องได้ไง

เรื่องการผลิตซ้ำ

ถ้าไม่ได้ยินเสียงพวกมันเสียบ้าง บ้านหลังนี้คงเป็นสวรรค์

เรามาทีหลัง ทนๆ ไปเถอะ บ้านหลังดีๆ หลังโตๆ ราคาถูกๆ หาได้ง่ายเสียเมื่อไหร่

ถ้ามันยกฝูงมาจิกตีล่ะ


พี่คิดมากไป มันไม่ใช่นกผีที่ตามหลอกหลอนผู้คน

พี่กลัวมัน

มันผ่านไปแล้ว มันเป็นชะตากรรมของเรา

ฟังดูดีๆ สิ ไม่ใช่เสียงคนแก่ป่วยบ่นพึมพำหรือ

พี่อย่าคิดมาก

ไม่รู้ แต่พี่ไม่เชื่อมันหรอก พี่ต้องออกไปไล่พวกมันให้ไปพ้นๆ บ้านหลังนี้

พี่นอนเถอะ พี่นอน…


ต้นไทรลายที่ระก้านกิ่งใบอยู่ริมขอบหลังคาก็เช่นกัน ผมไม่ชอบมันเลย ใครนะเคยพูดว่า ไม้ใหญ่อยู่ในบ้านนำความเศร้าขรึมวังเวงมาให้ ความร่มรื่นในร่มเงาเป็นเพียงชั่วครู่ที่ผ่านเร็ว แต่มนต์ดำในรสเศร้าต่างหาก ไม่ยอมห่างไปไหนไกลๆ


มันอยู่ของมันมาก่อน เรามาทีหลัง

เธอพูดอยู่แค่นั้นเหรอ

เช้าวันหนึ่ง ผมไม่รีรอจะหยิบมีดของหมอผีกะเหรี่ยง เดินออกไปตัดกิ่งไทรลาย ทีละกิ่งๆ ที่หล่นลงมากองบนพื้น ผมรู้สึกเหมือนกำลังตัดเนื้อเยื่ออวัยวะบางอย่าง ยางสีขาวไหลย้อยเป็นทาง ช่างน่าแปลก ในลำตันของมันเป็นสีขาว


ตั้งแต่วันนั้น ผมไม่ไปยุ่งมันอีกเลย ปล่อยให้มันงอกงามขึ้นไปอย่างนั้น


แต่แล้วในดึกคืนหนึ่ง กิ่งทุกกิ่งกลับมีเลือดแดงๆไหลออกมา ผมพยายามวิ่งหาเศษผ้ามาผูกมัดร้อยเอาไว้ แต่ไม่เป็นผล รอบๆ โคนต้นเริ่มแดงฉาน เหมือนรอยบาดแผลเกิดรั่ว แพะสี่ห้าตัวมีสีดำกับสีขาวมาจากไหนไม่รู้ ดื่มเลือดแดงๆ อย่างหิวกระหาย มันมองหน้าผม มองจ้อง มุ่งร้ายอาฆาตพยาบาท เตรียมจะวิ่งชนในอีกชั่วอึดใจข้างหน้า


จริงๆ ด้วย แพะทั้งฝูงกระโจนพุ่งเข้ามาเต็มอกผม ผมทรุดลงกองกับพื้น เห็นแต่น้ำสีขาวๆ ไหลยืดเป็นยางไม้ ค่อยๆ ห่อหุ้มตัวผมไว้ ผมอยู่ในเสื้อตัวใหม่ที่เหนียวเหนอะ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวแข็งเป็นหิน ในชั่วพริบตานั้นเอง อีแร้งตัวใหญ่มากขนาดก้อนหินนับพันตัน มันมองจ้องผมอย่างกับพบเหยื่อที่ไม่อาจหนีเอาตัวรอด



บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ห้องครัวซ้อมดนตรี ถึงเพลงบันนังสตา บ้านเช่าบ้านไม้เป็นบ้านชาวนาในหมู่บ้านแม่เหียะ ชานเมืองเชียงใหม่   ห้องครัวคือห้องทำงาน  ห้องนอนบางเวลา  ห้องซ้อมดนตรี   ห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก 
ชนกลุ่มน้อย
ประชาชน  สัตว์เลี้ยงของแวมไพร์
ชนกลุ่มน้อย
สองทุ่ม   อังคารที่ 16 มีนาคม  2553   นักดนตรีในเชียงใหม่  และคนในแวดวงหนังสือ ศิลปะ  นัดรวมตัวกันที่ร้านสุดสะแนน  ร่วมรำลึกถึงการจากไปของ ”จ่าเพียร”(พ.ต.อ สมเพียร เอกสมญา) วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด  ด้วยสายสัมพันธ์กับไวล์ดซี๊ด (ชุมพล  เอกสมญา) ลูกชายจ่าเพียรที่ผ่านมาเล่นดนตรีในเชียงใหม่อยู่เสมอๆ   เยียวยาจิตใจเมล็ดเถื่อนจากบันนังสตา  ร่วมรำลึก ...   
ชนกลุ่มน้อย
ขอต่อยาวสาวความยืดถึงน้ามาดบางมุมดูหน้าดุ เวลาเดินเหมือนนุ่นลอยอีกหน่อย อย่างที่บอกไว้ บุรุษไร้นาม(และหนาม)ตามใจคนนี้ อย่าให้นั่งหน้าทับหน้าหนังกลองแล้วกัน ความจืดของหน้าจะถูกขับออกมาอย่างเผ็ดร้อน ไม่เรียบเฉยปล่อยวางอีกแล้ว บางด้านดูดุเทียบได้ใบหน้าเสือจ้องขบ กลับเกลี่ยเสียใหม่ เป็นเสียงทะลวงไส้พุงเร้าใจผิดหน้าผิดหูผิดตาไปทันที
ชนกลุ่มน้อย
  “เลสาปหน้าร้อนเปื่อยหมดแล้ว” ประโยคนี้ถ้าเขียนใหม่ตามภาษาบรรพบุรุษของใต้สวรรค์ ต้องบอกว่า เลสาปหน้าร้อนเปื่อยแผล็ดๆ เหตุที่เปื่อยเห็นด้วยตา ถ้าพูดผ่านปากของบ่าวทอง ต้องเริ่มต้นว่า“ที่จริง”เช่นเคย “ที่จริงมันไม่เปื่อยหร็อก ที่มันเปื่อยเพราะเลกลายเป็นโคลน เปื่อยแผล็ดๆไปทั้งเล” …
ชนกลุ่มน้อย
  สวรรค์ปักษ์ใต้มีสะตอกับลูกเนียงรวมอยู่ด้วย หรอยที่สุดต้องเหนาะ(จิ้ม)กับน้ำชุบ(น้ำพริก-ต้องกะปิเท่านั้น) หรือกินกับแกงคั่ว คั่วกะทิหรือแกงคั่วเผ็ดไม่กะทิ เผ็ดร้อนไม่แพ้ขาดเหลือกันนัก ไม่มีใครบอกว่าพริกพัทลุงหรือพริกนครศรีธรรมราช เผ็ดแรงร้อนกว่ากัน...
ชนกลุ่มน้อย
นักดนตรีกลุ่มนี้ขับเคลื่อนด้วยความรัญจวนจากฤดูความว่างของชีวิต ออกไปเล่นดนตรีบรรเลงชีวิตร่วมกัน หรือจะพูดอีกที การมาถึงของพวกเขาใต้สวรรค์ ไม่ต่างจากฝูงปลาดุกหนีน้ำแถกเหงือกมาหากันในช่วงหน้าแล้ง หนวดยั้วคลุกนัวกันมาบนโคลนเปียกๆ เหนียวเหนอะไปยังถิ่นที่คาดว่าจะมีน้ำ สีผิวฝูงปลาดุกเลื่อมมันน่าเกรงขาม
ชนกลุ่มน้อย
คำ  สุวิชานนท์ รัตนภิมล และคำของอา' รงค์ ทำนอง  สุวิชานนท์  รัตนภิมล
ชนกลุ่มน้อย
ลมบาดหิน ของอา… “ผู้ชายคนนั้นกับผู้หญิงของเขาตัดสินใจแรมคืนในกระโจม(เต็นท์) เขาพบว่าการเสียบก้านปลั๊กตัวผู้ลงในรูปลั๊กตัวเมียเพื่อต้มน้ำกับกาไฟฟ้านั้นเป็นความสะดวกสบายของคนในทาวน์เฮาส์ที่กรุงเทพฯ และอย่างน่าอิจฉา แต่การมองหาก้อนหินนำมาวางเป็นก้อนเส้า กิ่งไม้ง่ามปักกับดินแล้วพาดราวแขวนหม้อและริ้วชิ้นวัวฝานหมักเกลือ ก่อกองไฟและต้มกาแฟ นี้เป็นบางแบบของชีวิตซึ่งผู้ชายควรเรียนรู้...”
ชนกลุ่มน้อย
พอออกมาจากห้องฝึกเรียนไวโอลินกลางเมืองเชียงใหม่  ผมบอกเจ้า 9 ขวบว่าไปเยี่ยมคุณลุงหน่อยนะ   เจ้าเก้าขวบถามทันทีที่ไหน  ผมตอบกลับวัดเจดีย์หลวง  ไปทำอะไรเหรอ เขาสงสัย  อยากไปเยี่ยม พ่อไม่ได้เข้าไปนานแล้ว
ชนกลุ่มน้อย
  ในห้องทำงาน โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ไม้ไม่เหมือนวันก่อน หนังสือเล่มใหม่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเล่มมาวาง ชั้นหนังสือเรียงตามกัน โน้ตสั้นๆ เขียนถึงเวลานัดหมาย เวลาส่งงาน หมายเลขโทรศัพท์ ม้านั่งไม้ไว้นอนเอกเขนก โคมไฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะกลม กีตาร์ กล้องถ่ายรูป รูปภาพบนผนัง ...
ชนกลุ่มน้อย
  ในชีวิต ณ ปัจจุบัน ผมไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาข้องเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชื่อ ไวโอลิน และยิ่งไม่เคยนึกว่าวันหนึ่ง จะมีไวโอลินมานอนอยู่ในห้อง ตั้งวางอยู่ข้างตัว รวมถึงได้ยินมันส่งเสียงทุกวันตอนย่ำค่ำ