บทสนทนาของศิลปินไม่มีชื่อ

              พวกมันจะเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง ชื่อเสียงเรียงนามหรือที่อยู่ตามบัตรประชาชนจะระบุไว้ว่ายังไงก็ช่างแม่งมันเถอะครับ คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักพวกมัน เพราะมันไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ เป็นนักปฏิวัติ หรือแม้แต่สิ่งที่มันเคยถูกคนอื่นนิยาม หรือที่ตัวมันเองเคยนิยามว่าเป็น “ศิลปิน”

              ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะบอกได้ก็คือ พวกมันก็เป็นคนหนุ่มสาวที่ตั้งคำถามกับสิทธิ เสรีภาพ สนใจปัญหาสังคมรอบตัวและต้องการแสดงออก โดยใช้ทักษะที่พวกมันคุ้นเคยคือ งานศิลปะ

              ที่สำคัญ ต้องย้ำตรงนี้ว่าพวกมันเป็น “คนต่างชาติ”

             ดังนั้น เรื่องราวที่ออกจากปากของมันจึงเป็นเรื่องของ “คนอื่น” “ที่อื่น” ถ้าอยากรู้ว่ามันถูกบีบกะโปกออกมาจากประเทศไหน ผมใบ้ให้นิดหน่อยก็ได้ครับว่ามาจากประเทศเผด็จการแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลเรานี่แหละครับ

              เรื่องของเรื่องก็คือ พวกมันเสือกทำตัว “เปรี้ยวตีน” ไปแสดงงานศิลปะด่าเผด็จการซะโจ๋งครึ่ม เลยมีปัญหากับมาเฟียในวงการศิลปะบ้านมัน มาเฟียพวกนี้ถูกชุบเลี้ยงโดยป๊ะป๋ามาเฟีย อารมณ์ประมาณดอน ขอลีโอกับคอนเน่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศมันครับ

              พวกแม่งเลยโดนล่าแม่มดจากวงการศิลปะและศิลปินชิคๆ อีกเป็นขโยง

              หมดอนาคต สิครับงานนี้!

              แต่วันดีคืนดี เราได้เจอกัน และพวกมันตัดสินใจควักกระเป๋าแบนๆ เลี้ยงเบียร์ผม ผมก็เลยจะบันทึกบนสนทนาของพวกมันเป็นการตอบแทน...

              (อ้อ เผื่อคุณอ่านเสร็จแล้วอยากเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง หรือแม้กระทั่งอยากด่า อยากแดก อยากสมน้ำหน้าพวกมัน เพื่อให้สะดวกกับคุณมากขึ้น ผมขอถือวิสาสะเรียกศิลปินพลัดถิ่นกลุ่มนี้ว่า “ศิลปินไม่มีชื่อ” และต้องก้มกราบหัวแม่โป้งตีนขวาของทุกท่านด้วย หากสำนวนแปลจะเป็นภัยต่อศีลธรรมอันดีไปบ้าง)

 

พวกมึงไปกวนส้นตีนเขาทำไม?

              กูมองว่าอย่างศิลปินที่แม่งพยายามพูดถึงเรื่องสังคม พูดไปทำไม เพราะว่าในโลกของการเมืองที่เขาเคลื่อนไหวจริงๆ มันเคลื่อนไหวมากกว่า ถ้าพูดถึงประเด็นสังคม ศิลปะใช้การไม่ได้ สำหรับกูนะ มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย

              อยู่ในแกลลอรี ในมิวเซียม กูว่ามันก็เท่านั้น มันอาจจะมีสัญญะให้คนไปอ่าน แต่คนที่จะเข้าถึงความรู้อันนี้ต้องเป็นคนแบบในแวดวงนี้ กูก็เลยงงว่าตกลงมันยังไง อีกอย่างกูมองว่าศิลปินมันมัวเมากับชื่อเสียงมากกว่า ในโลกศิลปะ แม่งเหมือนแยกโลกออกมาของแม่งเลย แม่งมีทุกอย่างเลย เหมือนโลกของความเป็นจริง มีเซเล็ป มีก็อด มีคิง มีทาส มีเหี้ยอะไร

               วงการศิลปะบ้านกูมันเป็นอย่างนี้ บางทีแม่งไม่เห็นด้วยกับเผด็จการ แต่ไม่กล้าออกตัว หรืองบประมาณหลายๆ อย่างที่ได้มาแม่งก็ทำโปรเจ็คขอเงินรัฐ ทุกอย่างมันกลายเป็นรวมศูนย์ที่รัฐบาล ถ้าไปแสดงงานอะไรแล้วเครดิตแม่งเสีย แม่งก็ถังแตก พอวงการศิลปะมันไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้ ทุนใหญ่จากรัฐก็กลืนมันไป ตอนนี้ไม่มีการถ่วงดุล ไม่มีคนรุ่นใหม่เลย หรือถ้ามี แม่งก็เดินตามระบบที่วางไว้

 

พวกนี้อยู่ในโลกของมันได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาสัมพันธ์กับคนอื่น?

                แต่จริงๆ มันก็ต้องสัมพันธ์นะ เพราะว่าถ้าเกิดมันไม่มีความสัมพันธ์กับอย่างอื่น ศิลปะมันไม่สามารถอยู่ได้ ศิลปะมันอยู่ได้เพราะคนรอบๆตัว ถ้าคนไม่มาเสพหรือมายุ่งเกี่ยว มันก็จะพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่อยู่ของมันเฉยๆ

                คนที่เล่นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องสังคมมันก็มี มันก็เล่น อยากให้คนมีส่วนร่วมหรืออะไร แต่เอาเข้าจริงก็อยู่ในแกลลอรี่ ในมิวเซียม สำหรับกูมันเหมือนการเล่นละคร

 

ขณะที่ศิลปินประกาศว่าศิลปะควรอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน แต่มันกลับจัดแสดงอยู่ในสถานที่ที่ไม่ได้อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน?

                กูมองว่ากราฟิตี้ยังเข้าถึงเรื่องพวกนี้มากกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องการเมือง เรื่องสังคมก็ได้ แค่มันประกาศอัตลักษณ์บนกำแพง กูว่ามันก็ทำงานกับคนแล้ว แต่ถ้าอันนี้ก็วนเวียนกันอยู่ในโลกศิลปะ

                โลกศิลปะแม่งซับซ้อน กูก็ยังไม่เข้าใจแม่งเท่าไหร่ มันคืออาชีพ แต่แม่งก็ดูไม่เป็นอาชีพ แม่งมีความเท่ว่ะ กูเรียน แล้วกูไปทำอย่างหนึ่ง กูก็รู้สึกแม่งเท่ กลายเป็นจิตสำนึกเฉยเลย บางทีก็ไปเหยียดคนอาชีพอื่น หรือเหยียดคนทำงานศิลปะแบบอื่น

                 สำหรับกูงานศิลปะต้องสะท้อนสังคม ไม่ได้หมายถึงงานศิลปะเพื่อชีวิตนะ แต่งานศิลปะต้องบอกสถานะ เวลา พื้นที่ ที่ตัวเองอยู่ ส่วนศิลปินสำหรับกู ก็ต้องทำมาหาแดกให้อยู่รอด จะด้วยศิลปะหรืออาชีพอื่นก็ตาม

 

ศิลปินจะมีปัญหา ถ้าถูกมองว่าเป็นอาชีพรับจ้างไม่ต่างจากอาชีพอื่น?

                  กูมองว่าศิลปินก็เป็นอาชีพหนึ่ง เหมือนคนอื่นทั่วไปที่ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้ตังค์ แต่ว่าเราจะหากลุ่มเป้าหมายที่เราจะขายงาน หรือขายเหี้ยไรได้เนี่ยมันอยู่ตรงไหน

                  บางทีก็ต้องแยกเป็นเคสๆ ไป บางกลุ่มก็มีที่ทำงานของแม่งไป ชีวิตประจำวันอาจเป็นคนรับจ้างทำกราฟฟิค ตัวศิลปินถ้าไม่ได้ดังถึงขั้นเซเลป มันก็ไม่ถึงกับอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง แต่มันก็มีบางคนที่ยึดพวกนี้เป็นเรื่องของอุดมการณ์

                 ศิลปินในโลกจริงๆ มันก็ไปสังกัดในแกลอรี่ที่จะซื้องานมัน แต่ก็มีศิลปินบางคนที่ไปทำเรื่องบางอย่างทางสังคมแล้วโดนยกเลิกสัญญาก็มี อย่างบางคนที่พวกกูรู้จัก

 

อย่างงี้คุณก็เป็นลูกจ้างของแกลอรี่ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าสถานะของคุณไม่เท่ากับลูกจ้างบริษัท?

                เป็นเรื่องของคนรุ่นเก่าที่สร้างความคิดว่าศิลปะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องจิตวิญญาณ คนในประเทศกูแม่งเข้าใจว่าศิลปะคือเรื่องของความดี สุดท้ายถ้าเราจะเอาเรื่องเลวๆ ไปนำเสนอมันก็เป็นเรื่องยาก

 

ศิลปะในประเทศมึงถูกทำให้กลายเรื่องของศีลธรรม ทั้งๆที่ความเป็นมนุษย์มันมีทั้งดี ทั้งเหี้ย?

                ใช่ คนทั่วไปมองว่าศิลปะเป็นเรื่องของศีลธรรม แม้แต่ภาพลักษณ์ของตัวศิลปินเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นตัวงานหรือการปฏิบัติตัว เหมือนดาราออกหน้ากล้อง ต้องพูดเรื่องดีๆ เพราะ บางทีชีวิตเราอาจเละเทะไปเลยก็ได้ ถ้าเกิดเราพูดอะไรไม่ถูกใจใคร 

                ศิลปินต้องเป็นคนดี คนเท่ คนเก่ง คนเข้าใจโลกอะไรอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกัน มันดูเหมือนเป็นคนฉลาดๆนะ ศิลปิน แต่บางทีกูว่าแม่งปัญญาอ่อนว่ะ

                แล้วมันพาให้เราต้องเป็นคนแบบนั้นไปด้วย บางทีเราเป็นคนที่แม่งนั่งแดกเบียร์ข้างถนน ทำงานศิลปะไปก็ไม่มีใครใส่ใจ พูดง่ายๆ กูไม่มีรสนิยม

                อย่างกูเคยไปซื้อเพลงแจ๊สแผ่นแรก คนขายแม่งบอกให้กูอ่านหนังสือ กูบอกไม่อ่าน อยากฟังไมล์ เดวิส แต่ไม่อยากอ่าน ขอฟังแบบกู ตีความแบบกู แล้วก็ทะเลาะกันเลย มึงต้องอ่าน มึงไม่เข้าใจ สรุปแล้วดนตรีมันต้องการอะไรบ้างที่จะเข้าไปเสพมัน กูแดกเหล้ากากๆ แต่กูชอบฟังเพลงแจ๊สได้ไหม

 

ถึงที่สุดแล้วก็เหมือนมึงเล่นเกมส์ มึงก็ต้องตามกติกาเขา ถ้ามึงไม่ตาม มึงก็จบเกมส์นี้ไปซะ ไม่ผ่านด่าน มึงไม่ได้มี 99 ชีวิต?

                ตอนนี้ชีวิตติดลบในด้านศิลปะ เพราะมันมีกติกาหรือมีกฎอะไรบางอย่างครอบงำอยู่ จริงๆแล้วศิลปะแม่งจะชอบบอกว่าตัวเองเป็นอิสระ แต่ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันมีกติกาบางอย่างที่ศิลปะจะเป็นศิลปะได้ แม่งมีจุดอะไรบางอย่างที่แม่งบอกว่าอย่างนี้เป็นได้ ไม่ใช่ทุกอย่าง กูคิดว่ามันมีกำแพงมากไปที่จะทำอะไรอย่างนี้ อย่างเราที่เคยถูกสอนมาว่าทุกอย่างมันเป็นอิสระจริงๆ แต่พอถึงตอนนี้กูรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวง มันไม่จริง มันโกหก

ทั้งๆที่เขาบอกว่ากติกานี้มันฟรีมากเลย เป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายก็กีดกันคนบางคน หรืองานศิลปะบางแบบ?

               นี่แหละ ตัวของศิลปินเองก็มีภาพลักษณ์ไปตามกติกาแบบนั้น ภาพลักษณ์นั้นอาจจะไม่ใช่ตัวจริงๆของแม่งก็ได้ แต่ถ้าอยากผ่านด่าน มึงก็ต้องใส่ชุดนี้วันนี้

               ความจริงเมื่อก่อนพวกกูก็ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการเมืองมาก ทำเรื่องปัจเจก แต่ก็เชื่อมโยงกับสังคมในระดับหนึ่ง แต่ตอนหลังๆ มันมีสถานการณ์การเมืองที่ทำให้เราสนใจ ก็ค่อยๆ คุยกับคนอื่น เริ่มศึกษา จากพื้นที่จริงบ้าง ประวัติศาสตร์บ้าง งานก็เริ่มเปลี่ยนไป หลังๆ งานตรงขึ้นเรื่อยๆ ก็มีคนท้วงติง ไม่พอใจ เขาก็บอกว่างานไม่มีชั้นเชิง คืองานศิลปะแม่งต้องมีชั้นเชิง ฮ่า

              พูดเรื่องนี้ก็พูดถึงโครงสร้างใหญ่ด้วย เช่นจะเข้าสู่ความรู้ที่จะไปถึงตรงนั้น กูว่าน้อยคนที่จะเข้าถึง น้อยคนที่จะสร้าง ดู รู้ หรือเสพได้ อย่างนี้ศิลปะก็คืออำนาจ มันพูดไม่ได้ว่าความเป็นตัวของตัวเองจะทำให้มึงเป็นศิลปิน

 

อาณานิคมคนบ้า: ชีวิตโง่ๆ #1

 

       ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองชวนปวดขมับที่บังคับให้เราไม่อาจละสายตาออกจากกระดานสนทนาในเฟซบุ๊คและคลื่นข่าวสารที่ประดังประเดมาทุกวินาทีได้นั้น

       ผม ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการหาทางออก...

บทสนทนาของศิลปินไม่มีชื่อ

              พวกมันจะเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง ชื่อเสียงเรียงนามหรือที่อยู่ตามบัตรประชาชนจะระบุไว้ว่ายังไงก็ช่างแม่งมันเถอะครับ คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักพวกมัน เพราะมันไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ เป็นนักปฏิวัติ หรือแม้แต่สิ่งที่มันเคยถูกคนอื่นนิยาม หรือที่ตัวมันเองเคยนิยามว่าเป็น “ศิลปิน”

รำพึงพันลำ: บาดแผลของความเงียบ

ชัชชวย คนทน

 

วัยเด็กมักจะหลงเหลือความทรงจำไม่กี่อย่างไว้ในหัวเรา

ในวันที่โตจนหมาเลียกะโปกไม่ถึง (แต่ยังกระโดดงับถึง) 

(ข้อนี้ท่านชายทั้งหลายต้องพึงระวังไว้ด้วย)

อาณานิคมคนบ้า!

 

ตรึกตรองอยู่นานก่อนจะเปิดกะโหลกหนาหนาของตัวเองออกเพื่อสำรวจดินแดนรกร้างและร้อนชื้น

ผมพบรอยเท้าสัตว์ป่าประหลาดจำนวนมากไม่อาจระบุจำนวนไม่อาจระบุรูปร่างหน้าตาไม่อาจระบุสายพันธุ์

และแน่นอน ย่อมไม่อาจระบุชื่อเรียก