Skip to main content

 

 

คนอเมริกันและลามถึงคนทั่วโลกด้วยกระมัง ที่เหมือนตื่นจากความหลับใหล พบแดดอ่อนยามรุ่งอรุณ เมื่อได้ประธานาธิบดีใหม่ที่ชนะถล่มทลาย คนหนุ่มไฟแรง ผิวสี เอียงซ้ายนิดๆ ผู้มาพร้อมสโลแกน "เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน และเปลี่ยน" แม้ผู้คนยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนไปสู่อะไร (เพราะอเมริกาไม่มีหมอลักษณ์ฟันธง หมอกฤษณ์คอนเฟิร์ม) แต่ขอแค่โลกนี้มีหวังใหม่ๆ ความเปลี่ยนแปลงสนุกๆ ก็ทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย ท้องฟ้าสดใสกว่าที่เคยเป็นได้ง่ายๆ  

 

มองไปที่อื่นฟ้าใส แต่ทำไมฝนมาตกที่ประเทศไทยไม่เลิก บ้านนี้เมืองนี้ ผู้คนพากันนอนไม่หลับ ฟ้าหม่น ฝนตก หดหู่มายาวนาน นานกว่าเมืองหนึ่งใน ‘100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว' ของมาเควซ  มหัศจรรย์กว่าเป็นไหนๆ  คนที่นี่ยังตกอยู่ในสภาวะอึดอัด เก็บกด จะระบาย จะพูดคุย จะแลกเปลี่ยนกับใครก็ลำบาก

 

ใครหน้าไหนเคยเรียกร้องให้คนไทยเป็น active citizen สนใจเหตุบ้านการเมือง ตอนนี้หายห่วง การเมืองซึมเข้าทุกประตูครัว พ่อเปิดทีวีช่องนึง ลูกสาวเปิดอีกช่อง ผัวมีมือตบ เมียมีตีนตบ พี่เสื้อเหลือง น้องเสื้อแดง น้าเสื้อเขียว ฯลฯ ขนาดเพื่อนสนิทมิตรสหายรอบตัวก็ยังต้องสกรีนแล้วสกรีนอีก "ไอ้นี่สีอะไร" ...เพื่อให้ปลอดภัยต่อหัวใจบางๆ หลายคนเลยใช้มาตรการ "เลิกพูดเรื่องการเมือง" ... เหลือแต่ความบื้อใบ้และรอยยิ้มพิมพ์ใจ

 

ส่วนคู่ขัดแย้งใหญ่และบรรดาหางเครื่อง (ทั้งที่ยอมรับและยังขัดเขิน) พวกเขายังคงพูดคุยการเมืองกันเสียงดัง แต่ต่างคนต่างคุย หาจุดลงตัวกันไม่ได้ (เนื่องจากมีแบ็คดีทั้งคู่) คุยไปพลาง สำแดงพลังให้ได้ขนลุกซู่ ชูชันกันเป็นพักๆ ไปพลาง

 

ยิ่งนาน ยิ่งตึงเครียด ยิ่งนาน ยิ่งอึดอัด .... ความรุนแรงเริ่มปะทุขึ้นเป็นระยะ ตายเจ็บกันอย่างน่าเศร้า และสังคมก็หาฉันทามติไม่ได้ว่าใครคือ "วีรชน" นิยาม ความหมายของถ้อยคำ บทเพลง อะไรต่อมิอะไรถูกแย่งชิง ปนเปกันจนน่าเป็นห่วงเด็กยุคหลัง และน่าสงสารคนยุคก่อน

 

ขณะที่พลังเงียบส่วนหนึ่งก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ เช่น งานรวมพลคนเสื้อแดงเรือนแสน เมื่อวันที่ 1 พ.ย. พอคนขยับพร้อมกันจำนวนมากๆ ท่ามกลางคู่ขัดแย้งทางการเมืองแบบ เด็กดื้อ' ที่ยังเข้มแข็ง มุทะลุ ดุดัน (ฯลฯ) ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความรุนแรง "มวลชน" ชน "มวลชน" ก็เกิดขึ้นในสังคม

 

....วันนั้นหลังงานเลี้ยงเลิกรา....ขณะที่คนเสื้อแดงบางส่วนเดินไปยังป้ายรถเมล์ถัดๆๆๆไป เพราะหารถเมล์ รถแท็กซี่ไม่ได้ กลุ่มแม่ค้าริมทางก็ส่งเสียงโห่ไล่ และพากันก่นด่า พวกไม่รักชาติ' กันระลอกใหญ่ เสื้อแดงกลุ่มนั้นพยายามไม่โต้ตอบ แต่รถกระบะที่วิ่งผ่านมาพร้อมบรรทุกคนเสื้อแดงท้ายรถ 5-6 คนเห็นเหตุการณ์จึงส่งเสียงโห่ตอบโต้ กลายเป็นการโฮ่ฮาป่าแตกกันข้ามฟากถนน ส่งกลิ่นความเกลียดชังเหม็นหึ่งทั่วบริเวณ

 

ใครบางคนที่ไม่เคยกังวลอะไรกับใครเขายังขนลุกซู่ จินตนาการเลยเถิดไปถึง ‘civil war' การประหัตประหารกันเองระหว่างคนสองกลุ่มใน "รวันดา" .... ไม่ใช่ความตื่นตูมอันน่าเย้ยหยัน นักรัฐศาสตร์คนหนึ่งเคยเตือนไว้ให้ระวังเส้นทางมรณะสายนั้น แม้เงื่อนไขต่างๆ ที่นี่จะไม่เหมือนของเขาเพราะไม่มีประเด็นเชื้อชาติ แต่ก็มีประเด็นเฉพาะของสังคมไทยที่ทำให้คนฆ่ากันได้...และเคยฆ่ากันมาแล้ว

 

จึงไม่แปลกที่หลายฝ่ายพยายามหาทางออก บอกทางลง ตอนแรกก็ว่าจะหา คนกลาง' แต่มีอันต้องตกไปเพราะในโลกนี้ไม่มี คนตรงกลาง' จะมีก็แต่พระพุทธรูปกับเด็กทารกเท่านั้น จึงหันไปเน้นที่ กระบวนการกลาง' แทน อันที่ชูกันมากตอนนี้คือ สานเสวนา' อาศัยการดีไซด์กระบวนการบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็อาจตายน้ำตื้นเอาง่ายๆ ถ้าคู่ขัดแย้งไม่เสวนาด้วย (แป่ว) หรือต่อให้ยอมเสวนา กลไกนี้ก็ไม่น่าจะประสบผลสำเร็จนักในสังคมไทย

 

‘dialogue' จะเกิดขึ้น สัมฤทธิ์ผลได้อย่างไรในความคดเคี้ยว สังคมไทยไม่เคยคุยกันตรงๆ จริงๆ จังๆ ดังๆ กว้างๆ ในเรื่องต่างๆ แต่ไหนแต่ไรมาสังคมนี้ไม่อนุญาตให้คนซื่อสัตย์ต่อตนเอง ทั้งยังคับแคบ กดทับความแตกต่างจนติดนิสัย เรื่องหลายเรื่องพูดไม่ได้ แถมยังถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหลายยุคหลายสมัย ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ทำให้นอกจากจะไม่เกิดการพูดคุยกัน "จริงๆ" เพื่อนำไปสู่ทางออกแล้ว ยังไม่น่าจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่จะเปิดกว้าง เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน (หรือ "อยู่ๆ กันไป" ก็ยังดี) ท่ามกลางความแตกต่างอย่างที่พล่ามกันไว้ได้

 

ชั่วโมงนี้ ทุกฝ่ายจึงน่าจะไม่ต้องเสวนา แล้วพากันไปนั่งเฉยๆ ชื่นชมความงามของห่าฝน .. ดีกว่าเป็นไหนๆ

 

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
  ตติกานต์ เดชชพงศ  เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูฉากโหดๆ อาทิ หัวขาดกระเด็น เลือดสาดกระจาย กระสุนเจาะกระโหลกเลือดกระฉูด ในหนังไทย (ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านบาท!) เรื่อง ‘โอปปาติก'  รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้รอดพ้นเงื้อมมือกองเซ็นเซอร์ผู้เคร่งครัดมาได้ยังไง?เพราะด้วยการทำงานของหน่วยงานเดียวกันนี้ ทำให้หนังเรื่องหนึ่งถูกห้ามฉาย เพราะมีฉากพระสงฆ์เล่นกีตาร์, และฉากนายแพทย์บอกเล่าว่าตนก็มีึความรู้สึกทางเพศ แม้แต่ฉากเด็กผู้หญิงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นเพียงตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) ก็ยังถูกเซ็นเซอร์มาแล้ว ด้วยข้อหา ‘ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี'…
Hit & Run
วิทยากร บุญเรือง ผมไปเจอข่าวชิ้นหนึ่ง เหตุเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งไม่ว่าจะยังไง ข่าวชิ้นนี้ผมว่ามันสามารถสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง สำหรับสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในโรงพยาบาลศิริราช มาหากินกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีได้ลงคอ ... (กรุณาอ่านให้จบก่อนด่า)ท่านพงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจหน้าหล่อ ได้กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน โดยขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า…
Hit & Run
พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ 26 กันยายน 2550ย่านพระเจดีย์สุเล, กรุงย่างกุ้ง   ภาพที่เห็นคือ...ประชาชนหลายพันคนออกมายืนเต็มถนนย่านพระเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นย่านกลางเมือง โดยไม่ไกลนักมีกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่าตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้พระเจดีย์แห่งนี้"เราต้องการประชาธิปไตย" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว"รัฐบาลนี้อันตรายโคตรๆ" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวประชาชนส่วนหนึ่ง พยายามต่อสู้กับทหาร ทหารที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา กระทั่งปืน โดยประชาชนพยายามขว้างอิฐ ขว้างหิน เข้าใส่แถวแนวของทหารพวกนั้นก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกทุบเป็นก้อนย่อมๆก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกขว้างสุดแรงเกิด…
Hit & Run
  อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาดูเหมือนเรื่องน่าจะจบลงไปแล้ว กับความพยายามของ สนช.กว่า 60 คน ที่เข้าชื่อกันยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนที่สุดท้าย สนช.จะตัดสินใจถอนการแก้ไขออกไปก่อนแม้เรื่องนี้มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประเด็น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กระแสความคิดที่เกิดขึ้น แม้ภายหลังการถอยและถอนการเสนอแก้กฎหมายแล้วก็ตามสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีจำนวน 242 คน โดย สนช. สามารถเข้าชื่อกันเพื่อเสนอหรือแก้ไขกฎหมายได้ ผ่านการเข้าชื่อเพียงจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน…
Hit & Run
จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์นอกจาก 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย และ (อดีต) วันชาติแล้ว วันสำคัญที่เงียบเหงารองลงมา (อีกวัน) ก็คงหนีไม่พ้น 6 ตุลาคม 2519 ที่รับรู้กันว่า เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เพราะเข้าใจว่าเป็นคอมมิวนิสต์ สำหรับปีที่แล้ว วันนี้อาจคึกคัก เพราะถึงวาระตัวเลขกลมๆ 30 ปี ซ้ำยังเพิ่งผ่านพ้นรัฐประหาร 19 กันยายน มาหมาดๆ กระแสเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยังมีอยู่ แต่พอปีนี้กระแสกลับไปเงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ วันที่ 6 ตุลาในปีนี้ กลายเป็นวันเสาร์ธรรมดาๆเมื่อถามถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา กับหลายๆ คน…
Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทองเป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดดเรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’…