Skip to main content

ทันทีที่ออกจากด่านลาวบาว รถทัวร์ปุเรงมาบนถนนหมายเลข1 นักท่องเที่ยวจะต้องนั่งรถเพื่อเข้าไปยังมหานครเว้อีกราวๆ 160 กิโลเมตร (หลังจากที่ตื่นๆ หลับๆ มาแล้วราว 250 กม. บนทางหลวงหมายเลข9) รวมระยะทางจากมุกดาหาร-เว้ ประมาณ 410 กิโลเมตร

นักท่องเที่ยวบางคนพักที่ด่าน ซึ่งมีเกสต์เฮาส์เล็กๆ สบายๆ และเป็นที่ขึ้นชื่อว่า ตลาดเช้าลาวบาวช่างน่ารักน่าชังนัก

เรื่องของเรื่อง คือ เราควรจะถึงเว้ไม่เกิน 18.00 น. ตามเวลาในตั๋ว

ระหว่างเส้นทางจะต้องผ่านเมืองใหญ่ 2 เมือง คือ เมืองเคเซนและเมืองดองฮา ทั้ง 2 เมือง คือ จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกโจมตีอย่างหนักในสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะเมืองดองฮาหรือเรียกชื่อย่อว่า DMZ นั้น เป็นแหล่งหลักฐานแห่งอดีตอันแสนเศร้า

จากข้อมูล DMZ ในอดีตเป็นเขตปลอดทหาร โดยมีแม่น้ำเบนไห่ทอดขวาง มีสะพานเหียนเลือง ยาว 8 กิโลเมตร แบ่ง2 ฝั่งของแม่น้ำ จุดแบ่งเวียดนามเหนือใต้ออกจากกันและอุโมงก์หวิงห์ม็อกซึ่งเป็นอุโมงก์หลบภัยใต้ดินของชาวบ้านทั้ง 2 หมู่บ้าน ภายในอุโมงก์เจาะเป็นห้อง มีความยาวรวมมากกว่า 2,000 เมตร แบ่งเป็น 3 ชั้น เจาะประตูเข้าออก 13 ทาง ชาวบ้านอยู่อาศัยยาวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวบอกเล่าพิษภัยของสงครามเวียดนาม

วีไอพีสีฟ้าเลยสะพานเหียนเลืองมาได้ราวชั่วโมงเศษ ยางรถทางด้านหลังเกิดไหม้ควันท่วมแต่ยังไม่ถึงขั้นลุกเป็นเปลวไฟ จนคุณลุงคนขับต้องหยุดเพื่อซ่อมแซมถึง 2 ครั้ง เล่นเอาคนบนรถใจฝ่อเล็กๆ แอบอธิษฐานเอาใจช่วยให้รอดปลอดภัยด้วยเถิ๊ดดดด!

คุณลุงพาเราเข้าเว้ 20.00 นาฬิกา
ฟ้ามืดแต่มหานครแห่งนี้กลับคึกคักด้วยแสงสี

ในทุกวิกฤตล้วนแล้วประกอบขึ้นด้วยโอกาส ควันที่ลุกท่วมล้อหลังทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราผูกพันกันภายใต้คนที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน (มักเห็นอกเห็นใจกัน)

นักท่องเที่ยวคนไทยกลุ่มใหญ่ 8 คน ลุง-หลานแบ็กแพ็กเกอร์ ผมกับยาดา รวมหนึ่งโหลตัดสินใจพักโรงแรมเดียวกัน จากการชักชวนของลุงป้าในกลุ่มซึ่งเป็นชาวเวียดนามที่มาอยู่เมืองไทยนานปีเป็นไกด์

ยามเช้าของเว้สีขาวเหมือนดอกมะลิ แม้ออกจะโกลาหลไปบ้างด้วยเสียงบีบแตร รถจักรยานและการแทะเม็ดก๋วยจี๊ เสียงแตรรถของเวียดนามเป็นเหมือนความคุ้นเคยที่อาจจะทำให้คนขวัญอ่อนสะดุ้งเฮือกได้ง่ายๆ รถวิ่งฝั่งขวา จักรยานจะถูกรถมอเตอร์ไซค์บีบแตรให้ชิดขวาอย่างมิดชิด ขณะรถเก๋งสี่ล้อก็จะบีบให้มอเตอร์ไซค์ชิดขวาอย่างมิดชิดอีกต่อ

เอ่อ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเพราะแม้เสียงแตรจะดังแค่ไหน หนุ่มสาวชาวเวียดยังปั่นจักรยานซ้อน 4 คัน คุยกันบนถนนอย่างมีรอยยิ้ม

เราเปิดฉากการเที่ยวด้วยการเช่าจักรยานฝ่าความโกลาหลของมหานครแห่งนี้ ปั่นข้ามสะพานก่าวหยาโก่ยสู่ย่านตลาดดองบา ตลาดสดและค้าส่งที่ใครมาเที่ยวต่างต้องมาช็อปปิ้ง ประเดิมกาเฝ่ร้อน(ตามสำนวนคนเวียด)ในตลาด ราคาไม่ควรจะเกิน 5,000-10,000 ดอง

เด็กชายคนหนึ่งรูปร่างผอมเกร็งในเสื้อยืด(มากๆ)มอมแมม กางเกงขาสั้น เดินเข้ามาหายาดาอย่างคุ้นเคย แกใช้มือแตะกระเป๋าก่อนแบมือพร้อมทำหน้าน่าสงสารมา ถัดไปรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งผ่าตลาดเกี่ยวเอาลังเบียร์ของร้านค้าร้านหนึ่ง แม่ค้ายืนเท้าสะเอวด่าเป็นภาษาเวียดนามออกสำเนียงจีนนิดๆ

เราตัดสินใจไม่ให้เงินเด็กชาย แกเดินหงอยๆ กลับกลุ่ม

เสียงเพื่อนบางคนลอยแว่วมาว่า “หากนายให้คนนึงนะ อีกหลายคนจะยกโขยงมาแบมือขอนายเลยเชียวแหละ”

แดดสายระยิบระยับ แม้แดดจะแรงแต่ในอากาศยังคงเปียกชื้นและสดใส แม่ค้ากลุ่มใหญ่จับกลุ่มพูดคุยกันริมฟุตบาธ ผมยกเทเลซูมขึ้นจ่อเพื่อจับอากัปกิริยาของพวกเธอ หนึ่งในนั้นยกมือป้องใบหน้าก่อนส่งเสียง (แม้จะฟังไม่รู้เรื่อง) ’หยุด ชั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป’

เว้ เป็นเมืองตอนกลางของประเทศ เชื่อมโยงพื้นที่อุดมสมบูรณ์ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและแม่น้ำแดง มีแม่น้ำหอมไหลผ่านเมืองและเคยเป็นทั้งเมืองหลวงเก่า และเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในปัจจุบัน กลิ่นอายแห่งความรุ่งโรจน์แห่งอดีตของพระราชวัง สุสานและนครแห่งจักรพรรดิ ค่าเข้าชม คือ 55,000 ดอง/คน แพ็กเกจนี้ชมได้ทั้งตัวพระนครต้องห้าม

จักรยาน 2 ล้อปั่น กลางเก่ากลางใหม่ซอกซอยไปตามถนนต่างๆ มุ่งหน้าไปยังนครแห่งจักรพรรดิ ริมน้ำหอม ความงดงามของสถาปัตยกรรมตามแบบราชวงศ์เหงียนที่ถูกสร้างขึ้นในแบบแผนความเชื่อของจีน ที่ได้รับการออกแบบให้มีกำแพงล้อมรอบถึง 3 ชั้น ผ่านกิงห์แทงห์หรือกำแพงชั้นนอกเข้าไปจะเจอกับป้อมปืนใหญ่ 9 เทพ (5 แทนโลหะน้ำไม้ไฟดิน 4 แทนฤดูกาลทั้ง 4)

ถัดมาเป็นกำแพงเหลืองหรือกำแพงชั้นกลางที่ล้อมรอบนครแห่งจักพรรดิ มี 4 ประตู หากเดินผ่านประตูโหงะโมน ข้ามสะพานน้ำทองจะเป็นพระราชวังไทเฮาและสำนักราชวังสำหรับต้อนรับบุคคลสำคัญและเป็นโรงละคร ปัจจุบันจะมีการแสดงดนตรีพื้นบ้านเวียดนามให้นักท่องเที่ยวได้ชมและมีชุดกษัตริย์ ขุนนาง ในราชสำนักได้ลองสวมใส่

ในอัตราเริ่มต้นที่ 50,000-100,000 ดอง ตามความสำคัญของแต่ละชุด
ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองครับ!

หน้านครแห่งจักรพรรดิจะมีสถานีบริการรับฝากรถ เราออกมาเอารถที่ฝากเอาไว้กับเจ้าหน้าที่ ขาเข้าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในชุดซาฟารีบอกเราว่า ราคาค่าจอด 1,000 ดอง ขาออก เจ้าหน้าที่หน้าเดิมยกมือขึ้นกางนิ้วทั้ง 5 ออกอย่างกว้าง ให้เราเห็นว่าขอ 5,000 ดอง

เราอึ้งไปสักนิดก่อนจะโวยวายไปตามธรรมเนียม
คิดจะมากินกันง่ายๆ อย่างนี้หรือไง!

บรรยากาศริมน้ำหอม ยามเย็น พ่อแม่จะพาเด็กๆ มาออกกำลังกาย วิ่งเล่น ถัดไปเป็นแม่ค้าขายปลาหมึกย่างและผลไม้รถเข็น ต่างกับประเทศไทยตรงที่ไม่มีรถเข็น ตั้งวางอยู่ในถาดและย่างบนเตาไฟอั้งโล่กันเห็นๆ แม่ค้าขายขนมหวาน ตักน้ำหวานสีแดงใสใส่ถ้วยให้ลูกค้า หนุ่มสาวนั่งคุยกันอย่างสดชื่นไปกับบรรยากาศและสีสันของแสงไฟบนราวสะพานตรังติงข้ามแม่น้ำหอม

* หมายเหตุ นักท่องเที่ยวในเวียดนามจะถูกชาร์ตราคาเป็น 2-5 เท่า ของราคาสินค้าจริง ไม่ว่าจะซื้อสินค้าชนิดใด จะกินข้าวราดแกงข้างทางหรือในร้านอาหารหรู นอกจากว่า จะมองหาร้านที่มีป้ายราคาในเมนู ฉะนั้น แนะนำว่า ให้กินข้าวกินปลากันในร้านดีกว่าริมฟุตบาธแต่หากพอใจหรือจะเอาบรรยากาศก็ไม่ว่ากัน

เรือล่องแม่น้ำหอมจอดเรียงรายรอลูกค้าในราคาไม่ควรจะเกิน 70,000 ดอง/เที่ยว
บริการถ่ายรูป บริเวณสวนสาธารณะอยู่ในอัตรา 5,000 ดอง/แช๊ะ
mineral water คือ โซดา หากต้องการน้ำเปล่าให้บอกยี่ห้อ เช่น watamin หรือ lavy waterราคาน้ำไม่ควรจะเกิน 5,000-10,000 ดอง (หากโชคดีอาจจะซื้อได้ในราคาไม่เกิน 3,000 ดอง)
ราคาข้าวไม่ควรจะเกิน 20,000 ดอง/จาน

นอกเหนือจากนี้ใช้ความสามารถ ‘อ้อนวอน’ กันเองแระกันคับ!

 

20080605 นครจักรพรรดิ
นครจักรพรรดิ มองจากภายในกำแพงจะเห็นธงชาติเวียดนามขนาดยักษ์

20080605 ผ่านกำแพงชั้นนอก
ผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไปถึงป้อมปืน 9 เทพ

20080605 เล็บมังกร
เล็บมังกร สัญลักษณ์สำคัญที่คนเวียดนามนับถือ

20080605 สีสันแห่งโรงละคร
สีสันแห่งโรงละครภายในนครจักรพรรดิ

20080605 ยามเช้าในเว้
ยามเช้าในเว้ สีขาวเหมือนดอกมะลิ

20080605 แม่ค้าขายโคมไฟ
แม่ค้าขายโคมไฟ ภายในนครต้องห้าม (พระราชวังไทเฮา)

20080605 สาวๆ เวียดนามในชุดอ๋าวได๋
สาวๆ เวียดนามในชุดอ๋าวได๋

20080605 เรือหัวมังกรล่องน้ำหอม
เรือหัวมังกรล่องน้ำหอม

20080605 ริมน้ำหอมยามค่ำ
ริมน้ำหอมยามค่ำ

20080605 สะพานตรังตริง
สะพานตรังตริงข้ามแม่น้ำหอม ยามค่ำติดแสงไฟสีสันสวยงาม

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เรากลับถึงฮานอยอีกครั้งและเป็นช่วงสุดท้ายของทริปส์แบ็กแพ็กครั้งนี้โดยมีเวลา 2 คืน ก่อนจะเดินทางกลับ หมายความว่า เรามีเวลา 1 วันเต็ม สำหรับการตะลุยฮานอยการเช่ามอเตอร์ไซค์หรือมอเตอร์ไบค์ในฮานอยจัดว่าเป็นความท้าทายของนักขับและได้รับการกล่าวขวัญเอาไว้ในโลนลี่ แพลนเนต ว่า หากคุณไม่มั่นใจ ‘อย่า' ให้พึ่งพาเท้าทั้งสองข้างเพราะการจราจรที่นี่คับคั่งเกินกว่าเพราะตำรวจจราจรที่นี่เอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวยามเช้า เมื่อคนเริ่มพลุกพล่าน ร้านรวงบนจักรยานของแม่ค้าเปิดทำการแต่เช้าตรู่ เรากินอาหารเช้าที่แบมบู โฮเต็ล ก่อนจะตัดสินใจ เช่ามอเตอร์ไบค์ที่โรงแรมนั่นแหละ ด้วยราคา 6 เหรียญ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
 เรือแคนนู ความเฟื่องฟูของกิจการการท่องเที่ยวยามเย็น พระอาทิตย์ตกที่ริมขอบผา
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราแกร่วอยู่ในร้านอาหารหน้าสถานีรถไฟเลาไค รอรถเที่ยว 2 ทุ่ม ถึงฮานอยเช้าแล้วต่อรถไปยังอ่าวฮาลอง หมู่เกาะกั๊ตบา ฝนตกกระหน่ำ นักท่องเที่ยวหลายชาติที่จะเดินทางไปฮานอยทยอยกันมาเรื่อยๆ จนแน่นขนัด ร้านใครร้านมันแล้วแต่คอนเนคชั่นของเอเจนซี่ เรานั่งจิบเบียร์ไปเกือบโหล เบียร์ที่เวียดนามมีหลายยี่ห้อ แตกต่างกันไปตามเมือง เบียร์ฮานอย เบียร์เว้ เบียร์(สด)โฮยอาน (อร่อยและราคาสุดคุ้ม ขอบอก) ฝนซาเม็ดและตกกระหน่ำ สลับกันหลายชั่วโมง ชวนให้คิดถึงหนังสงครามเวียดนาม ในแบบฉบับของฮอลลีวูด ทหารอเมริกันที่ถูกส่งมารบที่ตะวันออกไกล นอกจาก ต้องเผชิญกับนักรบกองโจรเวียดกง ไข้มาลาเรีย…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เด็กเจ้าของร้านขายสินค้าที่ทำจากเครื่องเงินแห่งหนึ่งในซาปา ดูจากบุคลิกแล้ว 'คิดว่า' เธอน่าจะเป็นคนจากเมืองอื่นที่ย้ายมาทำมาหากินในซาปา ซึ่งร้านลักษณะนี้มีมากมายเหมือนแหล่งท่องเที่ยวในบ้านเราที่มีคนจากแหล่งอื่นเข้ามาลงทุน ในแง่นี้เป็นทั้งกลุ่มทุนรายย่อยและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ได้ยินข่าวมาเร็วๆ นี้ก่อนที่เวียดนามจะประสบภาวะเงินเฟ้ออย่างในปัจจุบันว่า รัฐบาลเวียดนามเปิดให้นักลงทุนต่างชาติทั้งรายย่อย-ใหญ่ เข้ามาลงทุนได้เต็ม 100% ครับ .. ใครทุนหนา รีบๆ เข้าเด้อ!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราใช้สูตรซื้อทัวร์ไปตลาดบั๊กฮาในช้าวันสุดท้ายที่เราอยู่ในซาปา เป็นรถตู้ร่วมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ แล้วรอรถที่สถานีรถไฟเลาไค เพื่อเดินทางกลับฮานอย รถแล่นเรียบเรื่อยไปตามถนน ลัดเลาะภูเขาสูงชัน บางแห่งจะมีการซ่อมสร้างเสริมถนน ผ่านหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน บางแห่งเป็นหมู่บ้านชาวม้งดอกไม้ที่ไกด์คนดีบอกเราว่าให้สังเกตุเอาจากสีสันของลายเสื้อ ฝนโปรยเม็ด ตอนที่เราออกมาจากซาปาทำให้เห็นหมอกหนาขึ้นมาตามชายป่าริมเขาข้างทาง เย็นแต่สวยงามดี ตลาดบั๊กฮาจะต้องผ่านเมืองเลาไค เป็นเขตพรมแดนอีกแห่งของประเทศเวียดนาม ที่ติดต่อกับประเทศจีน…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
  เมาท์เทนวิว เป็นโรงแรมขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งในซาปาที่มีคนไทยนิยมไปพักมากที่สุดอย่างน้อย รีเซฟชั่นโรงแรมอย่างมิงก็เม้าท์ให้ฟังเอาไว้อย่างนั้นเราพบเมาท์เทนวิวในเว็บไซต์แนะนำที่พักจากนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่เขียนบันทึกเรื่องราวของเขาในเวียดนามเอาไว้อย่างน่าสนใจ "เมาท์เทนวิว สวยและสะอาด ข้างหลังเป็นทิวเขาที่สลับซับซ้อนและตรงกับจุดที่พระอาทิตย์ตกพอดี ด้านซ้ายจะเห็นกลุ่มบ้านเรือนกลางใจเมืองซาปา ขวาจะเป็นถนนสีเทายาวเหยียดและกลุ่มนาขั้นบันได ทุกเช้า (หากคุณตื่นเช้า) จะมองเห็นละอองหมอกระเรี่ย"เท่านั้นแหละครับ เมื่อผมกะยาดาไปถึงซาปา เราดิ่งไปเมาท์เทนวิวโดยไม่รอรีเควสซ้ำสอง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
รถไฟจะออกจากฮานอยไปซาปา สองทุ่มตรง ลงสถานีเลาไคและต่อรถตู้ อีกครึ่งวัน เรายังย่ำต็อกอยู่ในฮานอย รอเวลา จึงหอบผ้าหอบผ่อนไปจองแบมบู เกสเฮ้าส์ เอาไว้สำหรับวันที่จะกลับมา ตามแผน เราจะอยู่ที่ซาปา 2 คืน 3 วัน แล้วกลับมาฮานอย จองทัวร์ไปอ่าวฮาลอง อีก 2 คืน 3 วัน ถึงจะกลับมาพักที่ฮานอย 2 คืน ก่อนจะกลับบ้าน จองห้องที่แบมบู เกสเฮ้าส์ เอาไว้กันเหนียว ฮานอย 18.00 น. ก็เหมือนกับกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเร่งด่วน รถติดและคนกลับบ้าน เราอยากมั่นใจว่าจะไม่ตกรถไฟ จึงติดต่อให้ทางแบมบูจัดหารถแท็กซี่ไปส่ง ที่การันตีว่า ไม่มีชาร์ต จากคำบอกเล่าของเราที่เจอกับรถแท็กซี่ ออน ทัวร์ วนรอบเมืองในเช้าวันเดียวกัน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผ่านไปครึ่งทริปส์ จากกรุงเทพฯถึงเวียดนามภาคกลาง เว้ ดานังและโฮยอาน กับการเดินทางในฐานะแบ็กแพ็คเกอร์ เรากำลังวางแผนขึ้นเหนือ ฮานอย ซาปา และหมู่เกาะกั๊ตบาในอ่าวฮาลอง ก่อนจะจบทริปส์แล้วบินกลับเมืองไทย จากสนามบินนอยไบ ในฮานอย ...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราปั่นจักรยานไปเจอสตีฟที่ เดอ สลีฟปี้ เกกโก    ยามเช้าในโฮยอาน เหมือนกับยามเช้าในเว้ของเวียดนามวุ่นวายด้วยเสียงบีบแตรและการค้าจากโรงแรมถึงตลาดปลาและร้านขายรองเท้า ร้านขายรูปวาดและร้านขายหมวก รวมถึง เสื้อยืดที่มีดวงดาวสีเหลืองตรงหน้าอก มีให้ได้ซื้อหาเป็นของฝากสำหรับนักท่องเที่ยวสตีฟเป็นชาวอังกฤษ จากยอร์กเชียร์ เขาออกจากบ้านเกิดมาตั้งแต่วัย 24 ปีและอยู่ในเวียดนามเข้าปีที่ 40 เปิดเกกโก บาร์พร้อมกับเป็นไกด์นำนักท่องเที่ยวทัวร์โฮยอานนอกจาก บ้านหลังเก่าในโอลด์ ทาวน์ และบรรยากาศล่องเรือชมแม่น้ำเขาแนะนำว่า ชนบทโฮยอานไม่อะไรให้ดูมาก
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
สถานีรถไฟดานังติดแอร์คอนดิชันเย็นฉ่ำแดดร้อน ดานังเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจพร้อมท่าเรือขนาดใหญ่ ยาดาเดินแหวกผู้คนออกมาทางตามชานชาลา ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่หยุดพักผ่อน ประตูใหญ่จากชานชาลาปิด เราแทรกตัวออกมาตามบานพับของประตูเหล็กชนิดยืดได้หดได้บริเวณก่าดานังเต็มไปด้วยรถแท็กซี่และมอเตอร์ไบค์(รับจ้าง) แท็กซี่มิเตอร์ที่เวียดนามมี 2 แบบ คือ แท็กซี่ของรัฐและแท็กซี่อิสระ สังเกตุได้จากสภาพรถและบุคลิกภาพของคนขับรถ ทันทีที่เห็นนักท่องเที่ยวอย่างเราออกมา (อย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มไปไหนอย่างไรดี) แท็กซี่กลุ่มใหญ่ก็กรูกันเข้ามาสอบถามและเสนอราคาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เราจับรถไฟเช้าจากสถานีรถไฟเว้ (ก่าเว้) ไปยังเมืองดานังเพื่อโดยสารรถไปยังเมืองโฮยอานอีกต่อ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางนี้เพราะสามารถเดินทางจากเว้ตรงไปโฮยอานได้โดยรถทัวร์ เพียงแต่ว่า ข้อมูลจากโลนลี่ พลาเน็ต บอกเอาไว้ว่าเส้นทางรถไฟสายเว้-ดานัง เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเราจึงตัดสินใจลองของ!ยามเช้า คนเริ่มพลุกพล่าน ผมกับยาดาเรียกแต็กซี่(ตามสำนวนคนเวียด)ไปก่าเว้ก่าเว้ เป็นอาคารรูปทรงโคโลเนี่ยล ทาด้วยสีส้ม-เหลือง ผู้คนคึกคัก อุ้มลูกจูงหลานเดินทางไปทำธุระพบปะญาติมิตร นักท่องเที่ยวบางคนจับกลุ่มยืนสูบบุหรี่อยู่มุมหนึ่ง
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ทันทีที่ออกจากด่านลาวบาว รถทัวร์ปุเรงมาบนถนนหมายเลข1 นักท่องเที่ยวจะต้องนั่งรถเพื่อเข้าไปยังมหานครเว้อีกราวๆ 160 กิโลเมตร (หลังจากที่ตื่นๆ หลับๆ มาแล้วราว 250 กม. บนทางหลวงหมายเลข9) รวมระยะทางจากมุกดาหาร-เว้ ประมาณ 410 กิโลเมตรนักท่องเที่ยวบางคนพักที่ด่าน ซึ่งมีเกสต์เฮาส์เล็กๆ สบายๆ และเป็นที่ขึ้นชื่อว่า ตลาดเช้าลาวบาวช่างน่ารักน่าชังนักเรื่องของเรื่อง คือ เราควรจะถึงเว้ไม่เกิน 18.00 น. ตามเวลาในตั๋วระหว่างเส้นทางจะต้องผ่านเมืองใหญ่ 2 เมือง คือ เมืองเคเซนและเมืองดองฮา ทั้ง 2 เมือง คือ จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกโจมตีอย่างหนักในสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะเมืองดองฮาหรือเรียกชื่อย่อว่า DMZ นั้น…