Skip to main content

3_07_1

วจีเอ่ยเอื้อนออกไป

อาจมิใช่ดังใจรู้สึก

หากแต่เราคงดำเนินต่อข้ามผ่านกาลคืน

ค้นหาแรกก้าวจากเริ่มต้น

จนพลันหายไปในอากาศ

พยายามเข้าใจ...จะดำรงอยู่อย่างมีเราอย่างไร ณ ที่นั้น

สบเข้าไปนัยน์ตาเธอ

มิใช่ใครเลยที่ฉันรู้จัก

ดื่มด่ำความงงงันอันว่างเปล่าด้วยสำนึกที่แสนเปลี่ยวเหงา


ณ บัดนี้ สำหรับฉัน บางคำผุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย

ซึ่งฉันรู้ว่ามิมีความหมายมากมาย

หากเปรียบเทียบกับคำกล่าว

เมื่อฅนรักได้สัมผัส

เธอมิอาจรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ฉันรักในเธอ

และฉันเองก็มิอาจรู้ว่าเธอรักสิ่งใดในความเป็นฉัน

อาจเป็นภาพของใครบางฅนที่เธอคาดหวัง

ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด ด้วยรู้ว่าแสนเปลี่ยวเหงา

และใกล้ถึงจุดท้ายสุดแห่งความรู้สึกที่เราต่างรับรู้


นานเท่าไหร่ที่ฉันหลับใหล

นานเท่าไหร่ที่ฉันล่องลอยกับความเปลี่ยวเหงา

ข้ามผ่านกาลคืน

นานเท่าไหร่ที่ฉันอยู่ในฝันที่อาจเป็นจริง

หากฉันเพียงหลับตาและพยายามทั้งหมดใจ

เพื่อเป็นใครฅนหนึ่งฅนนั้นของเธอ

ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด ด้วยรู้ว่าแสนเปลี่ยวเหงา

และใกล้ถึงจุดท้ายสุดแห่งความรู้สึกที่เราต่างรับรู้


นานเท่าไหร่ที่ฉันหลับใหล

นานเท่าไหร่ที่ฉันลอยล่องอย่างเปลี่ยวใจผ่านกาลคืนนั้น

นานเท่าไหร่ที่ฉันคงดำเนินต่อไปเพื่อเข้าถึงยามอรุณรุ่ง

ข้ามผ่านเสียงกระซิบ และแสงที่แปรเปลี่ยน

ณ ที่ที่เราต่างเอนกายเคียงข้าง


 

 3_07_2


Late for the sky, Jackson browne

เพลงดังขึ้นในบ้าน แน่นอนว่าเป็นเสียงเพลงที่ลูกชายนำกลับบ้าน

เวลาว่างของทุกวัน เสียงกังวานของเพลงประหลาด

ผมมักเปิดเพลงที่ทำให้ต้นยางมีน้ำตาสีขาวไหลหลั่งออกมา

พกพาไป พร้อมหนังสือ

เสียงเพลงที่ไม่มีลูกบ้านไหนเปิดฟัง

เหมือนหนังสือที่ไม่มีลูกบ้านไหน อ่านมันอย่างกับจะกลืนกิน

หนังสือกับเพลง ทำให้ลูกชายของแม่หลงทาง

เบี่ยงชีวิตออกไปจากเส้นทางคาดหวังเดิมๆ

จากท่าเรือของความห่วง สู่เกาะเปลี่ยวอันน่าห่วง

น่าสะพรึงกลัว เป็นเช่นนี้มานาน

เพลงเหมือนจะบอกว่า ลูกชายกลับมาจากเกาะไหนสักแห่ง

ลอยน้ำอยู่บนโลกใบนี้


3_07_3

ผมหลงรักเพลง Late for the sky

Jackson browne ไม่รับรู้ด้วย เพื่อนเอย

ยินแต่เสียงหัวรถไฟไม้ฟืน ปล่อยควันดำผ่านมาอีกแล้ว

ฝูงนกนางแอ่นบินตีคู่ขนาน

ลูกชายคนตัดฟืนหนีออกข้างรางเหล็ก

เสียงสูบฉีดไอร้อนดังน่ากลัวเกรง

กงล้อเหล็กยักษ์เหยียบรางเหล็กด้วยท่วงท่าขากิ้งกือ

เสียงร้องโหยหวน เหมือนเสียงร้องอันทุกข์ทรมาน

แซ่โบยนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในถังดำมหึมา

รถจักรแล่นไป แล่นด้วยไฟกับไอน้ำ

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ