Skip to main content

 

 

วันที่ 9 เดือน 5 ปีมะเมีย หลังการเคาะประหารโดยองค์กรอิสระ ผมมีอาการตกกะใจผมตั้งขนลุกซู่ เมื่อเห็นภาพชุลมุนอลหม่านของมวลชนชาวไทย ที่เตรียมห้ำหั่นบดขยี้กันอย่างเต็มพิกัด จนทำให้บ้านเมืองเริ่มเข้าใกล้สภาวะอนาธิปไตยขนานแท้

สำหรับความรู้สึกของผมในฐานะนักวิชาการธรรมดาคนหนึ่ง ผมแค่อยากจะบอกว่า หากชนชั้นนำและชนชั้นตามของแต่ละฝ่าย ยังคงต่อสู้และย่ำเหยียบอยู่กับวัฏจักรเดิมๆ กันอยู่อย่างนี้ ชะตากรรมของรัฐไทยอาจระส่ำระสายมากยิ่งกว่าเมื่อครั้งการล่มของพระนครศรีอยุธยาเสียอีก

เพราะนั่นมันเป็นเพียงแค่การพังทลายของโลกคนไทยที่มีศูนย์อำนาจแตะคลุมอยู่ที่ลุ่มเจ้าพระยา (เป็นส่วนใหญ่) หากแต่ว่า วิกฤติการณ์ความขัดแย้งขณะนี้ มันได้โบกสะบัดปริมณฑลแห่งความเกลียดชังแผ่คลุมไปทั่วดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นโลกของคนไทยอันยิ่งใหญ่และมหึมา ซึ่งไล่เรียงตั้งแต่เขตล้านนา ไปจนถึงเขตที่ราบสูงโคราช เขตคาบสมุทรมลายู และไม่เว้นแม้แต่ชุมชนไทยที่อยู่ต่างประเทศรอบโลก

ขณะเดียวกัน หากเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ รัฐบาลธรรมชาติจะปรากฏไปทั่วทุกแห่งหน ซึ่งจะมีมากกว่าระบบพหุก๊กช่วงหลังเสียกรุงครั้งที่สองอย่างแน่นอน โดยอาจมีทั้งก๊กสีแดง สีเหลือง สีดำ สีเขียว ฯลฯ แถมแต่ละสียังมีระดับความเข้มของโทนแตกต่างกันออกไป พร้อมมีการยึดครองฐานที่มั่นที่แบ่งแยกผ่าโซนกระจัดกระจายไปทั่วประเทศหรือทั่วทุกมณฑลทางสังคม เช่น ในโครงสร้างครอบครัว และ ในโลกออนไลน์

มิหนำซ้ำ สังคมไทยปัจจุบัน ก็ยังมิมีรัฐบุรุษและไพร่ผู้ทรงพลังอย่างแท้จริง เฉกเช่น ทัพพระเจ้าตาก หรือ ทัพพระเจ้าอลองพญาของพม่า ที่สามารถปราบยุคเข็ญ และ consolidate power พร้อมสร้างอาณาจักรใหม่ ได้อย่างรวดเร็วเกรียงไกร

ฉะนั้น คงจะหวังอะไรมิได้ หากจะมัวคิดแต่เรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกันไปเรื่อยๆ แล้วรอเพียงแค่อัศวินขี่ม้าขาวที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ค้ำจุนรัฐได้อย่างทันท่วงที เพราะผมคิดว่าเงื่อนไขของสังคมไทยปัจจุบัน อาจไม่เหมาะกับกรอบคิดเช่นนั้นเสียแล้ว แต่คงเหมาะกว่า หากปัจเจกบุคคลรู้จักที่จะเป็นรัฐบุรุษหรือไพร่ผู้ทรงเกียรติด้วยตัวของเขาเอง โดยหมั่นที่จะตั้งสติ มากกว่าใช้อารมณ์ ลับสายตาให้ยาวไกล ฝึกมองอะไรที่ลุ่มลึกรอบด้าน ไม่ให้ใครมาชักจูงเอาได้ง่ายๆ พร้อมเห็นใจเพื่อนร่วมชาติไม่ว่าเขาจะมีสีเสื้อที่ต่างจากเราแค่ไหน รวมถึงเปิดใจกว้างที่จะพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองและสมสมัยกับเพื่อนบ้าน

สำหรับสถานการณ์ในอนาคต หากคนไทยยังมัวแต่จมปลักอยู่กับการฆ่าฟันกันเองอยู่ต่อไป "The Fall of Great Power in Indochina" ต้องอุบัติขึ้นแน่นอน ก่อนหน้านี้ ไทยเคยเป็นรัฐที่เป็นตัวแบบการพัฒนาให้กับเพื่อนบ้าน รวมถึงเป็นที่พึ่งและที่พักพิงให้กับกลุ่มการเมืองต่างๆ ของเพื่อนบ้าน พร้อมได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐที่ทรงกำลังอำนาจรัฐหนึ่งในอาเซียน หากแต่คราวนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตร แกนนำการเมืองหลายคนต้องเดินทางเข้าไปขอพึ่งบารมีกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน กองทหารเพื่อนบ้านเริ่มมีการพัฒนาแสนยานุภาพอย่างต่อเนื่องจนน่าตกใจ ขณะที่หลายประเทศก็มีอัตราการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างน่าประทับใจ

(การพูดของผม ไม่ได้สอนให้เราเกลียดชังเพื่อนบ้าน เพราะการมองอย่างนั้น ล้วนเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความสงบสุขในภูมิภาคของเรา เพียงแต่ผมอยากจะให้รัฐไทยมีความเข้มแข็งมากกว่านี้ เข้มแข็งในระดับที่สามารถร่วมมือกับเพื่อนบ้านได้อย่างสง่างาม รวมถึงไม่ถูกมองว่าเป็นตัวป่วนที่คอยเอาแต่ส่งออกปัญหามะรุมมะตุ้มให้กับเพื่อนบ้านเหมือนอย่างที่เป็นอยู่)

จากอำนาจเชิงเปรียบเทียบของรัฐไทยที่ลดลงอย่างฮวบฮาบอันเป็นผลจากสภาวะกัดกร่อนทางการเมือง ผมจึงมีความรู้สึกที่อยากจะเป็นซูเปอร์ไซย่าขึ้นมา อยากระเบิดพลังปฏิรูปตัวเองให้เป็นผู้วิเศษที่เหนือชั้นกว่าตัวเราเมื่อในอดีต และอยากปลดปล่อยพลังเพื่อสร้างสรรค์ประเทศชาติร่วมกับผู้แข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ที่ใกล้เคียงกับเรา

โชคดีประเทศไทย หากพวกคุณยังมัวแต่ทะเลาะลงดาบสาดโคลนใส่กันจนบ้านเมืองฟอนเฟะระส่ำระส่าย ก็ขอให้เปิดใจแบ่งพื้นที่มาให้กับพวกชาวไชย่าที่ปฏิรูปตนเองอย่างจริงจังและพร้อมที่จะพัฒนารัฐด้วยพลังและความฝันอันเรืองรอง

 


ดุลยภาค ปรีชารัชช

 

บล็อกของ ดุลยภาค

ดุลยภาค
รัฐประหารที่ส่อเค้าล้มเหลวในตุรกีล่าสุด ให้บทเรียนราคาแพงต่อวิชา "รัฐประหารศึกษา” และ "การเมืองเปรียบเทียบ" โดยเฉพาะเรื่องบทบาททหารกับการเมือง
ดุลยภาค
กล่าวโดยสรุป รัฐจารีตอุษาคเนย์ มักคุ้นชินกับเกมสังเวียนพยัคฆ์-คชสาร ซึ่งถูกจัดขึ้นเพื่อสะท้อนประสบการณ์เชิงบวก-เชิงลบต่อสัตว์พื้นเมืองทั้งสองชนิด รวมถึงใช้เพื่อส่งสัญญะ แสดงพลังข่มขู่ขับไล่ผู้รุกรานต่างถิ่น แต่ขณะเดียวกัน เกมสังเวียนประเภทนี้ ก็ถูกใช้เพื่อตอบสนองมหกรรมบันเทิงของเหล่ากษัตริย์-ขุนนาง-ประชาชน ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรมากนักจากศึกสังเวียนโคลอสเซียมในจักรวรรดิโรมัน