Skip to main content

 

 

โลกของเขาช่างแตกต่างจากคนอื่น ยากจะถามหาเหตุผลด้วยซ้ำว่า ผลน้ำเต้าแก่แกะเม็ดในออกไป เอามารวมกับลำไม้ไผ่เล็กๆ เปิดรูตามปล้อง กลายเป็นเครื่องดนตรีที่เรียกว่า “ฟูหลู” หรือแคนน้ำเต้าได้อย่างไร และสิ่งนั้นนำพาเรื่องใดมาสู่ตัวเขาบ้าง


เขากำลังเต้นรำอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น


เย็นย่ำใกล้ค่ำเต็มที แต่มวลเมฆฝนกำลังไหลผ่านหินภูผา หรือจะบอกว่าภูผาปะทะเมฆเข้าอย่างจัง ลีลาภูผาปะทะเมฆอ่อนช้อยนุ่มนวล เคลื่อนไหลเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น นาทีต่อไปอาจมีฝนได้ ครึ้มหม่นมัวซัวไปทุกทิศทุกทาง

มาช้าไปนิดเดียว แดดเพิ่งจากไปเมื่อกี้” เจ้าของระเบียงที่พักพูดทักทาย “พักค้างคืนมั้ย ตอนเช้าๆจะเห็นหมอกปกคลุมเต็มทั้งหุบเหว”


ชีวิตที่อยู่ใกล้ธรรมชาติหรือเป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติ การเฝ้าสังเกตและนำมาอธิบายจึงเต็มไปด้วยคำเชิญชวนอันมีเสน่ห์น่าหลงใหล

ทุกคนจึงลงความเห็นว่า กำลังยืนอยู่บนดินแดนของความงาม

 


ไม่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะได้รับการตราหน้าจากใครกลุ่มไหนก็ตาม ว่าเคยมีพฤติกรรมปลูกฝิ่น ทำไร่ฝิ่น ขนยาฝิ่น ตัดต้นไม้ทำลายป่าเป็นบริเวณกว้าง ขนาดต้องขอร้องไหว้วอนให้เหลือพื้นที่ป่าไว้


แต่สิ่งที่สัมผัสได้ผ่านแววตาของเขา ก็ยังฉายความซื่อใส เต็มด้วยมิตรไมตรี คนเหล่านี้ไม่มีญาติอยู่ในเมืองใหญ่ หรือต่างจังหวัดใดๆ สายเลือดพวกเขาหมุนวนอยู่ตามป่าเขา เดินทางหากันตามหุบห้วย ถามหากันจากซอกภูเขาที่ซ้อนยอดต่อยอด


ดูไปแล้วพวกเขาก็ไม่ต่างจากต้นไม้ในป่าต้นหนึ่ง สัตว์ป่าตัวหนึ่ง แมลงปอตัวหนึ่ง ผีเสื้อตัวหนึ่ง หรือฝูงแมงฝูงมดที่จับกลุ่มอยู่รวมกัน ยิ่งมองยิ่งพบกับความแตกต่าง พวกเขาเป็นคนของแผ่นดินภูเขาจริงๆ


หน้าผาสูงชันอย่างนั้น ต้นไม้ก็ยังพยายามจะเสียดยอดงอกงามขึ้น แทรกตัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก พบกับลมพัดแรง ดินถล่ม ไฟไหม้ป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกมันก็โตกันมาได้” เสียงพูดเชื่อมโยงชีวิตในธรรมชาติจากคนร่วมเดินทาง


พวกเขาก็ไม่ต่างกัน ยังพยายามจะมีชีวิตอยู่
เขาเป็นเผ่าลีซู โดยดวงตาและท่าทาง เขาไม่น่าจะถูกนับเป็นผู้สูงอายุ แต่ก็นับเป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้านได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ


หมู่บ้านของเขาตั้งอยู่บนไหล่เขาอีกฟากของยอดดอยหลวงเชียงดาว หน้าผาชันที่ซ่อนทางเดินขึ้นไปยังยอดหน้าผาไว้อย่างเงียบงัน


ระหว่างทางถนนที่มุ่งไปสู่ชายแดน บนเส้นทางที่นักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น ต่างใฝ่ฝันถึงเส้นทางป่า ความเงียบเปลี่ยวของพื้นที่ และหุบเหวของความแปลกหน้าที่เก็บซ่อนมรดกดั้งเดิมเอาไว้ด้วย


เขตแดนโลกสมัยใหม่พยายามรุกล้ำเข้ามา พร้อมกับจับยัดภาพปรากฏในนามผู้บุกป่าปลูกพืชผักเชิงเดี่ยว ใช้สารเคมีเข้มข้น ยานพาหนะรถกระบะขับเข้าป่าดงดอยด้วยใบสั่งซื้อ อีกทั้งข้องแวะกับไร่ฝิ่นยาเสพติด สายตาจากโลกข้างนอก มองพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนเป็นอื่นเลยในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา


แต่บ่อยครั้งเหลือเกิน เสียงดนตรี เสียงเพลงในมือเขาสะกดใจคนให้ลุ่มหลง ราวกับโดนมนต์สะกด

ฟูหลู” เขาตอบทันทีที่มีคำถามว่ามันมีชื่อเรียกอย่างไร


แรกเริ่มมันดังอยู่ในบ้านหลังที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาลาดต่ำลงไป เป็นเสียงอื่นไปไม่ได้ เสียงดังออกหลอนๆในเย็นย่ำแสงหลบห่างออกไปทุกที ราวกับภูติออกมาเต้นรำอยู่ในมุมมืดๆ คนที่คุ้นเคยกับเสียงเพลงเสียงดนตรี คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นเสียงดนตรีของพวกเขา


เขาเดินตรงมายังระเบียงชมวิว ในมือมีฟูหลูติดมือมาด้วย

 



ท่วงทำนองเพลงเผ่าลีซู ลายเพลงที่พบเห็นได้ในถิ่นเช่นนี้ หลบๆซุกๆอยู่ตามบ้าน นานๆจะออกมาส่งเสียงสักครั้งหนึ่ง ในงานพิธีกรรมขึ้นในหมู่บ้านเท่านั้น นอกเหนือเสียงของความรื่นเริงรวมหมู่ ก็เป็นเสียงเพลงของการเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษ


สอนลูกๆหลานๆด้วยมั้ย” คำถามมุ่งอยากรู้หาผู้สืบทอดเสียงนั้น

เด็กๆไม่มีใครเป่าแล้ว”…

จังหวะของมันดังมาจากอก กระเพื่อมมาจากหัวใจ


บางเสียงบีบเค้นให้แหบโหย ขณะบางเสียงบีบบี้จนเสียงแตกอย่างกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ แต่ละเสียงดังลอดรูไม้ไผ่ กังวานไพเราะจับใจเหลือเกิน  


ใครคนหนึ่งพูดว่า “นึกถึงกลิ่นควันไฟกับเหล้าเข้มๆ”

 

 


เขาบอกว่ามีไผ่ชนิดเดียวเท่านั้น นำมาทำฟูหลู มีอยู่ไม่มากในป่า ขึ้นบริเวณที่ชื้นริมลำห้วย ต้องออกเดินเข้าไปในป่าไกลๆ ตัดแล้วตั้งวางตากแดดไว้ราวครึ่งเดือน จึงจะเอามาทำฟูหลูได้ ท่าเต้นรำกับเสียงแคนราวกับอุปรากรที่ร่ายรำอยู่ในความมืดสลัว ในแดนดงลับแลอันห่างไกล

 

************************


ตีพิมพ์ครั้งแรก เสาร์สวัสดี นสพ.กรุงเทพธุรกิจรายวัน(เสาร์) ฉบับที่ 541 3 ตุลาคม 2552 คอลัมน์ คนคือการเดินทาง ในชื่อเรื่อง “ฟูหลู” หลังภูเขาใหญ่มีฉากเต้นรำ

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา เธอต้องลงไปดู ไม่ แต่พี่เห็นมัน มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี…
ชนกลุ่มน้อย
ด็อกเตอร์สมบัติ เครือทอง ครูการเขียนคนแรกของผม ย้ายจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก นานหลายปีมาแล้ว แต่ผมได้พบครูสอนเขียนเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น วันที่ครูมาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ผมไม่พลาดโอกาสที่จะพบหน้าครูให้ได้ เราพบกันในร้านกาแฟบนถนนนิมนานเหมินทร์ ย่านร้านรวงธุรกิจบริการกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จัดแต่งร้านพร้อมนำเสนอเครื่องดื่มชวนดื่มชิมรส รมณียสถานคราคร่ำด้วยผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน พบกันคราวนี้ ผมมีเรื่องเก่าย้อนถาม “จดหมายจากสวนยางถึงสวนลุกซองบูร์ยังมีอยู่มั้ยครับ…
ชนกลุ่มน้อย
เปิดตัวหนังสืออีกแล้วหรือพี่..!??!” เครื่องหมายประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ประมาณว่าไม่เข็ดหลาบจำเสียทีนะพี่ หนังสือเล่มไหนเล่มใหม่หรือพี่ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย “นั่นสิ มันหลบอยู่ตรงไหน กลายเป็นของหายากไปได้อย่างไร หลบหน้าหลบตาคนอ่าน” ทีเล่นหรือทีจริงก็ตาม สุดท้ายผมก็บอกไปว่า สงสัยแผงเขาไม่ว่างวางของหนัก หรือไม่ก็เขาเก็บออกไปจากแผงเสียแล้วมั้ง แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่า แล้วพี่จะมาเปิดตัวหนังสืออีกทำไม สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานของพี่รวยเหรอ ผมรีบออกตัวว่า เปล่า อาจจะจนก็ได้มั้ง พอศอของข้าวแพงไข่ไก่แพง บนหนทางที่ไม่ได้ปลูกข้าวกินเอง และไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่…
ชนกลุ่มน้อย
ผมไปตามวันเวลาหมอนัดอีกครั้ง หลังจากพลาดนัดครั้งแรก ถ้าผมไม่ไปตรงเวลา ผมจะต้องคอยนานอีกอย่างน้อยสองเดือน คนจัดการรับเรื่องนัดหมายพยายามแจกแจงให้เห็นความจำเป็นของการคอย เพราะคนป่วยอันเนื่องมาจากฟัน มีเป็นจำนวนมาก เหมือนกับต่างคนต่างรู้ช่องทางทำฟันราคาถูก “ไปคลีนิกไม่ต้องนัดนานเป็นเดือนนะลูก” ป้าคนนั่งกุมแก้มขวาบวมเป่ง ผมถามป้าว่ามาทำอะไร “ถอนฟัน” .. ห่างออกไปราวสิบห้าเมตร มือเหล็กยักษ์กำลังขุดคุ้ยโคนรากไม้ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มตลอดเวลา เส้นเชือกขีดคั่นปักแดนล้อมเอาไว้ แต่แค่บอกอาณาบริเวณห้ามคนผ่านเข้าไปเท่านั้น คนเดินผ่านไปมาก็ยังต้องหันไปมองมัน…
ชนกลุ่มน้อย
พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย “เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร “ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง “สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง…
ชนกลุ่มน้อย
คุณไปยืนอยู่ใต้ต้นพลัมตอนย่ำค่ำ มันขึ้นปะปนอยู่กับป่าผลไม้อื่นๆ อย่างพลับ ท้อ บ้วย สาลี่ อโวคาโด ขนุน กล้วย นับรวมหลายสิบชนิด เพียงต่อพลัมกำลังให้ลูกสุกเต็มต้น เช้าวันต่อมา คุณกลายร่างเป็นนกป่าเข้าสวนตั้งแต่เช้า ดวงอาทิตย์สว่างมาจากแนวป่าสนลอดผ่านพุ่มใบไม้เป็นลำแสงสีเงินสีทอง งามสงบจนคุณไม่อยากจะเดินย่างไปไหน   แต่นกหิวลืมตัว ปลิดเข้าปากกินสดๆ อย่างไม่รู้จักอิ่ม “ลูกนี้สุกแล้ว ลองดูๆพันธุ์ลูกแดง พันธุ์ลูกเหลืองก็มี เดินไปดูต้นโน้น” เจ้าของสวนชวนชิม “กินเลยๆ ปล่อยให้มันร่วงไปอย่างนั้น นกมานกก็กินกัน”
ชนกลุ่มน้อย
ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น “ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง “หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน…
ชนกลุ่มน้อย
31 สิงหาคม 2540 13.30 น. ไกลลิบ ถนนโค้งพุ่งผิดรูปหายไปในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ คนหนึ่งเหมือนหลักกิโลเมตรเคลือบสีดำ เห็นมาแต่ไกล เพียงแต่เสาหินเคลื่อนที่ได้ ช้าเหมือนมด พอรถวิ่งไปใกล้ จึงเห็นผืนผ้าขาวเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกดำ เคียงคู่ไปกับเสาหิน เหมือนไม่รู้สุขรู้เศร้า เสาหินสวมหมวกเก่าๆ รองเท้ายางหุ้มส้น ในใจผมคิดว่า แกคงเดินเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง พอรถแล่นผ่านตัวแก โค้งถนนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ความจริงก็ปรากฏ ขบวนแห่ศพ!!.. รถผมเชื่องช้าเป็นไส้เดือน เหมือนว่าล้อรถหุ้มด้วยหนังงูเหลือม ลมตีเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่ใช่ลมดอกไม้สด แต่เป็นลมมีกลิ่นธูป…
ชนกลุ่มน้อย
30 สิงหาคม 254008.35 น. รถจิ๊ปสีดำส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน เสียงนั้นเพิ่งกลับมาจากทำงาน เธออดนอนมาค่อนคืน ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น เสียงเหล็กปะทะของแข็ง ผมผละจากหน้าเครื่องพิมพ์ดีดโอ เสาบ้าน กันชนแตกเป็นรอยร้าวเธอมองหน้าผม ผมพยายามจะเข้าใจ “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าชีวิตจริงจะมีกันชนหรือไม่ก็ตาม”หนังสือ “ลมหายใจสงคราม” ของอา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังวางอยู่บนโต๊ะ ผมเปิดอ่านอีกครั้ง “..ผมเสียใจ! ระยำ! ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้บ่อยนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแนะนำให้คุณเข้าป่า ในป่ามันก็มีสงครามระหว่างแมลงกับใบไม้ และดอกไม้เป็นพิเศษ บัดซบ! คุณไม่รักสงคราม แต่คุณก็ไม่เกลียดมัน คุณกลัวมันเท่านั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปในโพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดินผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ…
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้ คนทุกคนจะเป็นพี่น้องกัน” ถึงเวลาหยิบปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ สะตอใส่กล่องลังเสียที ช่วงเวลาตากอากาศบ้านเกิดหมดลงอีกครั้ง ผมได้ย้อนกลับไปบนเส้นทางเก่าๆที่เคยไป สถานที่ที่ข้องเกี่ยวกับวัยเด็ก คนที่ผูกพันใจ รวมไปถึงพืชพันธุ์ต้นไม้ที่อยู่ในใจ กลับไปสู่ต้นสายปลายเหตุของตัวเอง และเดินทางต่อไป อย่างที่บอกแต่ต้น ผมพกหนังสือไปหลายเล่ม แต่ไม่ได้อ่านครบทุกเล่ม อย่างเล่ม แผ่นดินอื่น รวมเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเปิดอ่านผ่านๆอีกรอบ แต่ผมก็มีโอกาสไปเดิน บนถนนโคลีเซียม เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขา วันเวลาได้กลืนกินฉากเก่าๆไปแทบหมดสิ้น…
ชนกลุ่มน้อย
 ยืนอยู่บนท่าเรือปากพะยูน  มองเห็นเกาะสี่เกาะห้าที่อยู่ของรังนกนางแอ่นชัดเจน  ราวกับภาพวาดในม่านฝน  เบลอๆหมองๆ มองได้นานๆ  ผมกลับบ้านทุกครั้ง  ต้องไปให้ถึง ณ จุดนั้นให้ได้  ที่ซึ่งระเบียงยื่นออกไปในน้ำ   ยังมีร้านกาแฟ  ชาผงชงถุงแบบโบราณ  โต๊ะเก้าอี้ตั้งวางแบบเปิดโล่ง  ตกเย็นถุงกาแฟบนรถเข็นยกขึ้นลงไม่ขาดมือ  ชงหวานชงขม  ใส่นมข้นหวาน  น้ำตาลกับโกปี้  โต๊ะต่อโต๊ะ  เก้าอี้ต่อเก้าอี้ตั้งพื้นไม่มีหลังคา  รับลมพัดมาแรงๆ  มองออกไปยังเห็นพื้นน้ำเขียวกว้าง  …