Skip to main content

20080512 1

แม่บอกว่า  ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย  ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่  ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว  แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ   ผมพูดกับแม่ทันที  ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย  เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน  เมล็ดผอม  ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล   ตามความเข้าใจที่ว่า  วิตามินในข้าวจะหายไป   แต่แม่ตอบกลับมาว่า  ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน    

แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร  หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท  ผมดูตัวหนังสือข้างถุง  บอกวันเดือนปีที่ผลิต  ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต  เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางตอนล่าง   เรากำลังกินข้าวสารจากภาคกลางจริงๆ   มันเดินทางมาไกลเหลือเกิน   กว่าจะถึงเรือนชานบ้านแม่

ผมจะดม  แม่ไม่ให้ดมนานๆ
ผมแปลกใจ  เราวางใจเมล็ดข้าวได้น้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ เราเคยแต่กรอกข้าวสารเข้าปากเคี้ยวหมับๆ ดิบๆ จนเป็นแป้งหวานๆ มันๆ ก็บ่อย   
แต่ต้องไม่ใช่ข้าวที่มากับกระสอบ

ผมจำได้ว่า  เมล็ดข้าวที่แม่เก็บจากนา  แม่ต้องเก็บรวงที่สมบูรณ์ที่สุดไว้ทำพันธุ์ปลูกต่อในฤดูต่อไป   นำออกผึ่งแดดหลายครั้ง  ไม่ให้ชื้นขึ้นรา  แล้วเก็บไว้อย่างมิดชิดในลอมข้าว (โรงเรือนที่สร้างไว้สำหรับเก็บรวงข้าวไว้โดยเฉพาะ)

ชื่อพันธุ์ข้าว  มาพร้อมกับความเสี่ยงเรื่องน้ำ  ว่าปีนี้ฟ้าฝนดีหรือไม่  น้ำมากน้ำน้อย  จะได้เลือกพันธุ์ข้าวถูกว่า  ต้องใช้ข้าวพันธุ์น้ำลึกหรือน้ำตื้น   น้ำมากหรือน้ำน้อย  หากไม่มีพันธุ์ที่ต้องการ  ก็ไปขอแบ่ง  แลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าว  เป็นสิ่งตอบแทน  

ไม่ใช่เรื่องการซื้อขายพันธุ์ข้าว

ทุกคนในหมู่บ้านจะรู้ว่า   ข้าวพันธุ์ไหนอยู่บ้านไหน  บ้านใคร  ใครครอบครองข้าวพันธุ์ดีไว้  ข้าวพันธุ์ดีในความหมายของข้าวรวงใหญ่  เมล็ดใหญ่  ทนโรค  ทนอากาศ  มีน้ำหนักมาก ขายได้ราคาดี   คุณสมบัติปลีกย่อยอีกหลายอย่าง  ตามแต่ใครจะมีพื้นที่ดินนาเป็นแบบไหน  

ไม่เห็นมีใครหวงพันธุ์ข้าว   เพราะถึงอย่างไร  ก็จะได้พันธุ์ข้าวพันธุ์เดิมกลับมาถึงสองเท่า  หรือมากกว่านั้นเป็นค่าตอบแทน

20080512 2

ผมได้ยินชื่อพันธุ์ข้าวแปลกๆมาตั้งแต่จำความได้  ผู้ใหญ่บ้านไหนจะลงข้าวพันธุ์ไหน  วนเวียนอยู่กับพันธุ์ข้าวเหล่านี้  ข้าวหัวนา  ข้าวยาไซ  ข้าวเล็บนก  ข้าวช่อปลิง    ข้าวช่อไพล  ข้าวนางยา  ข้าวไอ้เคี้ยง  ข้าวเบละหอม(มะลิหอม)  ฯลฯ

แม่บอกว่า  พันธุ์ข้าวดั้งเดิมเหล่านี้  ส่วนใหญ่ ”สารแข็ง” หมายถึงหุงสุกกินไม่นุ่ม  
“ข้าวช่อปลิงเม็ดเล็ก เม็ดอ้วนๆสั้นๆ สารแข็งมาก  ปลูกในน้ำลึก  ตามพรุตามนาลึก  รวงใหญ่มาก  หนึ่งเรียงนับได้ยี่สิบเก้ารวง  ครัวไหนลูกมาก  เขามักจะปลูก  กินไม่เปลือง”

เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า  แม่เป็นเอ็นไซโคพีเดียฉบับบ้านๆได้สบาย  
“ข้าวเล็บนก ล่ะแม่ ชื่อแปลกๆ”
“สารนวน เม็ดเล็ก เหมือนเล็บนก”
“ช่อไพล”
“สารธรรมดาๆ เม็ดสั้นเหมือนกัน แต่ยาวกว่าช่อปลิง  กินอยู่พุง  สารไม่แข็งไม่นวน”

นวน หมายถึง อ่อน นุ่ม

“ข้าวไอ้เคี้ยง สีแดง สารนวน”  
“ถึงว่า  ใครมักพูดว่าหน้าตาอยู่เหมือนข้าวไอ้เคี้ยง..”


แม่อารมณ์ดี  เมื่อพูดถึงพันธุ์ข้าว   ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์คืบคลานมาอยู่ใกล้ๆ
“หม้ายใครปลูกแล้ว” (ไม่มีใครปลูกกันแล้ว)

บทสรุปของแม่   แม้แต่จะขอดูพันธุ์ข้าว  ก็ยังหายาก  พันธุ์ข้าวที่ดูแลชีวิตกันมาถึงลูกถึงหลาน  กลับถึงกาลอวสาน
ไม่มีใครปลูกข้าวในหมู่บ้าน
ผมล้างข้าวสารขาวอีกหลายน้ำ  ล้างแล้วล้างอีก  
“ไม่ล้างหลายน้ำ  กลิ่นยาไม่ไปไหน”
แม่บอกอย่างนั้น   ว่ากลิ่นเจือปนอยู่ในข้าวสาร   มีกลิ่นที่ไม่ใช่เป็นกลิ่นข้าวอยู่ด้วย  แม่บอกว่า  ไม่หุงไม่รู้  
“หุงแล้วออกรส”
ออกรสของแม่  หมายถึงข้าวสารปนเปื้อนสารเคมี   

ทำอย่างไรได้เล่า  ข้าวไม่ได้ถอนรวงขึ้นจากนาด้วยมืออีกแล้ว   ต้นข้าวอยู่ในกระสอบ  ต้นข้าวที่ไม่เคยเผยความจริงใดๆให้รู้ล่วงหน้า   ปล่อยให้คนกินข้าวค้นหาต้นข้าว   จินตนาการไปต่างๆนานา  ถึงสิ่งผิดปกติที่มากับต้นข้าว เม็ดข้าวเพื่อชีวิตในกระสอบ  

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา เธอต้องลงไปดู ไม่ แต่พี่เห็นมัน มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี…
ชนกลุ่มน้อย
ด็อกเตอร์สมบัติ เครือทอง ครูการเขียนคนแรกของผม ย้ายจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก นานหลายปีมาแล้ว แต่ผมได้พบครูสอนเขียนเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น วันที่ครูมาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ผมไม่พลาดโอกาสที่จะพบหน้าครูให้ได้ เราพบกันในร้านกาแฟบนถนนนิมนานเหมินทร์ ย่านร้านรวงธุรกิจบริการกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จัดแต่งร้านพร้อมนำเสนอเครื่องดื่มชวนดื่มชิมรส รมณียสถานคราคร่ำด้วยผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน พบกันคราวนี้ ผมมีเรื่องเก่าย้อนถาม “จดหมายจากสวนยางถึงสวนลุกซองบูร์ยังมีอยู่มั้ยครับ…
ชนกลุ่มน้อย
เปิดตัวหนังสืออีกแล้วหรือพี่..!??!” เครื่องหมายประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ประมาณว่าไม่เข็ดหลาบจำเสียทีนะพี่ หนังสือเล่มไหนเล่มใหม่หรือพี่ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย “นั่นสิ มันหลบอยู่ตรงไหน กลายเป็นของหายากไปได้อย่างไร หลบหน้าหลบตาคนอ่าน” ทีเล่นหรือทีจริงก็ตาม สุดท้ายผมก็บอกไปว่า สงสัยแผงเขาไม่ว่างวางของหนัก หรือไม่ก็เขาเก็บออกไปจากแผงเสียแล้วมั้ง แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่า แล้วพี่จะมาเปิดตัวหนังสืออีกทำไม สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานของพี่รวยเหรอ ผมรีบออกตัวว่า เปล่า อาจจะจนก็ได้มั้ง พอศอของข้าวแพงไข่ไก่แพง บนหนทางที่ไม่ได้ปลูกข้าวกินเอง และไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่…
ชนกลุ่มน้อย
ผมไปตามวันเวลาหมอนัดอีกครั้ง หลังจากพลาดนัดครั้งแรก ถ้าผมไม่ไปตรงเวลา ผมจะต้องคอยนานอีกอย่างน้อยสองเดือน คนจัดการรับเรื่องนัดหมายพยายามแจกแจงให้เห็นความจำเป็นของการคอย เพราะคนป่วยอันเนื่องมาจากฟัน มีเป็นจำนวนมาก เหมือนกับต่างคนต่างรู้ช่องทางทำฟันราคาถูก “ไปคลีนิกไม่ต้องนัดนานเป็นเดือนนะลูก” ป้าคนนั่งกุมแก้มขวาบวมเป่ง ผมถามป้าว่ามาทำอะไร “ถอนฟัน” .. ห่างออกไปราวสิบห้าเมตร มือเหล็กยักษ์กำลังขุดคุ้ยโคนรากไม้ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มตลอดเวลา เส้นเชือกขีดคั่นปักแดนล้อมเอาไว้ แต่แค่บอกอาณาบริเวณห้ามคนผ่านเข้าไปเท่านั้น คนเดินผ่านไปมาก็ยังต้องหันไปมองมัน…
ชนกลุ่มน้อย
พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย “เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร “ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง “สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง…
ชนกลุ่มน้อย
คุณไปยืนอยู่ใต้ต้นพลัมตอนย่ำค่ำ มันขึ้นปะปนอยู่กับป่าผลไม้อื่นๆ อย่างพลับ ท้อ บ้วย สาลี่ อโวคาโด ขนุน กล้วย นับรวมหลายสิบชนิด เพียงต่อพลัมกำลังให้ลูกสุกเต็มต้น เช้าวันต่อมา คุณกลายร่างเป็นนกป่าเข้าสวนตั้งแต่เช้า ดวงอาทิตย์สว่างมาจากแนวป่าสนลอดผ่านพุ่มใบไม้เป็นลำแสงสีเงินสีทอง งามสงบจนคุณไม่อยากจะเดินย่างไปไหน   แต่นกหิวลืมตัว ปลิดเข้าปากกินสดๆ อย่างไม่รู้จักอิ่ม “ลูกนี้สุกแล้ว ลองดูๆพันธุ์ลูกแดง พันธุ์ลูกเหลืองก็มี เดินไปดูต้นโน้น” เจ้าของสวนชวนชิม “กินเลยๆ ปล่อยให้มันร่วงไปอย่างนั้น นกมานกก็กินกัน”
ชนกลุ่มน้อย
ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น “ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง “หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน…
ชนกลุ่มน้อย
31 สิงหาคม 2540 13.30 น. ไกลลิบ ถนนโค้งพุ่งผิดรูปหายไปในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ คนหนึ่งเหมือนหลักกิโลเมตรเคลือบสีดำ เห็นมาแต่ไกล เพียงแต่เสาหินเคลื่อนที่ได้ ช้าเหมือนมด พอรถวิ่งไปใกล้ จึงเห็นผืนผ้าขาวเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกดำ เคียงคู่ไปกับเสาหิน เหมือนไม่รู้สุขรู้เศร้า เสาหินสวมหมวกเก่าๆ รองเท้ายางหุ้มส้น ในใจผมคิดว่า แกคงเดินเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง พอรถแล่นผ่านตัวแก โค้งถนนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ความจริงก็ปรากฏ ขบวนแห่ศพ!!.. รถผมเชื่องช้าเป็นไส้เดือน เหมือนว่าล้อรถหุ้มด้วยหนังงูเหลือม ลมตีเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่ใช่ลมดอกไม้สด แต่เป็นลมมีกลิ่นธูป…
ชนกลุ่มน้อย
30 สิงหาคม 254008.35 น. รถจิ๊ปสีดำส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน เสียงนั้นเพิ่งกลับมาจากทำงาน เธออดนอนมาค่อนคืน ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น เสียงเหล็กปะทะของแข็ง ผมผละจากหน้าเครื่องพิมพ์ดีดโอ เสาบ้าน กันชนแตกเป็นรอยร้าวเธอมองหน้าผม ผมพยายามจะเข้าใจ “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าชีวิตจริงจะมีกันชนหรือไม่ก็ตาม”หนังสือ “ลมหายใจสงคราม” ของอา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังวางอยู่บนโต๊ะ ผมเปิดอ่านอีกครั้ง “..ผมเสียใจ! ระยำ! ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้บ่อยนัก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแนะนำให้คุณเข้าป่า ในป่ามันก็มีสงครามระหว่างแมลงกับใบไม้ และดอกไม้เป็นพิเศษ บัดซบ! คุณไม่รักสงคราม แต่คุณก็ไม่เกลียดมัน คุณกลัวมันเท่านั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปในโพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดินผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ…
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้ คนทุกคนจะเป็นพี่น้องกัน” ถึงเวลาหยิบปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ สะตอใส่กล่องลังเสียที ช่วงเวลาตากอากาศบ้านเกิดหมดลงอีกครั้ง ผมได้ย้อนกลับไปบนเส้นทางเก่าๆที่เคยไป สถานที่ที่ข้องเกี่ยวกับวัยเด็ก คนที่ผูกพันใจ รวมไปถึงพืชพันธุ์ต้นไม้ที่อยู่ในใจ กลับไปสู่ต้นสายปลายเหตุของตัวเอง และเดินทางต่อไป อย่างที่บอกแต่ต้น ผมพกหนังสือไปหลายเล่ม แต่ไม่ได้อ่านครบทุกเล่ม อย่างเล่ม แผ่นดินอื่น รวมเรื่องสั้นของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเปิดอ่านผ่านๆอีกรอบ แต่ผมก็มีโอกาสไปเดิน บนถนนโคลีเซียม เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขา วันเวลาได้กลืนกินฉากเก่าๆไปแทบหมดสิ้น…
ชนกลุ่มน้อย
 ยืนอยู่บนท่าเรือปากพะยูน  มองเห็นเกาะสี่เกาะห้าที่อยู่ของรังนกนางแอ่นชัดเจน  ราวกับภาพวาดในม่านฝน  เบลอๆหมองๆ มองได้นานๆ  ผมกลับบ้านทุกครั้ง  ต้องไปให้ถึง ณ จุดนั้นให้ได้  ที่ซึ่งระเบียงยื่นออกไปในน้ำ   ยังมีร้านกาแฟ  ชาผงชงถุงแบบโบราณ  โต๊ะเก้าอี้ตั้งวางแบบเปิดโล่ง  ตกเย็นถุงกาแฟบนรถเข็นยกขึ้นลงไม่ขาดมือ  ชงหวานชงขม  ใส่นมข้นหวาน  น้ำตาลกับโกปี้  โต๊ะต่อโต๊ะ  เก้าอี้ต่อเก้าอี้ตั้งพื้นไม่มีหลังคา  รับลมพัดมาแรงๆ  มองออกไปยังเห็นพื้นน้ำเขียวกว้าง  …