Skip to main content

รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง
เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด

ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู..
ซาวะ ..หวี๋/น็อง ... ไล่เรียงสำเนียงเข้าหู

ชาติศิวิไลซ์ปรากฏตัวที่ไหนก็มีท่าทีเป็นเจ้าอาณานิคม .. (ฮา)
พวกเขารวมทีมกันเหนียวแน่น สังเกตดูกริยาท่าทางที่คุ้นเคยกับดินแดนนี้เหลือเกิน อย่างกับเมืองนี้เป็นเมืองอาณานิคมจริงๆ พูดสนั่นหวั่นไหว เหล่าลูกๆเปิดเผยความมั่นอกมั่นใจว่าชีวิตปลอดภัยอย่างเต็มที่

เราสองพ่อลูกเสียอีก ผู้อาศัยดินแดนนี้ ต้องเกรงใจ
พวกเขาเปิดกล่องโฟมสีขาวอย่างพร้อมเพรียง กลิ่นปิ้งๆย่างๆโชยเข้าจมูก กินพร้อมกัน อิ่มพร้อมกัน การเดินทางอีกยาวไกล

ดวงอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้า
บริกรโภชนาบริโภคตู้เสบียงผ่านมาป้วนเปี้ยนบ่อยขึ้น โยนคำถาม ต้องการอาหารมั้ย พ่อบอกลูกว่าเรามีอาหารพร้อม เพียงแต่ผมลังเลกับกลิ่นน้ำพริกตาแดง อานุภาพของมันถึงขั้นทำลายล้างโพรงจมูกใครบ้าง โดยเฉพาะครอบครัวคนฝรั่งเศส ผมเกิดความเกรงใจ เพราะดูท่าพวกเขาอยากให้เราเรียนรู้-รู้จักพวกเขา มากกว่าพวกเขาจะมาทำความเข้าใจเรา

แต่ช่างเถอะ อาหารเป็นวัฒนธรรม กลิ่นน้ำพริกตาแดงสำแดงเมื่อไหร่ ก็หมายถึงการประกาศอิสรภาพเหนือดินแดน
พริกตาแดงสำแดงฤทธิ์ตอนใกล้สองทุ่ม ครอบครัวคนฝรั่งเศสอิ่มกันแล้ว พวกเขากำลังจั่วไพ่กันอย่างสนุกสนาน ผมไม่แน่ใจว่าพริกตาแดงเป็นน้องๆระเบิดไข่เน่าหรือไม่ การกินกลิ่นท้องถิ่นชักจะกินก่อเรื่องให้แล้ว

ไม่สุภาพอย่างข้าวผัดกุ้งวางแผละบนผิวหน้าด้วยไข่ดาวหนึ่งฟองจากโบกี้เสบียง
รวมเสร็จหนึ่งอิ่มหนำใจ(หรือไม่) หยิบใบแดงยื่นออกไปเสียดีๆ
กลิ่นอาหารชนิดนั้น ดูคุ้นเคยกับโบกี้ และแขกผู้มีฐานะเจ้าของดินแดน

โต๊ะใกล้ๆ เป็นหญิงไทยวัยกลางคน พูดให้ได้ยินค่อนโบกี้ว่าเพิ่งกลับจากอเมริกา รัฐเพนซินวาเนีย เช่ารถไปเที่ยวหลายรัฐ มีคนไทยอยู่ที่นั่นเยอะ อาหารไทยถูกปากแต่แพงแสนแพง และอีกหลากหลายรายงานอย่างไม่เป็นทางการ
ขณะเขาทั้งหลายตั้งโต๊ะอุดหนุนบริการรถไฟ ทั้งผัด ต้มจืด ไข่ดาว แว่วเข้าหูจากบริกร 350 บาท

อากาศในโบกี้ค่อยโล่งโปร่งขึ้น หลังจากผมล้มเลิกโครงการน้ำพริกตาแดงเข้าปากเอาดื้อๆ ก็สายตาคนฝรั่งเศสต่างมองหาที่มาของกลิ่น ว่ามาจากทิศทางใด จากหัวขาวหรือหัวดำ แน่นอน เพียงแค่อยากรู้กระมัง ไม่น่าจะถึงขั้นต่อว่าด้วยวาจาหรือท่าทีปรามห้ามใดๆ

น้ำพริกตาแดงไม่ใช่สมบัติสาธารณะ (เป็นไปได้อย่างไร) ไม่โกอินเตอร์-เน-ชั่น-แนล(แนว) น้ำพริกตาแดงเป็นของหัวดำ ยิ่งไม่เกี่ยวกับหัวแดงและคนฝรั่งเศส
ผมท่องบางคำผ่านสายตาสีน้ำข้าว ปาด็อง เมอซีเยอร์ ปาด็อง มาสมัวแซว ...

นับแต่นาทีนั้น ผมก็ตกอยู่ในวงล้อมของข้อเสนอจากบริกรอาหารจากตู้เสบียง รุกฆาตทางพ่อไม่สำเร็จ ก็มีเมนูแนะนำเด็กชาย 7 ขวบ
“ต้มสักอย่างมั้ย เดี๋ยวครัวจะปิด”
“ไม่ครับ ขอบคุณครับ”
“เอามั้ย..”

ลูกชายเคี้ยวหมับๆ ไข่เจียวหมูสับ กับข้าวกล้องเม็ดพองโต เมนูแม่ห่อมาไว้อย่างดี

ยิ่งมืด ครอบครัวคนฝรั่งเศสยิ่งประกาศอาณาบริเวณครอบครองโบกี้ เสียงของพวกเขาดังกลบเสียงล้อกับราง
พวกเขาเคลื่อนไหวไปทางไหน หลีกทางให้พวกเขาเถอะ เขาเป็นคนฝรั่งเศส

** ปล. รูปยังไม่มา รูปยังกินโกปี้อยู่ริมฝั่งเลสาบ สัปดาห์หน้าอาจจะมาปรากฏ..


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ