Skip to main content

ไม่น่าเชื่อว่า  ขี้มัน  จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว  คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?

20080502 (1)

พร้าวห้าวต้องเป็นพร้าวแก่เท่านั้น  
ขี้มัน  เป็นเรื่องใหญ่   ไม่ใช่เรื่องเล็ก  แต่ไม่ใช่เรื่องยาก  เพียงแต่ต้องนั่งเฝ้ากะทิกันนาน
 
กะทิหรือพัทลุงขนานแท้เรียก หน่ามเถ่  เอามาจากพร้าวห้าว  พร้าวแก่  ต้องใช้หลายลูก  แค่ลูกสองลูกไม่มีใครทำ   ไม่มีใครอยากเฝ้าพร้าวห้าวสองลูกเพื่อจะกินขี้มัน

เป็นขี้มันขึ้นมา   หมายถึงได้น้ำมันพร้าวหอมน่าซด   กวนกะทิครั้งหนึ่ง  ใช้พร้าวนับครึ่งรถรุนทีเดียว  หรืออย่างน้อยก็เจ็ดแปดลูก เก้าลูกสิบลูก   หลังขูดเสร็จก็บีบคั้นเอากะทิ(หน่ามเถ่)  ใส่กะทะใบบัว  หรือกะทะใหญ่หนาหนัก  ใช้ไม้พายขนาดเอาไปใช้พายเรือได้สบาย

จุดหมายของพร้าวห้าว  คือน้ำมันพร้าวใสหอมสด  ส่วนขี้มัน  เป็นผลพลอยได้ด้วยซ้ำ   
ตามมาเรื่อยๆนะครับ  ว่าขี้มันออกมาจากส่วนไหนของพร้าวห้าว  และลงเอยกันเช่นไร

ที่บอกว่าขี้มันเป็นเรื่องใหญ่  เพราะว่า  อยู่ดีๆน้อยคนจะนึกถึงการดั้นด้นไปหาพร้าวห้าวมาลอกเปลือกแห้ง  ตีออกสองซีกเอาน้ำออก  

น้ำพร้าวห้าวออกจะจืด  หวานแบบแก่ๆ  ไม่หวานเลี่ยนแต่หวานจืดๆ  ยังไงกันนะ  หวานจืด .. คือมีทั้งหวาน  มีทั้งจืดอยู่ในตัว

เด็กๆคอยอย่างเดียว  คอยว่าพร้าวห้าวจะมีหน่อหรือไม่  หากมีหน่อก็แสดงว่าน้ำพร้าวจะน้อย  ที่สำคัญจะมีพวม  นั่นสิ  พวมคืออะไร  ลองจับพร้าวงอกหน่อสักคืบสองคืบ  แกะเอาเปลือกแห้งออกไป   ผ่าออกดู  จะพบตุ่มงอกออกมาสีออกเหลือง  ดูราวกหัวใจหมูย่อมๆ  ติดแน่นอยู่กับกะลา(พรก)

เด็กชอบนักแล  นุ่มๆ หวานๆ  เปราะๆ  กัดกิน(ครด)อย่างหรอย  จนปากเยิ้มมอมแมม  น้ำลายอาจไหลย้อยลงมาด้วย

พวมคู่กับพร้าวห้าวเท่านั้น  ไม่มีพวมในพร้าวหนุ่มหรือพร้าวสาว
(อีกที) ที่บอกว่าขี้มันเป็นเรื่องใหญ่  เพราะจะเคี่ยวหน่ามเถ่จำนวนมากก็ต่อเมื่อมีงานการในบ้าน  งานบวชงานแต่ง .... หรืองานบุญสำคัญๆ เช่น งานเดือนสิบ(ชิงเปรต)  งานชักพระ(ลากพระ)  งานสงกรานต์(วันว่าง)  ฯลฯ          

หมายถึงต้องใช้น้ำมันพร้าวมาทอด  มาทำขนม  จิปาถะที่ต้องใช้น้ำมันพร้าวจำนวนมาก   เพราะน้ำพืชเมื่อก่อนยังไม่แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน   

จะใช้น้ำมันพร้าว ก็ต้องเคี่ยวน้ำกะทิกันเอง

น้ำมันพร้าวจึงเป็นวัฒนธรรม  เป็นงานร่วมมือในครัวเรือน  เริ่มตั้งแต่ปีนต้นพร้าว   ลอกเปลือก  ขูด  ตั้งไฟ  คน  เฝ้าอย่างใจจดใจจ่อ   จะปล่อยให้ก้นกะทะไหม้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

20080502 (2)

ใช้เวลานานสามสี่ชั่วโมงทีเดียว  กว่าจะได้น้ำมันพร้าว   ต้องนั่งอบร่ำรมควันไฟ  นั่งทนร้อน  คอยใส่ฟืน  นั่งเหงื่อแตกพลั่กๆอย่างอดทนนาน   กว่ากะทิจะคายขี้ออกมา

เป็นขี้มัน  ขี้ของมันพร้าวก็ว่าได้  หอมน่ากิน (ชวนรับประทาน)

ขั้นตอนสุดท้ายของกะทิ  ดูที่ก้นกะทะว่าหลามแดงแล้วยัง  หากจับตัวแค่วุ้นสีขุ่นออกขาว  ก็ยังไม่ถึงเวลาน้ำมันจะขี้ออกมา  รอให้วุ้นขุ่นขาวๆเปลี่ยนเป็นสีแดงๆเป็นเม็ดๆ  

20080502 (5)

นั่นแหละ  ได้ทั้งน้ำมัน  ได้ทั้งขี้มัน         
กรองแยกน้ำมันพร้าวออกไป  ส่วนที่เหลือนั่น  ขี้มันขนานแท้ครับ
ผมร่วมพายกะทิในกะทะด้วย  

นั่นสิ  ถึงเกิดสำนวนพายเรือในอ่าง  น่าจะมาจากพายกะทิในกะทะเป็นแน่ ..(อย่าเอาไปอ้างอิงนะครับ  เป็นความสามารถคน เฉพาะตัว เฉพาะที่เท่านั้น)

20080502 (6)

หอมกลิ่นขี้มัน  กลิ่นหอมเหมือนลูกผึ้งป่า  จริงๆ
คลุกซาวข้าว  ใส่น้ำเกลือนิดๆ  เป็นมื้อเลิศรสยากเอาเมนูใดๆมาเทียบเคียง
ข้าวคลุกขี้  (ขี้มันครับ)  แค่ชื่อก็รู้ว่าชวนดมขนาดไหน  ผมได้อยู่ร่วมเคี่ยวน้ำมันพร้าว  แล้วก็เอาข้าวซาวคลุกขี้มันด้วย   อะไรๆนับจากนั้น  ดูลื่นไหลดีไปหมด

พ่อบอกว่า  ในสวนมีพร้าวเหลืออยู่ไม่กี่ต้น   มันแก่ตายหมด  ไม่ได้ปลูกใหม่ทดแทน   เพราะโอกาสกินสารอาหารที่ชื่อขี้มัน ยิ่งลดน้อยลง   ต่างคนต่างเข้าไปหาความสะดวกสบาย  ใช้น้ำมันพืชก็แค่ออกไปซื้อในร้านค้า   ไม่ต้องออกแรง(ให้เหนื่อยกระดูก)เหมือนเมื่อก่อนแล้ว  

ขี้มันจึงกลายเป็นเรื่องไกลตัว  ไม่มีใครนึกอยากกินขี้(มัน)จากพร้าวห้าวอีกแล้ว  

เอาเวลานั่งเฝ้ากะทะกะทิเป็นขี้มันไปคุยโม้โอ้โห..เรื่องยี่ห้อรถยนต์กันดีกว่า  รุ่นไหนของใคร  กินน้ำมันกี่มากน้อย  วิ่งได้เร็วนุ่มนวลเพียงใด ห่มเสื้อไว้ในบ้านหรือนอนตากแดด  กี่แรงม้า กี่สูบ กินน้ำมันหรือไม่  กี่บาท ซื้อถูกซื้อแพง  อย่างกับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต..

ขี้มันตกยุคสมัยไปแล้ว  เหมือนต้นพร้าวที่ล้มลงหายไปทีละต้น  

ขี้โม้เข้ามาแทนที่ขี้มัน  บ้านเกิดของคุณเป็นเช่นนั้นหรือไม่  หากไม่ -- ขอโทษ  เป็นเรื่องน่ายินดีครับ   พึงรักษาขี้มันอย่าให้เปลี่ยนเป็นขี้โม้เร็วเกินไป ..

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา เธอต้องลงไปดู ไม่ แต่พี่เห็นมัน มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี…
ชนกลุ่มน้อย
ด็อกเตอร์สมบัติ เครือทอง ครูการเขียนคนแรกของผม ย้ายจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก นานหลายปีมาแล้ว แต่ผมได้พบครูสอนเขียนเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น วันที่ครูมาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ผมไม่พลาดโอกาสที่จะพบหน้าครูให้ได้ เราพบกันในร้านกาแฟบนถนนนิมนานเหมินทร์ ย่านร้านรวงธุรกิจบริการกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จัดแต่งร้านพร้อมนำเสนอเครื่องดื่มชวนดื่มชิมรส รมณียสถานคราคร่ำด้วยผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน พบกันคราวนี้ ผมมีเรื่องเก่าย้อนถาม “จดหมายจากสวนยางถึงสวนลุกซองบูร์ยังมีอยู่มั้ยครับ…
ชนกลุ่มน้อย
เปิดตัวหนังสืออีกแล้วหรือพี่..!??!” เครื่องหมายประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ประมาณว่าไม่เข็ดหลาบจำเสียทีนะพี่ หนังสือเล่มไหนเล่มใหม่หรือพี่ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย “นั่นสิ มันหลบอยู่ตรงไหน กลายเป็นของหายากไปได้อย่างไร หลบหน้าหลบตาคนอ่าน” ทีเล่นหรือทีจริงก็ตาม สุดท้ายผมก็บอกไปว่า สงสัยแผงเขาไม่ว่างวางของหนัก หรือไม่ก็เขาเก็บออกไปจากแผงเสียแล้วมั้ง แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่า แล้วพี่จะมาเปิดตัวหนังสืออีกทำไม สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานของพี่รวยเหรอ ผมรีบออกตัวว่า เปล่า อาจจะจนก็ได้มั้ง พอศอของข้าวแพงไข่ไก่แพง บนหนทางที่ไม่ได้ปลูกข้าวกินเอง และไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่…
ชนกลุ่มน้อย
ผมไปตามวันเวลาหมอนัดอีกครั้ง หลังจากพลาดนัดครั้งแรก ถ้าผมไม่ไปตรงเวลา ผมจะต้องคอยนานอีกอย่างน้อยสองเดือน คนจัดการรับเรื่องนัดหมายพยายามแจกแจงให้เห็นความจำเป็นของการคอย เพราะคนป่วยอันเนื่องมาจากฟัน มีเป็นจำนวนมาก เหมือนกับต่างคนต่างรู้ช่องทางทำฟันราคาถูก “ไปคลีนิกไม่ต้องนัดนานเป็นเดือนนะลูก” ป้าคนนั่งกุมแก้มขวาบวมเป่ง ผมถามป้าว่ามาทำอะไร “ถอนฟัน” .. ห่างออกไปราวสิบห้าเมตร มือเหล็กยักษ์กำลังขุดคุ้ยโคนรากไม้ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มตลอดเวลา เส้นเชือกขีดคั่นปักแดนล้อมเอาไว้ แต่แค่บอกอาณาบริเวณห้ามคนผ่านเข้าไปเท่านั้น คนเดินผ่านไปมาก็ยังต้องหันไปมองมัน…
ชนกลุ่มน้อย
พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย “เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร “ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง “สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง…
ชนกลุ่มน้อย
คุณไปยืนอยู่ใต้ต้นพลัมตอนย่ำค่ำ มันขึ้นปะปนอยู่กับป่าผลไม้อื่นๆ อย่างพลับ ท้อ บ้วย สาลี่ อโวคาโด ขนุน กล้วย นับรวมหลายสิบชนิด เพียงต่อพลัมกำลังให้ลูกสุกเต็มต้น เช้าวันต่อมา คุณกลายร่างเป็นนกป่าเข้าสวนตั้งแต่เช้า ดวงอาทิตย์สว่างมาจากแนวป่าสนลอดผ่านพุ่มใบไม้เป็นลำแสงสีเงินสีทอง งามสงบจนคุณไม่อยากจะเดินย่างไปไหน   แต่นกหิวลืมตัว ปลิดเข้าปากกินสดๆ อย่างไม่รู้จักอิ่ม “ลูกนี้สุกแล้ว ลองดูๆพันธุ์ลูกแดง พันธุ์ลูกเหลืองก็มี เดินไปดูต้นโน้น” เจ้าของสวนชวนชิม “กินเลยๆ ปล่อยให้มันร่วงไปอย่างนั้น นกมานกก็กินกัน”
ชนกลุ่มน้อย
ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น “ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง “หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน…
ชนกลุ่มน้อย
31 สิงหาคม 2540 13.30 น. ไกลลิบ ถนนโค้งพุ่งผิดรูปหายไปในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ คนหนึ่งเหมือนหลักกิโลเมตรเคลือบสีดำ เห็นมาแต่ไกล เพียงแต่เสาหินเคลื่อนที่ได้ ช้าเหมือนมด พอรถวิ่งไปใกล้ จึงเห็นผืนผ้าขาวเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกดำ เคียงคู่ไปกับเสาหิน เหมือนไม่รู้สุขรู้เศร้า เสาหินสวมหมวกเก่าๆ รองเท้ายางหุ้มส้น ในใจผมคิดว่า แกคงเดินเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง พอรถแล่นผ่านตัวแก โค้งถนนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ความจริงก็ปรากฏ ขบวนแห่ศพ!!.. รถผมเชื่องช้าเป็นไส้เดือน เหมือนว่าล้อรถหุ้มด้วยหนังงูเหลือม ลมตีเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่ใช่ลมดอกไม้สด แต่เป็นลมมีกลิ่นธูป…
ชนกลุ่มน้อย
30 สิงหาคม 254008.35 น. รถจิ๊ปสีดำส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน เสียงนั้นเพิ่งกลับมาจากทำงาน เธออดนอนมาค่อนคืน ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น เสียงเหล็กปะทะของแข็ง ผมผละจากหน้าเครื่องพิมพ์ดีดโอ เสาบ้าน กันชนแตกเป็นรอยร้าวเธอมองหน้าผม ผมพยายามจะเข้าใจ “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าชีวิตจริงจะมีกันชนหรือไม่ก็ตาม”หนังสือ “ลมหายใจสงคราม” ของอา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังวางอยู่บนโต๊ะ ผมเปิดอ่านอีกครั้ง “..ผมเสียใจ! ระยำ! ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้บ่อยนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแนะนำให้คุณเข้าป่า ในป่ามันก็มีสงครามระหว่างแมลงกับใบไม้ และดอกไม้เป็นพิเศษ บัดซบ! คุณไม่รักสงคราม แต่คุณก็ไม่เกลียดมัน คุณกลัวมันเท่านั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปในโพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดินผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ…
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้ คนทุกคนจะเป็นพี่น้องกัน” ถึงเวลาหยิบปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ สะตอใส่กล่องลังเสียที ช่วงเวลาตากอากาศบ้านเกิดหมดลงอีกครั้ง ผมได้ย้อนกลับไปบนเส้นทางเก่าๆที่เคยไป สถานที่ที่ข้องเกี่ยวกับวัยเด็ก คนที่ผูกพันใจ รวมไปถึงพืชพันธุ์ต้นไม้ที่อยู่ในใจ กลับไปสู่ต้นสายปลายเหตุของตัวเอง และเดินทางต่อไป อย่างที่บอกแต่ต้น ผมพกหนังสือไปหลายเล่ม แต่ไม่ได้อ่านครบทุกเล่ม อย่างเล่ม แผ่นดินอื่น รวมเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเปิดอ่านผ่านๆอีกรอบ แต่ผมก็มีโอกาสไปเดิน บนถนนโคลีเซียม เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขา วันเวลาได้กลืนกินฉากเก่าๆไปแทบหมดสิ้น…
ชนกลุ่มน้อย
 ยืนอยู่บนท่าเรือปากพะยูน  มองเห็นเกาะสี่เกาะห้าที่อยู่ของรังนกนางแอ่นชัดเจน  ราวกับภาพวาดในม่านฝน  เบลอๆหมองๆ มองได้นานๆ  ผมกลับบ้านทุกครั้ง  ต้องไปให้ถึง ณ จุดนั้นให้ได้  ที่ซึ่งระเบียงยื่นออกไปในน้ำ   ยังมีร้านกาแฟ  ชาผงชงถุงแบบโบราณ  โต๊ะเก้าอี้ตั้งวางแบบเปิดโล่ง  ตกเย็นถุงกาแฟบนรถเข็นยกขึ้นลงไม่ขาดมือ  ชงหวานชงขม  ใส่นมข้นหวาน  น้ำตาลกับโกปี้  โต๊ะต่อโต๊ะ  เก้าอี้ต่อเก้าอี้ตั้งพื้นไม่มีหลังคา  รับลมพัดมาแรงๆ  มองออกไปยังเห็นพื้นน้ำเขียวกว้าง  …