Skip to main content
   

ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย ส่วนตัวความจริงแล้วไม่อยากยุ่งเพราะเป็นคนรักสงบและถึงรบก็ขลาด แต่ไม่ยุ่งคงไม่ได้เพราะมันใกล้ตัวขึ้นทุกที ระเบิดมันตูมตามก็ถี่ขึ้นทุกวัน จนไม่รู้ใครเป็นตัวโกง ใครเป็นพระเอก เลยขอพาหันหน้าหาวัดพูดเรื่องธรรมะธรรมโมบ้างดีกว่า แต่ไม่รับประกันว่าพูดแล้วจะเย็นลงหรือตัวจะร้อนรุมๆ ขัดใจกันยิ่งกว่าเดิม ยังไงก็คิดเสียว่าอ่านขำๆ พอฆ่าเวลาปลายสัปดาห์ก็แล้วกัน.....

สัปดาห์นี้มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งปรากฏมาให้พอเป็นกระแส แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่ก็สะท้อนสารัตถะแห่งการปลุกระดมอันเปล่ากลวงได้พอสมควร

 

เรื่องราวเกิดขึ้นที่  วัดบางละมุง' จังหวัดชลบุรี เมื่อกลุ่มคนในนาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย' นับพันคนดาวกระจายไปเพิ่มกระแสไล่แม้แต่เงาของคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร' โชคดีที่พระคุณเจ้าท่านมีอุเบกขา รู้ปล่อยวาง ไม่ยึดติดในรูปทรัพย์ ตัดเชื้อไฟแต่ต้นลม เรื่องจึงไม่บานปลายและข่าวจบไปได้ในวันเดียว

 

ในวันที่ 29 ต.ค.51 กลุ่มคนนามพันธมิตรฯ ได้บุกเข้าล้อมอุโบสถของวัดบางละมุงที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างหลังจากมีกระแสข่าวว่า ช่างที่รับงานปั้นฐานพระประธานในอุโบสถได้ปั้นรูป พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักการเมืองชื่อดังอีกหลายคนติดตั้งอยู่บนฐานซึ่งพวกเขามองว่าไม่เหมาะสม ในขณะที่การก่อสร้างทำไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณ 25 ล้านบาท

 

สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องคือทุบทำลายรูปปูนปั้นนักการเมืองที่ฐานนั้นทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในอริยาบทกำลังถือโทรศัพท์มือถือ นายเนวิน ชิดชอบ ที่กำลังถือมีดเชือดคอไก่ รวมไปถึงนายบรรหาร ศิลปอาชา นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หรือแม้แต่นายสนธยา คุณปลื้มลูกชายกำนันคนดังแห่งชลบุรี

 

ผู้สร้างเป็นช่างสกลุช่างเมืองเพชรบุรี ถิ่นที่มีชื่อเสียงทางด้านปูนปั้นมาแต่อดีต เขาให้เหตุผลว่า เป็นคนชอบติดตามข่าวสารการเมืองจึงขออนุญาตจากเจ้าอาวาสขอปั้นรูปนักการเมืองที่มีชื่อเสียงในปี 2546 ซึ่งในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง เจตนาทำไปเพื่อบันทึกเหตุการณ์ทางเมืองไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง จนเวลาล่วงไป 5 ปี รูปปั้นนักการเมืองเหล่านี้ได้กลายเป็นศัตรูทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ

 

สุดท้ายทางวัดยินยอมให้ทุบทิ้งเพื่อความสบายใจของกลุ่มคนในนามพันธมิตรฯ ส่วนนายช่างเองไม่ได้ว่าอะไรหรือตอบโต้อย่างใดทั้งสิ้น

 

ผมอึดอัดใจนิดหน่อยหลังอ่านข่าว เพราะแม้แต่ความสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในศิลปะปูนปั้นเมืองเพชรก็ยังถูกกดดันคุกคามไปด้วยกับกระแสการเมือง คงต้องจับตาดูต่อไปว่างานปูนปั้นเมืองเพชรที่มีรูปนักการเมืองอื่นๆ ในเมืองเพชรฯ เองที่เคยทำกันมาก่อนหน้านี้จะถูกกระแสเล่นงานไปด้วยหรือไม่  

 

ทั้งนี้ หากทำความเข้าใจในลักษณะศิลปะไทยจะพบเอกลักษณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง นั่นคือ การสอดแทรก เสียดสี นำความเป็นไปในโลก ณ ขณะนั้นมาล้ออย่างขบขันด้วยการสอดเข้าไปในคติความเชื่อในศาสนาผ่านผลงาน แม้แต่เรื่องเชิงสังวาสของชายกับหญิง หญิงกับหญิง สังวาสของชาวบ้าน สัตว์สังวาส สังวาสในที่ลับ หรือสังวาสแปลกๆ เราก็หาดูได้จากจิตรกรรมฝาผนังไม่เว้นแม้แต่ในวัดเอกหรือวัดหลวงต่างๆ พอดูแล้วไม่เห็นมีใครพูดว่าบัดสี อุจาด และดูกันมาได้เป็นร้อยๆ ปี ศิลปะไทยจึงคล้ายเป็นการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นอกระบบแบบหนึ่ง และนับเป็นโชคดีที่ตอนนี้กระทรวงวัฒนธรรมยังไม่กระสันและบอกให้ไปลบให้เสียฝีมือครูช่างแต่โบราณไป

 

ส่วนฐานพระพุทธรูปวัดบางละมุงที่เป็นข่าว แม้เป็นผลงานใหม่ไม่สามารถเอ่ยอ้างถึงคุณค่าทางอายุสมัยได้ แต่คุณค่าทางลักษณะทางเชิงช่างนั้นอาจนับว่าไม่แตกต่างไปจากรุ่นทวดรุ่นครูที่มีอารมณ์ขัน รูปปั้น นักการเมืองไทย' จึงถูกปั้นไว้แทนที่พวกยักษ์แบกหรือสัตว์แบกต่างๆ ที่นิยมทำกันตามฐานประติมากรรมในพุทธศาสนา

 

ทั้งนี้ ประติมากรรมชนิดยักษ์แบก สัตว์แบกต่างๆ หรือสัตว์ที่ดูดุร้ายน่ากลัวที่ทำหน้าที่เหมือนอุ้มแบกสัญลักษณ์ทางศาสนาเหล่านี้เป็นการแทนสัญลักษณ์ถึงภูมิต่างๆ ในจักรวาลตามคติ ไตรภูมิ'

 

รูปปั้นเหล่านี้เป็นพวกที่อยู่ต่ำกว่า มนุษย์ภูมิ' เป็นโลกทัศน์ในการเสียดสีแบบเชิงช่างโบราณที่สะท้อนว่าพวกตัวไม่ดีอยู่ในที่ต่ำๆ ไม่พอต้องให้มันใช้กรรมหนักๆ ด้วยจึงให้ไปแบกพระแบกเจดีย์บ้าง จากแนวคิดทางศาสนาบวกลูกเล่น สิ่งไม่ดีอื่นๆ ในในโลกตามสายตาของช่างยังถูกตีความอย่างขยายความได้มากกว่าในคัมภีร์ที่มีแต่พวกยักษ์ พวกสัตว์ หากลองสังเกตดูตามงานจิตรกรรมฝาผนังภาพ มารผจญ' ที่เป็นฝีมือช่างเก่าหลายแห่ง จะพบภาพฝรั่งบ้าง คนฆ่าหมูที่เป็นคนต่างชาติบ้าง แขกบ้าง เขมรบ้างอยู่ปนๆ ไปกับกับหมู่ยักษ์ที่เป็น มาร' ผจญองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมามารจึงถูกพระแม่ธรณีบีบมวยผมจนหลั่งเป็นสายธาราท่วมพัดมารเหล่านั้นดับสูญไป

 

ดังนั้น ไตรภูมิ' คือแกนของเรื่องในการทำงานช่าง ส่วนองค์ประกอบอื่นๆคือลูกเล่นที่ช่างจะคิดสร้างสรรค์มาอวดฝีมือและสื่อออกมาสู่ผู้มองเข้าไปในศาสนาและภาพอย่างแยบยล เช่นนั้นแล้วผู้ศึกาพุทธศาสนาและศิลปะไทยจึงต้องทำความเข้าใจใน ไตรภูมิ' แต่ในปัจจุบันคงห่างเหินไปจากการเรียนรู้ในกระแสหลักมากมายจนยากเข้าใจไปแล้ว จึงจะขอเล่าและเสริมโลกทัศน์ส่วนตัวเลียนอย่างธรรมเนียมช่างแต่โบราณมาเล่าสู่กันฟังสั้นๆ พอสนุกๆกันในพื้นที่ตรงนี้

  

ไตรภูมิ' คือ คติความเชื่อในพุทธศาสนาว่าด้วยเรื่องราวความเป็นไปทั้งหลายในจักรวาล มีความเพริศแพร้วพิสดาร เป็นทั้งเรื่องของยักษ์ มนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสูร หรือแม้แต่เทวดา ไตรภูมิ คือการแบ่งจักรวาลนี้ออกเป็น 3 ภูมิใหญ่ ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ส่วนความสนุกของเรื่องอยู่ที่ความอิรุงตุงนังของเทวดาและยักษ์ที่ทะเลาะขับเคี่ยวกันมาตลอด ที่ผ่านมาเทวดามักชนะ แต่บางพฤติกรรมของเทวดา มนุษย์ตรงกลางอย่างเราๆ ดูแล้วบางทีมันก็ชวนสงสัยว่าอาจจะเลวกว่ายักษ์มารเสียอีก

 

ในไตรภูมิใหญ่ยังแบ่งภูมิเป็นภูมิย่อย ชั้นต่ำสุดเป็นนรกภูมิที่ซอยลงไปอีกเป็นหลายขุม ที่ตรงนี้คงไม่ต้องอธิบายเพราะในวันหนึ่งข้างหน้าอาจได้ไปเยือนกันเอง ถัดขึ้นมาอีกเป็นเดรัจฉานติภูมิ หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่ำอก ต่อมาอีกเป็นเปรตภูมิที่สามารถกินบุญที่ทำไปให้ได้ สูงมาหน่อยนั่นล่ะจึงเป็น อสูรกายภูมิที่อยู่ของพวกไม่กินเหล้า หรือตัวหลักของเราที่วันนี้อาจกลับมาเป็น พระเอก'

 

เรื่องราวตำนานที่มาทั้งชื่อและที่อยู่ของเหล่าอสูรยิ่งน่าสนใจมาก เพราะไปเกี่ยวข้องกับความกะล่อนปลิ้นปล้อนของเหล่าเทวดาหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเทวดาเคยชวนเหล่าอสูรมาร่วมกันกวนเกษียณสมุทรเพื่อทำน้ำอมฤทธิ์ซึ่งต้องใช้พญานาคเป็นเครื่องผลิตโดยหลอกอสูรให้อยู่หัวเทวดาอยู่หาง ขณะจะได้น้ำอมฤทธิ์พญานาคจะถุยน้ำลายพิษออกมา อสูรอยู่หัวจึงรับไปเต็มๆ ร่างกายระทวยอ่อนแรงกันไปหมด ส่วนเทวดารู้จักหลีกมาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่โดนพิษ ตัวก็ไม่เหม็นน้ำลาย หน้าตาสะอาดดูดี สุดท้ายก็แย่งน้ำอมฤทธิ์มาแดกแต่พวกตัว เพราะเป็นเทวดาจะด่าว่าไร้มนุษยธรรมก็คงไม่ได้

 

บรรดาอสูรยังเคยมีเมืองสุขสบายอยู่ในทำเนียบผู้บริหาร (ไตรภูมิเดิมบอกว่าบนเขาพระสุเมรุหรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปัจจุบันเป็นที่อยู่พระอินทร์ ผู้นำฝ่ายเทวดา) แต่พวกเทวดาคิดอุบายมอมเหล้า (อำนาจ) จนไม่ได้สติแล้วถีบไปอังกฤษเอ๊ย..ตกเขาจมลงใต้ดิน เมื่ออสูรสร่างเมาได้สติก็สำนึกตัวว่าเป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามายจึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิกกินเหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บาดาล

 

ที่จริงพวกอสูรกายเองก็มีหลายพรรคการเมืองเอ๊ยหลายเมืองปกครองตัวเอง (ในไตรภูมิบอกมีแค่ 4 เมือง) แม้อยู่ใต้ดินเมืองก็กินกันจนเมืองหรูหราเป็นทองอร่ามเหมือนเมืองของเทวดา (พวกนี้ชอบการสรรหาเพราะไม่เปื้อนน้ำลาย เงินเดือนสูง มีอภิสิทธิ์ต่างๆมากมาย) ส่วนเมืองอสูรมีทั้งอสูรร่วมรัฐบาลและอสูรฝ่ายค้าน แต่ครั้งหนึ่งเคยมีพระยาอสูรตนหนึ่งมีอำนาจมากชื่อว่า ราหู' เคยไปร่วมกับเทวดากวนเกษียรสมุทรด้วย รู้จักคิดใหม่ทำใหม่เลยปลอมเป็น เทวดา' จนได้กินน้ำอมฤทธิ์และทำให้ ฆ่าไม่ตาย' และหวังทวงเขาพระสุเมรุคืนอยู่เนืองๆ

 

ส่วนพวกเทวดานั้นมีนิสัยอย่างหนึ่ง เวลาจะเสียเปรียบมักชอบฟ้องพ่อ..อืมม ไม่ใช่ๆ ฟ้องมหาเทพสูงสุด องค์หนึ่งชื่อ วิษณุ'หรือ นารายณ์' ผู้ชอบอวตาร (ครั้งหนึ่งเคยอวตารเป็นพระราม อยู่ในวรรณะกษัตริย์เลยกลายเป็นที่มาของความเชื่อเรื่อง สมมติเทพ' ) เทวดา (บ้าน) พระอาทิตย์และพระจันทร์รู้เรื่อง ราหู' แอบปลอมเป็นเทวดาเลยไปบอกวิษณุ วิษณุรู้เรื่องเลยแผลงฤทธิ์ขว้างจักรแก้วไปตัดตัวราหูออกเป็นสองท่อน แต่เพราะดื่มน้ำอมฤทธิ์แล้วจึงไม่ตาย กระนั้นและยังอาฆาต (บ้าน) พระอาทิตย์และพระจันทร์ตลอดมา มีโอกาสก็จะกลับมาอมจนมืดไปทั้งเมืองกลายเป็นปรากการณ์ สุริยคราส' และ จันทรคราส' ดังที่รู้กัน

 

การต่อสู้ของเทวดากับอสูรผ่านมาถึงวันนี้ยังไม่จบ ส่วนเราๆ ท่านๆ อยู่ใน มนุษยภูมิ' อิทธิฤทธิ์น้อยกว่าพวกอสูร น้อยพวกเทวดา เพียงเกิดจากน้ำเมือกๆ ขุ่นๆ ขาวผสมกับไข่ตอนสังวาสกัน เมื่อเกิดมาไม่มีฤทธิ์มากก็ต้องพึ่งพาตัวเอง จึงต้องเชื่อเรื่องสิทธิเรื่องเสียงของตัวเอง เชื่อเรื่องความเท่าเทียม เชื่อว่าพลังยิ่งใหญ่มาจากเสรีภาพในตัวเองและไม่ได้มาจากการที่ใครประทานมาให้ ดังนั้นแม้ไม่มีฤทธิ์ก็ยังอยู่ภูมิสูงกว่าอสูร หรือแม้จะอยู่ต่ำกว่าภูมิเทวดา แต่ก็โชคพวกเหล่านั้นที่มีสติ' และ ปัญญา' บรรลุธรรมและแก้ปัญหาเองได้โดยไม่ต้องฟ้องใคร

 

ความรู้เรื่องภูมิจักรวาลของจบลงแค่สงครามที่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ส่วนการที่ไม่อาจเอื้อมไปแตะหรืออธิบายถึงภูมิที่สูงกว่านี้ไม่ใช่เพราะไกลตัวแต่เป็นเรื่องที่แต่ละคนคงต้องไปศึกษา พิสูจน์และ รู้' ด้วยตนเอง   

 

อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับมามองพวกอสุรา ที่กลายมาเป็นยักษ์แบกกับ นักการเมือง' ในงานศิลปกรรมและไตรภูมิแล้วก็เห็นกรรมวิบากอันหนักหน่วงที่ต้องเผชิญ นักการเมือง' นั้นถูกหลอกให้เมา (อำนาจ) ได้ง่าย เพียงแต่นักการเมืองก็ยังเป็นมนุษย์ เวลาเสียศูนย์ก็กระทบไปหมดทั้งภูมิ นายช่างคงอยากชักนำพระธรรมมาให้แบกเสียบ้างจะได้ไม่เลยเถิดเกินเส้นมนุษย์ เพราะถ้าใจพลัดตกลงไปต่ำถึงภูมิอสูร แม้มีอำนาจมากล้น แต่คงไม่พ้นถูก เทวดา' ปลิ้นหลอก จนต้องทำสงครามกันอยู่ร่ำไป

 

ส่วนเทวดานั้นเพราะสุขสบายจนติดใจ ไม่อยากลงมาต่ำตามกรรมที่ทำไว้จึงดิ้นรนหาชัยชนะให้ตัวเองอยู่ร่ำไปจนไม่สนใจวิธีการและครรลองแห่งธรรม เพราะแม้เป็นพระอินทร์ก็ตกบัลลังก์ได้ หากมีใครทำกรรมบารมีของพระอินทร์สำเร็จ พระอินทร์บางคนกลัวมีพระอินทร์องค์ใหม่จึงตัดแข้งตัดขาคนอื่นไม่ให้ขึ้นมาแทน แม้แต่เทวดาระดับสูงยังมีความกลัว ในหมู่เทวดาจึงมีการเมือง

 

เสียดายก็แต่คนในมนุษย์ภูมิเวลานี้ถูกการปลุกระดมนำพาอารมณ์ไปมากจนลืมสติและบดบังปัญญาไปแทบสิ้น เวลานี้สถานะเทวดาเริ่มไม่มั่นคง ดูกันดีๆ การเมืองของเทวดาคราวนี้อาจไม่ได้หลอกแค่อสุราแต่จะหลอกมนุษย์ไปทำสงครามกับอสูรแทน

 

ตอนนี้เวลามองกองทัพที่ปากพร่ำพูดเรื่องธรรมะแล้วเห็นเป็นประหลาด ดูไม่สงบ สว่าง และเกิดปัญญา แต่กลับพาลนึกถึงหนังไทยที่เคยดูตอนเด็กๆ สังเกตดูหากมีไอ้ลูกกำนันกร่างๆ บอกให้ล้อม ให้จัดการ ให้ไประรานคนนั้นที คนนี้ที ไม่รู้จบแล้วล่ะก็ เดาไว้ก่อนได้เลยว่า "ไอ้นั่น มันเป็นตัวโกงแน่"

 

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
  ตติกานต์ เดชชพงศ  เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูฉากโหดๆ อาทิ หัวขาดกระเด็น เลือดสาดกระจาย กระสุนเจาะกระโหลกเลือดกระฉูด ในหนังไทย (ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านบาท!) เรื่อง ‘โอปปาติก'  รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้รอดพ้นเงื้อมมือกองเซ็นเซอร์ผู้เคร่งครัดมาได้ยังไง?เพราะด้วยการทำงานของหน่วยงานเดียวกันนี้ ทำให้หนังเรื่องหนึ่งถูกห้ามฉาย เพราะมีฉากพระสงฆ์เล่นกีตาร์, และฉากนายแพทย์บอกเล่าว่าตนก็มีึความรู้สึกทางเพศ แม้แต่ฉากเด็กผู้หญิงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นเพียงตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) ก็ยังถูกเซ็นเซอร์มาแล้ว ด้วยข้อหา ‘ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี'…
Hit & Run
วิทยากร บุญเรือง ผมไปเจอข่าวชิ้นหนึ่ง เหตุเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งไม่ว่าจะยังไง ข่าวชิ้นนี้ผมว่ามันสามารถสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง สำหรับสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในโรงพยาบาลศิริราช มาหากินกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีได้ลงคอ ... (กรุณาอ่านให้จบก่อนด่า)ท่านพงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจหน้าหล่อ ได้กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน โดยขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า…
Hit & Run
พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ 26 กันยายน 2550ย่านพระเจดีย์สุเล, กรุงย่างกุ้ง   ภาพที่เห็นคือ...ประชาชนหลายพันคนออกมายืนเต็มถนนย่านพระเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นย่านกลางเมือง โดยไม่ไกลนักมีกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่าตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้พระเจดีย์แห่งนี้"เราต้องการประชาธิปไตย" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว"รัฐบาลนี้อันตรายโคตรๆ" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวประชาชนส่วนหนึ่ง พยายามต่อสู้กับทหาร ทหารที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา กระทั่งปืน โดยประชาชนพยายามขว้างอิฐ ขว้างหิน เข้าใส่แถวแนวของทหารพวกนั้นก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกทุบเป็นก้อนย่อมๆก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกขว้างสุดแรงเกิด…
Hit & Run
  อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาดูเหมือนเรื่องน่าจะจบลงไปแล้ว กับความพยายามของ สนช.กว่า 60 คน ที่เข้าชื่อกันยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนที่สุดท้าย สนช.จะตัดสินใจถอนการแก้ไขออกไปก่อนแม้เรื่องนี้มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประเด็น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กระแสความคิดที่เกิดขึ้น แม้ภายหลังการถอยและถอนการเสนอแก้กฎหมายแล้วก็ตามสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีจำนวน 242 คน โดย สนช. สามารถเข้าชื่อกันเพื่อเสนอหรือแก้ไขกฎหมายได้ ผ่านการเข้าชื่อเพียงจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน…
Hit & Run
จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์นอกจาก 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย และ (อดีต) วันชาติแล้ว วันสำคัญที่เงียบเหงารองลงมา (อีกวัน) ก็คงหนีไม่พ้น 6 ตุลาคม 2519 ที่รับรู้กันว่า เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เพราะเข้าใจว่าเป็นคอมมิวนิสต์ สำหรับปีที่แล้ว วันนี้อาจคึกคัก เพราะถึงวาระตัวเลขกลมๆ 30 ปี ซ้ำยังเพิ่งผ่านพ้นรัฐประหาร 19 กันยายน มาหมาดๆ กระแสเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยังมีอยู่ แต่พอปีนี้กระแสกลับไปเงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ วันที่ 6 ตุลาในปีนี้ กลายเป็นวันเสาร์ธรรมดาๆเมื่อถามถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา กับหลายๆ คน…
Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทองเป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดดเรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’…