Skip to main content


ผมเคยเลี้ยงวัวเป็นอาชีพ เริ่มจากลูกวัวกำพร้า2ตัว จากนั้นฝูงวัว(ควาย)ก็ค่อยๆขยายขึ้นจากเงินออมและเวลาที่อัดลงไป

วัว(ควาย)ทุกตัวมีชื่อทั้งหมด ถ้าไม่ใช่แฟนของผมก็ลูกของผมเป็นคนตั้ง ดอกหญ้า,แดงน้อย,มะลิ,กุหลาบ...ฯลฯ

อยู่ร่วมกันนานปีจนบางครั้งเราเผลอคิดว่ามันเป็นเพื่อน
.
วัว-ควาย เยอะเกินกำลังเลี้ยงก็ต้องหาทางจำหน่าย วัวหนุ่มกำลังดื้อ แม่วัวแก่หมดสภาพ ผมทำหน้าที่จำหน่ายจ่ายออก

นายฮ้อยคือทางออก ชายชาวลาว,ข่า,ภูไท หลากเชื้อชาติหลากวัยแวะเวียนมาเยี่ยมสม่ำเสมอ พวกเขารับซื้อวัวตามคอกเพื่อนำไปขายที่ตลาดหรือเขียงวัว

เมื่อถึงเวลาต้องจำหน่าย เราคิดหวังว่าอาจมีคนซื้อไปเป็นพ่อพันธุ์ต่อ เราคิดว่าอาจมีคนซื้อมันไปเลี้ยงเป็นแม่พันธุ์ต่อ ต่อลมหายใจยืดเวลาการที่จะต้องตกเป็นอาหารของมนุษย์ให้นานที่สุด

ขายวัวดื้อตัวล่าสุด มันดื้อ มันพยศ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่รู้ภาษา ขายให้นายฮ้อยไปด้วยราคาที่ทำให้เราพอจะลืมเลือนความผูกพันกับมันไปได้บ้าง
.
หลายวันผ่าน ผมลืมมันไปแล้ว ผมแวะไปซื้อเนื้อวัวมาทำอาหารกินที่บ้าน ผมไปซื้อที่เขียงเนื้อ เนื่องจากมันจะได้เนื้อที่สดและราคาถูกกว่าซื้อตามร้านค้าในหมู่บ้าน

ผมได้ยินเสียงร้องทักดังคุ้นหูมาจากคอกขังวัวที่รอการฆ่า มันเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยเวลาเอาน้ำเอาหญ้าไปให้ตอนที่เราเคยอยู่ร่วมกัน

ความรู้สึกบอกไม่ถูก นอกจากรายจ่ายค่าเนื้อหนึ่งกิโลเพื่อเป็นอาหารเย็นมื้อพิเศษสำหรับเราในวันนั้นแล้ว ยังเพิ่มรายจ่ายเป็นค่าเหล้าขาวขวดใหญ่กลิ่นฉุนรสขื่นคอ

จำไม่ได้ว่าเนื้อวัวในวันนั้น อ่อนนุ่มหรือหยาบเหนียวอย่างไร..

ผมเลิกอาชีพนี้ ไม่ใช่เพราะอ่อนไหวสะเทือนใจ แต่เพราะมันไม่ได้ทำเงินให้ได้เหมือนดังใจ ได้แค่พออยู่ ไม่มีงอกเงย แถมยังเหนื่อยหนัก 

ทำงานกับคนน่าจะดีกว่า น่าจะไม่โศกสลดรันทดเท่า

แต่ไม่ใช่!! เรื่องงี่เง่าระยำอัปรีย์ยังมีมาไม่หมด"""

สนใจขุดคุ้ยข่าวการเคลื่อนไหวของฮาร์ดคอร์การเมือง 

คุก และ ศาล เป็นสถานที่ต้องเหยียบย่างเข้าไปเป็นบางครั้ง

ในวันอันสับสนอลหม่าน ขณะที่ญาติมิตรลูกเมียตระโกนถามไถ่แลกเปลี่ยนสารทุกข์กับผู้ถูกกักขังอยู่ภายใน 

ผมจ้องจังหวะจะเข้าไปหาเศษเสี้ยวข้อเท็จจริงมานำเสนอ

พลันนั้นผมได้ยินเสียงร้อง"ทัก"ด้วยความคุ้นเคยอีกครั้ง

มันดังออกมาจากหลังลูกกรงห้องขัง

เสียงทักระบุถึงประสบการณ์ร่วมในอดีตของเขากับผม ชวนให้รำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน ในวันที่ผู้ต้องขังจากคดีการเมืองเต็มคุก

ในสภาพที่แกนนำหลุบหายหลังการพ่ายแพ้ใหญ่ปี 53 

ช่างเครื่องหนัง ที่เลี้ยงชีพด้วยการขายผลงานของเขาในตลาดราตรี ออกตัวออกหน้ามาช่วยเหลือวิ่งเต้นให้กับผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม 

ผมมีโอกาสได้คุยและได้แวะไปถึงสถานที่ๆเขาเรียกว่าบ้านพักในตอนเช้า. 

จำได้เพียงแค่วันนั้นเป็นเช้าอันอึดอัด พื้นถนนอันขรุขระที่ทอดสู่ที่พำนักของเขาเจิ่งนองด้วยน้ำฝน "เฉอะแฉะ"

วันนี้เปลี่ยนไป เขาได้เปลี่ยนจากคนที่วิ่งเต้นช่วยเหลือเหยื่ออธรรมมาเป็นเหยื่อเสียเอง 

เป็นเหยื่อในข้อหาร้ายแรงพอที่จะทำให้ชายกลางคนผู้นี้จบชีวิตลงในห้องขังได้

ความเลวร้ายของผมก็คือ ในวันนี้"ผมจำเขาไม่ได้"

ขณะที่เขายังจำผมได้ แต่ความฉาบฉวยและจืดจางไร้น้ำใจได้ทำให้ผมลืมเขาไปแล้ว.


https://www.facebook.com/sarayut.tangprasert/posts/802271739816979?notif_t=like

 

บล็อกของ gadfly

gadfly
  เห็นบนเฟซบุ๊กมีการพูดกันบ่อยๆว่า แกนนำ นปช.พาคนไปตาย พาคนไปติดคุก แกนนำไม่รับผิดชอบกับชีวิตของมวลชน ผมคิดว่ามันเป็นข้อกล่าวหาโจมตีผู้อื่นเพื่อเป็นการยกตนขึ้นสูง หรืออีกนัยหนึ่งคือมันเป็นข้อกล่าวหาทางศีลธรรม
gadfly
ผมคิดว่าผู้ที่ให้บทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ก็คือ ทหาร รัฐบาลทหาร และ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
gadfly
เมื่อคืนผมไม่ได้ดื่มเหล้า เลยเกิดอาการตาสว่าง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะหลับ และกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปเกินตีสาม .หลับแล้วก็ยังฝันต่ออีก.ฝันว่าได้กลับไปอยู่บ้าน บ้านก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม แต่สภาพแวดล้อมรอบบ้านกลับเปลี่ยนไป มันกลายเป็นทุ่งหญ้า กว้าง กว้าง และกว้าง...
gadfly
เมื่อคิดถึงเรื่องโอกาสทางการศึกษา ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตาม กม.อาญา มาตรา 112ผมคิดถึงนักศึกษาสองคนคนหนึ่งเรียนอยู่ ม.เทคโนโลยีมหานคร คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีสุดท้าย เขาชื่ออัครเดช ชื่อเล่นว่า เค
gadfly
อ่านข้อถกเถียงในประเด็นเรื่องฟรีสปีช เฮทสปีช ความรุนแรง เสรีภาพในการแสดงออก ฯลฯ ของบรรดาปัญญาชนมากมาย แต่ใจกลับย้อนคิดถึงเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งอาจไม่เกี่ยวไม่ข้องกับเหตุการณ์ข้างต้นเลย ก็เลยลองยกมา