Skip to main content

 

ในชีวิต ณ ปัจจุบัน ผมไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาข้องเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชื่อ ไวโอลิน และยิ่งไม่เคยนึกว่าวันหนึ่ง จะมีไวโอลินมานอนอยู่ในห้อง ตั้งวางอยู่ข้างตัว รวมถึงได้ยินมันส่งเสียงทุกวันตอนย่ำค่ำ

\\/--break--\>
นิ้วมือของเด็กชายวัย 8 ขวบ กำลังทำความรู้จัก เข้าใจ ฝึกฝนกับอวัยวะใหม่ที่งอกออกมาจากตัวเขา นาทีนั้นผมมองจ้องแทบตาไม่กระพริบ มองสองขาที่ยืนหยัดตั้งฉากกับพื้นโลก คอยดูว่าเขาจะไม่ทิ้งน้ำหนักลงบนขาข้างหนึ่งข้างใดจนเสียสมดุล

 


ดูนิ้วมือขวาจับโบ(คันชัก) ดูนิ้วมือซ้ายจับตำแหน่งบนคอ ดูมิดเดิ่ลโบ ฟล็อกโบ ดูช่วงแขน ดูการดันมือขึ้นไปอย่างมีน้ำหนัก ได้จังหวะ สวยงาม เนื้อเสียงเรียบเนียนสม่ำเสมอ ไม่กระตุกเสียง ไม่ฝืนเกร็ง พร้อมกับฟังเสียงไวโอลิน


เจ้าลูกชายสนใจในไวโอลิน การเดินทางของไวโอลินตัวหนึ่งจึงเกิดขึ้น

40 กว่าปี เกือบ 50 ปีแหละ เมดอินเยอรมัน เลือดเยอรมันแท้เลย” เสียงฝ่าอากาศกลางคืนจากเมืองหลวง บอกด้วยน้ำเสียงลุ้นเต็มที่ หลังจากเขาใช้เวลาเสาะหาไวโอลินสักตัวหนึ่ง ให้อยู่ในอ้อมแขนของเด็กชายที่เขาเห็นหน้าตามาตั้งแต่นอนแบเบาะ


อันที่จริงการเรียนไวโอลินของเจ้าลูกชาย ไม่ได้เริ่มต้นที่การออกหาซื้อไวโอลิน แต่เริ่มที่คำถามบ่อยๆ เหมือนจะให้เขาลองเขียนสักประโยคไว้ในใจ ว่าอยากเล่นเครื่องดนตรีชนิดใดบ้าง วันหนึ่งเขาเขียนออกมาดังๆว่า ไวโอลิน


ห้องเรียนมีสอนหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ทุกสัปดาห์ ไวโอลินจึงเคลื่อนความจริงมาใกล้และเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้

ในชีวิต เราควรมีที่หลบภัยประจำตัวไว้สักอย่าง เพื่อนพ่อบอกว่า ดนตรีนี่แหละ เป็นที่หลบภัยชั้นเยี่ยม พ่อเห็นด้วย พ่อมีที่หลบภัยประจำตัวใช้มาได้ตลอด” ผมพูดกับเขาด้วยท่วงท่าประโยคทำนองนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน


ไวโอลิน เมดอินไชน่า เขาใช้ฝึกในห้องเรียนมาแล้ว 5 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่นึกว่า เสียงนั้นจะมาเปล่งเสียงให้ได้ยินในค่ำวันหนึ่ง พลันมองเห็นแววตาเอาจริงเอาจังของเขา


แล้วโชคก็เยือน เมื่อประตูบานหนึ่งเปิดออกไปพบกับครูสอนไวโอลินอีกคนหนึ่ง เราพ่อลูกเรียกกันในชื่อครูโจ้ มือไวโอลินเก็บเนื้อเก็บตัวที่เอ่ยชื่อสกุลแล้วนักไวโอลินในประเทศต้องร้องอ๋อกันทั่วหน้า


พลังครูในตัวครูโจ้มีมหาศาลมาก เขาเริ่มต้นด้วยนำทางไปรู้จักสรีระร่างกายตัวเอง ชวนรู้จักไวโอลิน ชวนผูกใจแน่น ให้รู้สึกว่าไวโอลินเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของร่างกาย ที่งอกออกไปรับอากาศเหมือนแขนขาหูตาจมูก

 


ผมอยู่เคียงข้างเด็กชาย และร่วมเดินทางไปด้วยทุกชั่วโมงที่ไปเรียนกับครูโจ้

ผมตอบตกลงเพื่อนทันที ว่าจะเอาไวโอลินตัวใหม่ให้เจ้าลูกชาย เพื่อชั่วโมงฝึกฝนของเขาจะได้เป็นจริงและต่อเนื่อง ไวโอลินตัวแรกนั้นนอนค้างคืนที่โรงเรียน อาทิตย์หนึ่งได้กลับมาบ้านหนึ่งครั้ง


ผมรีบลงเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน หลังจากตรวจสอบไวโอลินและส่วนประกอบทุกอย่าง เพื่อนมีน้ำใจวิ่งเต้นหายางสน โบที่ควรมีเนื้อไม้ระดับเดียวกับไวโอลิน หางม้า อีกทั้งสะพานรองหลัง ให้แน่ใจว่าพร้อมออกเดินทางไปส่งเสียงได้ทันที


รับส่งมอบกันเสร็จสรรพด้วยคำบอกเล่าถึงที่มาของไวโอลิน

ไวโอลินออกเดินทางชั่วข้ามคืน ก็ไปสูดอากาศอยู่ในหุบเขา

นาทีเจ้าลูกชายเผชิญหน้ากับไวโอลินครั้งแรก สีหน้าแววตาพ่อหรือลูกตื่นเต้นมากกว่ากัน ไวโอลินคงรับรู้ก่อนใคร

 


ศิลปะการเกิดเสียง หลังการพบกันของเนื้อกับเนื้อไม้ ความสุขชนิดนี้ก่อตัวขึ้นในความเงียบ ความว่าง และปราศจากความสงสัย

หลุมหลบภัย พ่อควรหาให้ลูกหลบได้ปลอดภัยสักหลุมหนึ่ง” ผมนึกถึงประโยคนี้ทุกครั้งที่ออกร่วมเดินทางไปให้ถึงประตูห้องเรียนของครูโจ้


ไม่ใช่ผมคนเป็นพ่อที่ค้นพบความหมายคุณค่าของหลุมหลบภัย แต่เป็นเจ้าลูกชายที่บังเอิญเขาหลงชอบไวโอลิน กระโดดลงหลุมอย่างมั่นอกมั่นใจ ว่าในที่ว่างนั้นจะเต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ ยามรอบตัวเขาเต็มไปด้วยสิ่งมีพิษ


ในโลกที่เต็มไปด้วยกับดักและหลุมพราง ที่หลบภัยที่เพียรพยายามสร้างไว้ให้อยู่กับตัว คงช่วยดูแลระหว่างทางชีวิตให้ดำเนินไปได้ แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงแล้วยังอาจช่วยเยียวยาชีวิตอื่น เป็นไวโอลินที่ขุดหลุมหลบภัยกว้างลึกไกลออกไปเรื่อยๆ และรองรับดูแลชีวิตอื่นได้จริง

 

 

**** ตีพิมพ์ครั้งแรก เสาร์สวัสดี คอลัมน์ คนคือการเดินทาง นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับที่ 550 , 5 ธันวาคม 2552

 

 

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา เธอต้องลงไปดู ไม่ แต่พี่เห็นมัน มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี…
ชนกลุ่มน้อย
ด็อกเตอร์สมบัติ เครือทอง ครูการเขียนคนแรกของผม ย้ายจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก นานหลายปีมาแล้ว แต่ผมได้พบครูสอนเขียนเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น วันที่ครูมาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ผมไม่พลาดโอกาสที่จะพบหน้าครูให้ได้ เราพบกันในร้านกาแฟบนถนนนิมนานเหมินทร์ ย่านร้านรวงธุรกิจบริการกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จัดแต่งร้านพร้อมนำเสนอเครื่องดื่มชวนดื่มชิมรส รมณียสถานคราคร่ำด้วยผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน พบกันคราวนี้ ผมมีเรื่องเก่าย้อนถาม “จดหมายจากสวนยางถึงสวนลุกซองบูร์ยังมีอยู่มั้ยครับ…
ชนกลุ่มน้อย
เปิดตัวหนังสืออีกแล้วหรือพี่..!??!” เครื่องหมายประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ประมาณว่าไม่เข็ดหลาบจำเสียทีนะพี่ หนังสือเล่มไหนเล่มใหม่หรือพี่ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย “นั่นสิ มันหลบอยู่ตรงไหน กลายเป็นของหายากไปได้อย่างไร หลบหน้าหลบตาคนอ่าน” ทีเล่นหรือทีจริงก็ตาม สุดท้ายผมก็บอกไปว่า สงสัยแผงเขาไม่ว่างวางของหนัก หรือไม่ก็เขาเก็บออกไปจากแผงเสียแล้วมั้ง แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่า แล้วพี่จะมาเปิดตัวหนังสืออีกทำไม สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานของพี่รวยเหรอ ผมรีบออกตัวว่า เปล่า อาจจะจนก็ได้มั้ง พอศอของข้าวแพงไข่ไก่แพง บนหนทางที่ไม่ได้ปลูกข้าวกินเอง และไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่…
ชนกลุ่มน้อย
ผมไปตามวันเวลาหมอนัดอีกครั้ง หลังจากพลาดนัดครั้งแรก ถ้าผมไม่ไปตรงเวลา ผมจะต้องคอยนานอีกอย่างน้อยสองเดือน คนจัดการรับเรื่องนัดหมายพยายามแจกแจงให้เห็นความจำเป็นของการคอย เพราะคนป่วยอันเนื่องมาจากฟัน มีเป็นจำนวนมาก เหมือนกับต่างคนต่างรู้ช่องทางทำฟันราคาถูก “ไปคลีนิกไม่ต้องนัดนานเป็นเดือนนะลูก” ป้าคนนั่งกุมแก้มขวาบวมเป่ง ผมถามป้าว่ามาทำอะไร “ถอนฟัน” .. ห่างออกไปราวสิบห้าเมตร มือเหล็กยักษ์กำลังขุดคุ้ยโคนรากไม้ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มตลอดเวลา เส้นเชือกขีดคั่นปักแดนล้อมเอาไว้ แต่แค่บอกอาณาบริเวณห้ามคนผ่านเข้าไปเท่านั้น คนเดินผ่านไปมาก็ยังต้องหันไปมองมัน…
ชนกลุ่มน้อย
พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย “เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร “ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง “สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง…
ชนกลุ่มน้อย
คุณไปยืนอยู่ใต้ต้นพลัมตอนย่ำค่ำ มันขึ้นปะปนอยู่กับป่าผลไม้อื่นๆ อย่างพลับ ท้อ บ้วย สาลี่ อโวคาโด ขนุน กล้วย นับรวมหลายสิบชนิด เพียงต่อพลัมกำลังให้ลูกสุกเต็มต้น เช้าวันต่อมา คุณกลายร่างเป็นนกป่าเข้าสวนตั้งแต่เช้า ดวงอาทิตย์สว่างมาจากแนวป่าสนลอดผ่านพุ่มใบไม้เป็นลำแสงสีเงินสีทอง งามสงบจนคุณไม่อยากจะเดินย่างไปไหน   แต่นกหิวลืมตัว ปลิดเข้าปากกินสดๆ อย่างไม่รู้จักอิ่ม “ลูกนี้สุกแล้ว ลองดูๆพันธุ์ลูกแดง พันธุ์ลูกเหลืองก็มี เดินไปดูต้นโน้น” เจ้าของสวนชวนชิม “กินเลยๆ ปล่อยให้มันร่วงไปอย่างนั้น นกมานกก็กินกัน”
ชนกลุ่มน้อย
ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น “ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง “หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน…
ชนกลุ่มน้อย
31 สิงหาคม 2540 13.30 น. ไกลลิบ ถนนโค้งพุ่งผิดรูปหายไปในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ คนหนึ่งเหมือนหลักกิโลเมตรเคลือบสีดำ เห็นมาแต่ไกล เพียงแต่เสาหินเคลื่อนที่ได้ ช้าเหมือนมด พอรถวิ่งไปใกล้ จึงเห็นผืนผ้าขาวเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกดำ เคียงคู่ไปกับเสาหิน เหมือนไม่รู้สุขรู้เศร้า เสาหินสวมหมวกเก่าๆ รองเท้ายางหุ้มส้น ในใจผมคิดว่า แกคงเดินเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง พอรถแล่นผ่านตัวแก โค้งถนนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ความจริงก็ปรากฏ ขบวนแห่ศพ!!.. รถผมเชื่องช้าเป็นไส้เดือน เหมือนว่าล้อรถหุ้มด้วยหนังงูเหลือม ลมตีเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่ใช่ลมดอกไม้สด แต่เป็นลมมีกลิ่นธูป…
ชนกลุ่มน้อย
30 สิงหาคม 254008.35 น. รถจิ๊ปสีดำส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน เสียงนั้นเพิ่งกลับมาจากทำงาน เธออดนอนมาค่อนคืน ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น เสียงเหล็กปะทะของแข็ง ผมผละจากหน้าเครื่องพิมพ์ดีดโอ เสาบ้าน กันชนแตกเป็นรอยร้าวเธอมองหน้าผม ผมพยายามจะเข้าใจ “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าชีวิตจริงจะมีกันชนหรือไม่ก็ตาม”หนังสือ “ลมหายใจสงคราม” ของอา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังวางอยู่บนโต๊ะ ผมเปิดอ่านอีกครั้ง “..ผมเสียใจ! ระยำ! ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้บ่อยนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแนะนำให้คุณเข้าป่า ในป่ามันก็มีสงครามระหว่างแมลงกับใบไม้ และดอกไม้เป็นพิเศษ บัดซบ! คุณไม่รักสงคราม แต่คุณก็ไม่เกลียดมัน คุณกลัวมันเท่านั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปในโพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดินผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ…
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้ คนทุกคนจะเป็นพี่น้องกัน” ถึงเวลาหยิบปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ สะตอใส่กล่องลังเสียที ช่วงเวลาตากอากาศบ้านเกิดหมดลงอีกครั้ง ผมได้ย้อนกลับไปบนเส้นทางเก่าๆที่เคยไป สถานที่ที่ข้องเกี่ยวกับวัยเด็ก คนที่ผูกพันใจ รวมไปถึงพืชพันธุ์ต้นไม้ที่อยู่ในใจ กลับไปสู่ต้นสายปลายเหตุของตัวเอง และเดินทางต่อไป อย่างที่บอกแต่ต้น ผมพกหนังสือไปหลายเล่ม แต่ไม่ได้อ่านครบทุกเล่ม อย่างเล่ม แผ่นดินอื่น รวมเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเปิดอ่านผ่านๆอีกรอบ แต่ผมก็มีโอกาสไปเดิน บนถนนโคลีเซียม เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขา วันเวลาได้กลืนกินฉากเก่าๆไปแทบหมดสิ้น…
ชนกลุ่มน้อย
 ยืนอยู่บนท่าเรือปากพะยูน  มองเห็นเกาะสี่เกาะห้าที่อยู่ของรังนกนางแอ่นชัดเจน  ราวกับภาพวาดในม่านฝน  เบลอๆหมองๆ มองได้นานๆ  ผมกลับบ้านทุกครั้ง  ต้องไปให้ถึง ณ จุดนั้นให้ได้  ที่ซึ่งระเบียงยื่นออกไปในน้ำ   ยังมีร้านกาแฟ  ชาผงชงถุงแบบโบราณ  โต๊ะเก้าอี้ตั้งวางแบบเปิดโล่ง  ตกเย็นถุงกาแฟบนรถเข็นยกขึ้นลงไม่ขาดมือ  ชงหวานชงขม  ใส่นมข้นหวาน  น้ำตาลกับโกปี้  โต๊ะต่อโต๊ะ  เก้าอี้ต่อเก้าอี้ตั้งพื้นไม่มีหลังคา  รับลมพัดมาแรงๆ  มองออกไปยังเห็นพื้นน้ำเขียวกว้าง  …