Skip to main content



เวลาที่นักเลงใหญ่สมัยก่อนจะฟาดปากกันให้'รู้หมู่รู้จ่า'มันก็ใช้เวลานานพอสมควร เริ่มต้นอาจมีการด่าฝากปรามาสหน้าให้ประชาชีเก็บไปบอกฝ่ายตรงข้าม ตอบโต้ไปมาซักระยะ

หลังจากนั้นก็ใช้วิธีตีฝาก ดักตีเพื่อนพ้อง ลูกน้อง คนสนิทฝ่ายตรงข้าม ไม่ถึงตาย แค่พอได้แผล นัยยะว่าฝากแผลไปให้ฝ่ายตรงข้าม

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวก็ประเคน หมัด ไม้ มีด ปืน เข้าใส่กัน ก็ได้เจ็บกันถ้วนหน้า เผลอๆก็ตายหรือได้ไปโรงพัก

จบๆกันไป

ช่วงที่ทำกิจกรรมแรกๆก็เจอพฤติกรรมคล้ายๆกันในหมู่นักเคลื่อนไหวอาวุโส

สมัยเป็นละอ่อน เข้าสู่แวดวงด้วยสายตาสดใส เฮ้ยพี่คนนั้นคนเดือนตุลา พี่คนนี้เข้าป่าปฏิวัติ อุดมการณ์ไม่เปลี่ยนเรยยย... ยังสังคมนิยมเหมือนเดิมเว้ยเฮ้ย !

พบเห็นเป็นไม่ได้ ต้องหาทางเข้าหา ขบวนการสังคมนิยมยังอยู่ๆๆ ท่องซ้ำๆอยู่ในใจ ฮึกเหิม

มีโอกาสทำกิจกรรม และได้นั่งกินเหล้าด้วยหลายกลุ่มหลายวง (ยังไม่ถึงขั้นกระดิกหางวิ่งซื้อโซดาน้ำแข็ง หรือต้องเป็นมือชงเหล้าให้) ก็เริ่มเห็นอาการ

จะว่าเริ่มเห็นก็ไม่เชิง อาจเรียกว่าก็เริ่มโดนมากกว่า โดน'ด่าฝาก' จนหลังๆมากลายเป็นการ 'ตีฝาก'

ไม่ได้'ตี'จริงๆ ก็แค่ด่าแรงๆ 'มึงมันเด็กไอ้นั่น' มึงมีอิทธิพลความคิดไอ้นี่' ผมนั่งน้ำตาตกหลายหน ขณะคิดหาสาเหตุว่า ขณะที่ทั้งวิธีการและเป้าหมายก็แทบจะไม่ต่างกัน ทำไมพวกมึงถึงได้ช่างสรรหาความต่างมาได้อย่างมากมายก่ายกองอย่างนี้

ระยะหลังโดนตีฝากจนแผลแห้งตกสะเก็ดไม่ทัน ในวงเหล้าวงหนึ่ง (เขาชอบเรียกกันว่าวงเคลียร์ใจ) พวกอดีตคนเดือนตุลา นักปฏิวัติแม่งก็ยังคุยเรื่องเดิมๆ คาดคั้นเอาเป็นเอาตายกับพวกเด็กๆซึ่งรวมผมอยู่ด้วยว่าจะเลือกข้างไหน ? เชื่อใคร?

ผมหลุดปากคำว่า 'XXX' ออกมาพร้อมกับน้ำตาไหลอีกรอบ

วงแตกแบบสันติวิธี เนื่องจากปัญญาชนไม่มีขีดความสามารถในการใช้ความรุนแรง ขาใหญ่ลุกหนีกลับบ้าน ส่วนตัวผมก็ได้สังกัดค่ายเป็นที่เรียบร้อย แบบไม่ต้องสมัครใจ และไม่ต้องเขียนใบสมัคร

ความจริงมันก็ไม่ได้ต่างอะไรในแต่ละค่าย ทำงานกันแบบหมาไม่แดก ที่เห็นเป็นเรื่องเป็นราวไม่เลิกรานอกจากการแดกเหล้าแล้วก็เรื่องการด่าทอจิกกัดกัน

ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากคนสู่คนแบบไม่ยอมเลิกรา เกิดวัฒนธรรมกลุ่มก้อน/ก๊วน ฟาดเหวี่ยงใส่กันจนบางทีก็ค้นหาต้นเรื่องไม่เจอแล้วว่าสาเหตุมันมาจากอะไร

ลืมไปแล้วว่าปัญหาเริ่มต้นจากอะไร

เดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะ มีสื่อออนไลน์ มีเฟซบุ๊ก วัฒนธรรมนักเลงข้างถนนสมัยเก่าก็เลยน่าจะหายไป แทนที่จะ 'ด่าฝาก' หรือ 'ตีฝาก' ไปกับพวกลูกกระจ๊อก ก็ใช้วิธีด่าฝากลอยๆบน เฟซบุ๊ก ๆไม่เจ็บ ไม่ช้ำ คนด่าก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการโดนแจก XXX

แต่ถ้าจะให้ดีผู้พูดก็ควรจะแยกแยะว่า สารที่ถูกสื่อออกไปมันต้องการสื่อเฉพาะบุคคลหรือสื่อต่อสาธารณะ

แต่ก็ยังดีที่คนรุ่นหลังได้ติดตามได้คิด เลือกเก็บรับ ไม่ต้องถูกตีฝากไปฝากมาจนเสียผู้เสียคน หรือต้องรับวัฒนธรรมมาเฟียเข้าแก๊งกวนเมือง ยกพวกทิ่มแทงกันด้วยคำพูด รับมรดกทางวัฒนธรรมจัญไรต่อ ยกเว้นแต่จะเลือกทางสายนั้นเอง

แต่ที่น่าเสียดายที่ในที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้ข้อยุติกันอยู่ดี ถ้าเป็นนักเลงข้างถนนก็คงกระซวกกันเจ็บตายกันไปข้างนึง ไม่กระดี๊กระด๊า หาเรื่องรบราฆ่าฟันจัญไรไปเรื่อยๆ แบบนี้



ที่มา: https://web.facebook.com/sarayut.tangprasert/posts/1040132379364246?pnref=story
 

บล็อกของ gadfly

gadfly
  เห็นบนเฟซบุ๊กมีการพูดกันบ่อยๆว่า แกนนำ นปช.พาคนไปตาย พาคนไปติดคุก แกนนำไม่รับผิดชอบกับชีวิตของมวลชน ผมคิดว่ามันเป็นข้อกล่าวหาโจมตีผู้อื่นเพื่อเป็นการยกตนขึ้นสูง หรืออีกนัยหนึ่งคือมันเป็นข้อกล่าวหาทางศีลธรรม
gadfly
ผมคิดว่าผู้ที่ให้บทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ก็คือ ทหาร รัฐบาลทหาร และ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
gadfly
เมื่อคืนผมไม่ได้ดื่มเหล้า เลยเกิดอาการตาสว่าง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะหลับ และกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปเกินตีสาม .หลับแล้วก็ยังฝันต่ออีก.ฝันว่าได้กลับไปอยู่บ้าน บ้านก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม แต่สภาพแวดล้อมรอบบ้านกลับเปลี่ยนไป มันกลายเป็นทุ่งหญ้า กว้าง กว้าง และกว้าง...
gadfly
เมื่อคิดถึงเรื่องโอกาสทางการศึกษา ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตาม กม.อาญา มาตรา 112ผมคิดถึงนักศึกษาสองคนคนหนึ่งเรียนอยู่ ม.เทคโนโลยีมหานคร คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีสุดท้าย เขาชื่ออัครเดช ชื่อเล่นว่า เค
gadfly
อ่านข้อถกเถียงในประเด็นเรื่องฟรีสปีช เฮทสปีช ความรุนแรง เสรีภาพในการแสดงออก ฯลฯ ของบรรดาปัญญาชนมากมาย แต่ใจกลับย้อนคิดถึงเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งอาจไม่เกี่ยวไม่ข้องกับเหตุการณ์ข้างต้นเลย ก็เลยลองยกมา