Skip to main content

 

       ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองชวนปวดขมับที่บังคับให้เราไม่อาจละสายตาออกจากกระดานสนทนาในเฟซบุ๊คและคลื่นข่าวสารที่ประดังประเดมาทุกวินาทีได้นั้น

       ผม ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการหาทางออก...

       ไม่ได้ใหญ่โต หรือเฉียบแหลมพอจะหาทางออกให้กับประเทศที่เรารักยิ่งชีพนี้หรอกครับ เพียงแต่ต้องการหาทางออกให้กับตัวเอง

       ครับ ความขัดแย้งทางการเมืองรอบล่าสุดช่างยืดเยื้อยาวนาน ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดคำถามแหลมคมจำนวนมาก คำถามเหล่านั้นยังกินอาณาบริเวณกว้างมาก ตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมือง ไล่ลามไปจนถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว

       เรียกว่าตั้งแต่บนถนนราชดำเนิน แยกราชประสงค์ ขยับเข้ามาถึงหน้าจอโทรทัศน์ กระชับพื้นที่มาถึงโต๊ะกินข้าว

       แน่นอน ความขัดแย้งครั้งนี้ท้าทายให้หลายคนตั้งคำถามกับโลกรอบตัวมากขึ้น ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ผมย้อนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา

       ถ้าจะเรียกว่าผมเป็นคนโง่คนหนึ่ง เช่นเดียวกับที่ใครหลายๆ คนในประเทศนี้ก็ถูกตราหน้าว่า “โง่” ผมก็ชักอยากจะรู้ว่าไอ้ “ชีวิตโง่ๆ” ของผม มันเริ่มต้น หรือเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และอย่างไร

        นั่นจึงเป็นที่มาของการสะกดรอยกลับไปยังแต่ละย่างก้าวของชีวิต

        ไม่คาดหวังว่างานเขียนพวกนี้จะมีประโยชน์พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินหรอกครับ แต่อย่างน้อยมันน่าจะช่วยเหลือผม “เป็นการส่วนตัว” และถ้าเป็นไปได้ ก็อาจจะยังประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้คนที่แวะเวียน หรือบังเอิญมาอ่านเจอได้บ้าง

        ถ้าจะเริ่ม คงต้องเริ่มจากช่วงวัยที่พอจะเริ่มจดจำอะไรได้นิดๆ หน่อยๆ แม้จะไม่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราว แต่ฉากชีวิตแรกๆ ที่เพาะเชื้อให้เกิดชีวิตโง่ๆ ของผม น่าจะเริ่มต้นมาขณะที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาล  

        ทุกวัน ผมจะเลิกประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง ซึ่งเวลานั้นยังไม่ได้เวลาเลิกงานราชการของพ่อ ดังนั้น หลังเลิกเรียน ผมต้องเดินไปรอพ่อที่สำนักงานทนายความของลุง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของพ่อ

        ไม่มีเหตุการณ์ทารุณ หรือเรื่องร้ายแรงอะไรให้มูลนิธิปวีณามาช่วยเหลือหรอกครับ

        นอกเสียจาก วันทุกวันที่สำนักงานทนายความ ชีวิตของผมต้องหมุนวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่กับกิจวัตรเดิมๆ ที่ค่อนข้างเข้มงวด เพราะนิสัยส่วนตัวของลุงทนาย แกค่อนข้างเป็นคนเคร่งครัดและมีระเบียบวินัย

        แกเข้มงวดกับทุกคนครับ ตั้งแต่ลูกน้อง ลูกในไส้ และลามไล่มาถึงผม อย่างไรก็ตาม คงไม่ยุติธรรมนัก ถ้าจะวาดภาพให้แกเป็นเหมือนจอมเผด็จการ เพราะเมื่อมองกลับไป ในความเข้มงวดเหล่านั้นก็ชวนขันอยู่ไม่น้อย (แต่สำหรับผมในขณะนั้น คงไม่มีปัญญาจะมองเห็นแง่มุมพวกนี้)

        จำได้ว่าตอนนั้น แม้จะเลิกเรียนแล้ว ผมก็ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยตลอดเวลา กลับมาแล้วต้องกินนมหนึ่งกล่องให้หมด มิหนำซ้ำยังเป็นนมรสจืดซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะกระเดือกในวัยเด็ก ทั้งยังต้องพูดจาสุภาพเรียบร้อยมาก ๆ เช่น ต้องพูด “ครับ” ทุกครั้ง ต้องพูด “ทราบ” กับผู้ใหญ่ หรือบางครั้งหากผมซนเกินไป ลุงทนายก็จะดุ (ภาษาปักษ์ใต้เรียก “ขู่”) ด้วยท่าทีโผงผางแบบคนใต้อยู่เสมอ

        ผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านี้นำมาสู่อะไรน่ะหรือครับ คำตอบคงไม่ยากเกินกว่าจะจินตนาการ

       ใช่ครับ มันไม่ได้ปลูกฝังอะไรจริงๆ จังๆ เลยนอกจาก “ความกลัว” ที่ค่อยๆ หยั่งรากลงในจิตใจของผม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ปลุกให้ผมตั้งคำถามง่ายๆ ว่าระเบียบวินัย หรือแบบแผนเคร่งครัดที่ผมถูกบังคับให้ปฏิบัติตามนั้น ผมทำไป “เพื่ออะไร?” หรือทำไมเราต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามแล้วโลกนี้มันจะชิบหายวายวอดลงไปเลยหรือ ก็คงไม่ใช่

       แต่นับเป็นโชคดี หรือเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดมาของคนโง่อย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะขณะที่หน่ออ่อนของความกลัวเติบโตขึ้น แรงผลักให้ตั้งคำถามและสันดานขัดขืนการใช้ “อำนาจนิยม” ก็ค่อยๆ ก็ก่อตัวขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นผมอ่อนวัยเกินกว่าจะกล้าขัดขืน

        ผลข้างเคียงหรือ side effect ของกระบวนการอำนาจนิยม ไม่ว่าจะด้วยความปรารถนาดี หรือว่าจงใจประสงค์ร้าย ถึงที่สุดแล้ว ไม่ต่างกัน เพราะมันทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง จะทำอะไรก็ต้องรอฟังคำสั่ง หรือรู้สึกอยู่เสมอว่าถูกจับตามองจากดวงตาที่มองไม่เห็น แต่ที่แน่แน่ มันเป็นดวงตาของผู้ใหญ่

        ครับ มันทำลายความสามารถในการคิด ไม่ว่าจะเป็นการคิดด้วยหลักเหตุผล หรือด้วยจินตนาการ

        เมื่อไม่ค่อยได้คิดหรือตัดสินใจด้วยตัวเอง บ่อยเข้า ทำให้ไม่กล้าแสดงออก หรือแสดงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

        น่าเศร้านะครับ ที่ชีวิตหนึ่งไม่สามารถคิด พูด หรือเป็นตัวของตัวเองได้

        ในแง่หนึ่ง มันก็เหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุ เพราะสะสมไอร้อนไว้ภายในตลอดเวลา

        ขณะนั้น ผมเองก็ไม่ได้โตพอที่จะรับรู้ภาวะอารมณ์พวกนี้หรอกครับ เพียงแต่เมื่อมองย้อนกลับไปก็เริ่มเห็นเค้าลาง รูปรอยที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัว และเป็นแรงผลักให้เกิดเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ตามมา

       ใช่ครับ สิ่งที่ตามมา จะเรียกว่าปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่ผิดนัก

       แม้ช่วงชีวิตที่วนเวียนอยู่ในสำนักงานทนายความของผมก็ไม่ยาวนานนัก เป็นเวลาแค่ปีเศษๆ เท่านั้น แต่มันก็ฝากรอยเท้าที่แจ่มชัดเอาไว้ให้สะกดรอยจนถึงทุกวันนี้

       ที่สำคัญ แม้เป็นรอยเท้าแรกๆ ที่ดูเหมือนจะเลือนรางห่างไกล

       แต่แท้จริงแล้ว ไม่เลย.

บล็อกของ ชัชชวย คนทน

ชัชชวย คนทน
        ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองชวนปวดขมับที่บังคับให้เราไม่อาจละสายตาออกจากกระดานสนทนาในเฟซบุ๊คและคลื่นข่าวสารที่ประดังประเดมาทุกวินาทีได้นั้น       ผม ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการหาทางออก...
ชัชชวย คนทน
              พวกมันจะเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง ชื่อเสียงเรียงนามหรือที่อยู่ตามบัตรประชาชนจะระบุไว้ว่ายังไงก็ช่างแม่งมันเถอะครับ คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักพวกมัน เพราะมันไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ เป็นนักปฏิวัติ หรือแม้แต่สิ่งที่มันเคยถูกคนอื่นนิยาม หรือที่ตัวมันเองเ
ชัชชวย คนทน
ชัชชวย คนทน   วัยเด็กมักจะหลงเหลือความทรงจำไม่กี่อย่างไว้ในหัวเรา ในวันที่โตจนหมาเลียกะโปกไม่ถึง (แต่ยังกระโดดงับถึง)  (ข้อนี้ท่านชายทั้งหลายต้องพึงระวังไว้ด้วย)
ชัชชวย คนทน
  ตรึกตรองอยู่นานก่อนจะเปิดกะโหลกหนาหนาของตัวเองออกเพื่อสำรวจดินแดนรกร้างและร้อนชื้น ผมพบรอยเท้าสัตว์ป่าประหลาดจำนวนมากไม่อาจระบุจำนวนไม่อาจระบุรูปร่างหน้าตาไม่อาจระบุสายพันธุ์ และแน่นอน ย่อมไม่อาจระบุชื่อเรียก