Skip to main content

เรื่องของเรื่อง คือว่า เพื่อนผมไปอินเดีย ดินแดนแห่งโลกอารยธรรมตะวันออก ..
มันว่าของมันว่า ภาพสวยมากนะแก ..
ผมตาโต ..เท่าไข่นกกระจอกเทศ

ผมเลยถือโอกาสให้มันเล่าเรื่องที่อินเดียให้ฟัง ..
“แก ชั้นไปอินเดียมา” มันว่า แถมต่อท้ายอย่างน่าฟัง “นั่นหน่ะ เป็นประเทศที่ชั้นอยากไปเป็นอันดับหนึ่งเชียวนะ”

เมืองระดับอารยธรรมเก่าแก่ของโลก เต็มไปด้วยนักพรตในกลิ่นอายของศาสนาฮินดูอย่างในหนังสารคดี โยคีริมฝั่งแม่น้ำคงคา วัดฮินดู อย่างภาพของเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก

หรือทัชมาฮาล อย่างในภาพทัวร์ท่องเที่ยว (อันหลังนี่ผมนึกภาพเอาเอง อิอิ)

หลังจากที่เครื่องลงจอดเมืองกัลกัตตา สนามบินแห่งนั้นดูทรุดโทรม ที่น่าสังเกต “ชั้นมองไม่เห็นผู้หญิงเลยสักคน” มันขึ้นเสียงสูง พนักงานจะเป็นผู้ชายในชุดแต่งกายลำลอง ไม่อยู่ในยูนิฟอร์มใดใดที่ให้เชื่อได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสนามบิน นอกจาก ชายในเครื่องแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

เมื่อจับแท็กซี่ออกจากสนามบินมุ่งเข้ามหานครกัลกัตตาได้ “รถติ๊ดติดว่ะแก ไม่ได้ติดแหง็กแบบบ้านเรานะแต่ดูวุ่นว๊ายวุ่นวายมากกว่า” ที่สำคัญ มันออกปากว่า ถนนอินเดียเหมือนไม่มีเลน บีบแตรอย่างเมามัน (บ่อยครั้งนานกว่า 10 วินาที) และดูเหมือนว่าทุกคนร่วมใจกันทำกิจกรรมทุกอย่างบนถนน

ราวกับว่าคนเมืองนี้พร้อมใจกันออกจากบ้าน .. คนเดินทาง ,ฝูงแพะ ,ไม้ไผ่ในเกวียนสำหรับสร้างปราสาทจำลองในเทศกาลทางศาสนา ,คนขี่จักรยาน ,คนทูนของบนหัว ,รถหกล้อก่อสร้าง ,รถแท็กซี่

ราวกับว่าคนในเมืองนี้พร้อมใจกันออกจากบ้าน มันย้ำ

หญิงสาวแปะบินดี (เครื่องประดับชนิดหนึ่งที่หญิงชาวฮินดูใช้แปะระหว่างคิ้วเพื่อความสวยงาม) ในชุดสาหรี่สีฉูดฉาด (ฟ้าเหลืองชมพู บานเย็น แดงม่วงเขียว) กะเตงลูก ยืนโปรยรอยยิ้มอิดโรยอยู่บนฟุตบาธ เมื่อรถวิ่งเข้าในเขตกลางเมืองทุกอย่างจะจอแจยิ่งขึ้น ยิ่งรถติดไฟแดงจะมีเด็กๆ มาเคาะกระจกขอเงิน        
“แกลองคิดดู กลางสี่แยกแท้ๆ มีคนมายืนสีฟัน อาบน้ำ กันจะจะ”

โรงแรม Lytton กลางเมืองกัลกัตตา ตกแต่งสไตล์อังกฤษจ้าวอาณานิคม กลายเป็นที่พักชั่วคราวของมัน ทั้งอึม ครึมและสมถะในขณะเดียวกัน ทั้งในแง่ของสีพื้นหรือการใช้เฟอร์นิเจอร์

หนุ่มวัยกลางคนขับเมอร์ซีเดส เบ๊นส์ SLK แบบสปอร์ต เปิดประทุน เข้ามาที่ลานหน้าโรงแรม “จอดปุ๊ปนะแก พนักงานแทบกระโดดเข้าต้อนรับ” ชายหนุ่มลงจากรถโยนกุญแจให้พนักงานอีกคนเอารถไปจอด

ไม่ไกลนัก เพิงเล็กๆ หลายหลัง ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา

“เหลือเชื่อว่ะ” มันครางออกมา

india
สองบล็อกถัดจากโรงแรม หนุ่มใหญ่นายนี้ เข็นจักรยานขนผักซะจนมองเห็นเส้นเอ็นปูดโปน

india
ชุมทางรถ คุณแม่วัยแรกรุ่นอุ้มลูกรอรถ

india
หนุ่มขายมะนาวและมันฝรั่งพร้อมตาชั่งแบบโบราณ เสนอขายสินค้าของเขาอยู่ริมฟุตบาธไม่ไกลจากชุมทางรถ

india
แท็กซี่กัลกัตตา ระหว่างรอผู้โดยสาร อ้อยอิ่งไปกับความเคลื่อนไหวที่เห็นตรงหน้า

india
กราฟฟิตี้แบบอินเดีย

india
กลัวหาย!

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อยู่ดาก้าเพียง 2 วัน มันถูกส่งขึ้นดอยแดนดงป่า อีกแล้ว (ตรงนี้เพื่อนผมอุทธรณ์ว่า เหมือนอยู่เมืองไทยไม่มีผิด กำ) “ต้องไปเมืองอะไรครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการถาม ‘จิตตะกอง’ “โห โหดน๊า” นั่นหมายถึงคำปลอบโยน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อีกครั้งที่ ‘เพื่อนผม' มันไปสังเกตุการณ์การเลือกตั้งในบังคลาเทศ (แล้วผมก็เอามาเขียน 555) (จริงๆ มันไปเมื่อนานมาแล้วสักครึ่งปีเห็นจะได้)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็นก่อนออกจากเปียงหลวง คือ ทิวเขาลูกนั้นในสายหมอกโอบอ้อมกับรอยยิ้มอิ่มบุญของคนไต งานปอย-ส่างลองสิ้นสุด พร้อมกับคอนเสริ์ตทิ้งท้ายที่เล่นกันค่อนรุ่ง ความรื่นเริงของคนหนุ่มสาวและส่างลองที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งธรรม
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมคิดว่าโครงใบหน้าของคนไตดูสวยดี โดยเฉพาะ ,ผู้หญิง ถึงแม้ว่า วันนี้ พวกเธอหลายคนจะต้องออกไปหางานทำนอกหมู่บ้าน , สิ่งที่มากกว่านั้น คือ ความรักและแรงศรัทธาในการร่วมงานบุญ ,และรอยยิ้มของพวกเธอ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ศูนย์พักรอกุงจ่อ คือ พื้นที่ของผู้หนีภัยการสู้รบจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลทหารพม่า นับจากปี 2545 ชาวไต(ไทใหญ่)ร่วมหนึ่งพันคน เดินเท้าเข้าประเทศไทยทางด่านหลักแต่ง...!!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
พ่อส้านและส่างลอง เป็นภาพที่คู่กัน ส่างลองอยู่ที่ไหน พ่อส้านจะอยู่ที่นั่น แต่ละคน แต่ละคู่ ต่างมีลีลาที่แตกต่างกันออกไป ... เชื่อกันว่า ได้บุญใหญ่ ส่างลองในวันนี้จะเป็นพ่อส้านที่ดีในวันหน้า ทั้งนี้ ตามความสมัครใจ เช้า ขี่คอแห่ส่างลองไปตามวัด บ่ายแก่ได้พัก กลางคืนนอนเฝ้าส่างลองหลังซุ้ม ครบ 5 วัน เชื่อกันว่า ได้ขึ้นสวรรค์ !!! ดูลีลาของพวกเขาสิครับ .....
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
บริเวณสนามฟุตบอล โรงเรียนบ้านเปียงหลวงเต็มไปด้วนสีสัน สีสันงานบุญซุ้มส่างลองทั้ง 107 ซุ้มกระจายอยู่โดยรอบสนามฟุตบอล เวทีดนตรีใหญ่หันหน้าประชันกับเวทีลิเกไทใหญ่หรือ "จ๊าดไต" เวทีใหญ่เล่นดนตรีทันสมัย โครงสร้างเวทีทำด้วยแกนเหล็กประกบเสาสูงราวเมตรครึ่ง ,ส่วนเวทีจ๊าดไตทำจากโครงไม้ไผ่ทั้งหลัง ปูพื้นด้วยแผ่นไม้กระดาน ฝาด้านหลังทำด้วยใบตองตึงสีน้ำตาลแห้งเก่าทะลุมองเห็นด้านใน ,วงดนตรีเครื่องสายดีดสีตีเป่าครบ ,นางรำแต่งหน้าทาปาก พันคอด้วยผ้าแถบมันเลื่อม ด้านตรงข้ามแดนเซอร์ชาวดอยวิ่งกระจายออกมาหน้าเวทีใหญ่
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีดโกนด้ามใหม่ สีดำสนิท บรรจงกรีดลงไปตามไรผมแต่ละเส้น ส่างลองทุกคนรู้ดีว่า พิธีกรรมต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกว่าผมจะหมดศีรษะ บางคนใบหน้าเหยเก บางคนถึงกับร้องไห้ จนพระพี่เลี้ยงและพ่อแม่ต้องหยุดใบมีดเอาไว้ก่อนแล้วตักน้ำส้มป่อยราดหัว ฟอกด้วยยาสระผมแล้วเริ่มโกน โกนจนหมดศีรษะ !!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
รถตู้กลางเก่ากลางใหม่ของบริษัทดาวทองขนส่ง จำกัด ออกจากสถานีช้างเผือก 10.30 น. หนุ่มใหญ่วัย 40 เศษ ไว้เคราบางๆและสวมแว่นตาดำตลอดเวลาซิ่งเจ้าเพื่อนยากปุเลงไปตามสันเขาน้อยใหญ่บนเส้นทางเชียงใหม่-เปียงหลวง 161 กิโลเมตร แดดฤดูร้อนจัดจ้านขับให้ดอกหางนกยูงสีแดงข้างทางสดเข้ม ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ผ่านอำเภอเชียงดาวถึงแยกเมืองงาย เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายแม่จา-เปียงหลวง ก่อนที่เส้นทางจะไต่ไปตามสันเขาคดเคี้ยว หนุ่มนักซิ่งของเราจะเตือนผู้โดยสารผ่านน้ำเสียงหนักแน่นว่า
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
... ผู้เฒ่าหญิงชายทั้งในชุดห่มขาวและชุดลำลองทั่วไป ต่อแถว รอพระลงจากกุฏิรับบิณฑบาตร สายหมอกฤดูร้อนห่มคลุมจางๆ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูเลือนลางกึ่งจริงกึ่งฝัน งานฉลองพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ตื้อฯ ที่บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มีศาสนิกชนผู้ศรัทธาเนืองแน่นเดินทางมาจากทุกสารทิศงานครั้งนี้เป็นบุญใหญ่ที่มีการเฉลิมฉลองถึง 15 วัน (1-15 พ.ค. 52) ภายในงานเปิดโรงทานโดยผู้มีจิตศรัทธาจะทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานบุญโดยไม่คิดสตางค์
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์