Skip to main content

============================ ปากหมาหาเรื่อง บ่นบ้า (อย่าถือสาหาสาระ) ============================

 

....


1. เมื่อไผ่เป็นแนวหน้า
 

จากกรณีแชร์คลิปข่าว BBC Thai หลังจากที่ไผ่ได้ประกันตัวออกมาในวันที่ 6 ธันวาคม 2559 ขณะนั่งในรถ ไผ่เปิดดูเฟซบุ๊กของมันแล้วก็พบกับทั้งเสียงชื่นชมให้กำลังใจ และ"เสียงกระซิบ"ติติงจากกูรูผู้รู้การเมือง 

คนที่ชื่นชมบอกว่าไผ่เป็นแนวหน้า ส่วนกูรูต่างๆ ติติงว่าไผ่ "อยู่ไม่เป็น"

มันยังอารมณ์ดีเหมือนเดิม มันหันมาหัวเราะเล่าให้ผมซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังฟังแล้วก็หันกลับไปโพสต์สเตตัสแรกหลังจากได้รับการประกันตัว

"ผมไม่ได้อยู่เเนวหน้า ผมก็อยู่ของผมแบบนี้ แค่พวกคุณถอยไปเฉยๆ 555"

ผมนึกภาพเห็น"ไผ่"ยืนหลับตาฝันหวานอยู่ในแนวรบท่ามกลางขบวนการประชาชนดูใหญ่โตขรึมขลัง แต่พอสถานการณ์เปลี่ยน "ไผ่"ลืมตาตื่นขึ้นกลายว่ามันแนวหน้ายืนเดี่ยวอยู่คนเดียว เหลียวซ้ายแลขวาเห็นฝ่ายก้าวหน้ากลับไปประจำฐานที่มั่นอยู่ไกลลิบตาซะแล้ว

ภาพที่ผมคิดมันดูตลกจนทำให้ผมอดไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมาดังๆ

แต่สเตตัสข้างต้นกลายเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ถูกนำมาประกอบเป็นหลักฐานในการยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งถอนประกันตัว และทำให้ไผ่ต้องกลับเข้าคุกอีกรอบ

 


2. ภาพประทับ


ก่อนหน้านั้น หลังรัฐประหาร ผมได้เห็นการไล่ล่าจับกุมคุมขังประชาชนผู้เห็นต่างจากรัฐโดยเป้าประสงค์ทางการเมือง เห็นกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายได้กลายเป็นแค่เครื่องมือค้ำบัลลังก์คณะรัฐประหาร

ผมได้เห็นภาพของการพลัดพรากแบบนับครั้งไม่ถ้วน เหลือจดเหลือจำ 

มันทำให้ผมไมใส่ใจแล้วกับชีวิตตัวเอง เพราะการต้องได้พบได้เห็นกับสิ่งที่เป็นอยู่มันทำให้ผมรู้สึกว่า ระหว่างการมีชีวิตอยู่กับความตาย ระหว่างการมีเสรีภาพกับการถูกจองจำอยู่ในเรือนจำมันไม่ได้มีอะไรต่างกัน

ล่าสุดผมก็ต้องเห็นไผ่ถูกนำตัวเข้าเรือนจำอีกครั้ง

 


3.เมื่อหูผมได้ยินเสียงกระซิบ


แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่เพียงแค่ภาพความโหดร้ายที่ผมเห็นอยู่เท่านั้น ทำให้ผมต้องเป็นอย่านี้ แต่มันมีเสียงกระซิบเตือนอยู่เสมอมา

ต้องพยายาม"ค่อยๆ" ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบ ต้องมองวิเคราะห์สถานการณ์ข้างหน้ายาวๆ ต้องอย่าจมอยู่ในความมืด ต้องฝันไกลๆ ไปถึงโลกหลากสี พรรคการเมืองในอุดมคติ บลาๆๆ

เตือนให้ "อยู่เป็น"

ผมอยากจะบอกว่าสภาวะความเจ็บปวดที่ผมเผชิญอยู่ เกิดจาก"เหตุผลอันสุดสูงส่ง" พวกนี้ด้วย 

ในขณะที่ภาพความโหดร้ายยังประจักษ์อยู่ข้างหน้า กลับมีเสียงกระซิบให้ผินหน้าหนี มองผ่านก้าวข้ามมันไป

ตลกร้ายที่เสียงกระซิบเหล่านี้ดังออกจากปากนักอุดมคติ ปัญญาชน เจ้าของทฤษฎี นักเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม 

มันเป็นเสียงจากคนที่เคยยืนชูกำปั้นอยู่ข้างหน้าผมในช่วงกระแสสูง คนที่เคยประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลง ปฏิวัติ โค่นล้มความไม่เป็นธรรมทั้งหมดทั้งมวลทั้งสิ้น

ผมไม่สามารถยอมรับเหตุผลเหล่านี้ได้ เพราะโดยแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่ "เหตุผลประโลมโลกย์"เท่านั้น และสรุปว่าเสียงเหล่านี้บอกเพียงว่า ให้ผม "อยู่ให้เป็น" เท่านั้น

มันโหดร้ายมากยิ่งกว่าภาพการใช้อำนาจ ทรมาน จับกุม คุมขัง ของเผด็จการทหาร

นี่คืออีกปัจจัยที่ทำให้ผมต้องถูกมองว่ามีอาการป่วยทางจิต

 


4.ต้องบำบัด!!!
 

เพื่อนขี้สงสารบางคน เสนอให้ผมไปเข้าคอร์สจิตบำบัด ผมปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่า คนที่สมควรได้รับการบำบัดมากกว่าผมก็คือบรรดาเหล่าเจ้าของเสียงกระซิบเจ้าของเหตุผลกำมะลอข้างต้น

เพราะที่จริงแล้วเจ้าเสียงกระซิบ "ประโลมโลกย์" เหล่านั้นมันมีไว้เพื่อเสพ บำบัดรักษาตัวตนให้กับเจ้าของเสียงมากกว่า ผม หรือ ไผ่ หรือใครอีกหลายคนเป็นเพียงแค่องค์ประกอบ

ที่สำคัญ เพียงแค่พวกเขาคิดอย่างนี้ พวกเขาก็สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงในสถานการณ์ที่ประเทศถูกปครองโดยรัฐบาลทหาร 

เจ้าของเสียงกระซิบ หรือบรรดาคนที่"อยู่เป็น" ต่างหากที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่เข้าคอร์สจิตบำบัด 

 



หมายเหตุ: บันทึกเมื่อ: 24 ธันวาคม 2559 


ที่มา: https://www.facebook.com/sarayut.tangprasert/posts/1373249546052526

 

บล็อกของ gadfly

gadfly
  เห็นบนเฟซบุ๊กมีการพูดกันบ่อยๆว่า แกนนำ นปช.พาคนไปตาย พาคนไปติดคุก แกนนำไม่รับผิดชอบกับชีวิตของมวลชน ผมคิดว่ามันเป็นข้อกล่าวหาโจมตีผู้อื่นเพื่อเป็นการยกตนขึ้นสูง หรืออีกนัยหนึ่งคือมันเป็นข้อกล่าวหาทางศีลธรรม
gadfly
ผมคิดว่าผู้ที่ให้บทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ก็คือ ทหาร รัฐบาลทหาร และ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
gadfly
เมื่อคืนผมไม่ได้ดื่มเหล้า เลยเกิดอาการตาสว่าง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะหลับ และกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปเกินตีสาม .หลับแล้วก็ยังฝันต่ออีก.ฝันว่าได้กลับไปอยู่บ้าน บ้านก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม แต่สภาพแวดล้อมรอบบ้านกลับเปลี่ยนไป มันกลายเป็นทุ่งหญ้า กว้าง กว้าง และกว้าง...
gadfly
เมื่อคิดถึงเรื่องโอกาสทางการศึกษา ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตาม กม.อาญา มาตรา 112ผมคิดถึงนักศึกษาสองคนคนหนึ่งเรียนอยู่ ม.เทคโนโลยีมหานคร คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีสุดท้าย เขาชื่ออัครเดช ชื่อเล่นว่า เค
gadfly
อ่านข้อถกเถียงในประเด็นเรื่องฟรีสปีช เฮทสปีช ความรุนแรง เสรีภาพในการแสดงออก ฯลฯ ของบรรดาปัญญาชนมากมาย แต่ใจกลับย้อนคิดถึงเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งอาจไม่เกี่ยวไม่ข้องกับเหตุการณ์ข้างต้นเลย ก็เลยลองยกมา