ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง
เป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดด
เรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’ กำลังกลายเป็นวาระคุณธรรมแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่งไปแล้ว ทั้งที่เรื่องสิทธิใน ‘จู’ กับ ‘จิม’ นั้น บางคนมองว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลมากๆ ทำไมต้องมาไล่ถกกระโปรงดูกันขนาดนี้ หรือสาวน้อยคนดังอย่าง ‘บริทนี่ สเปียร์’ ต้นธารกระแสจิมเสรีเองก็เคยแสดงความเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลตรงนี้ด้วยการออกมาบอกว่าการไม่สวมกุงเกงในทำให้เธอรู้สึกเป็นอิสระ แน่นอนก่อนหน้านั้นเราได้ชมภาพความเสรีของเธอผ่านอินเตอร์เน็ตกันแทบถ้วนทั่ว และคาดว่า หนูบริทนี่คนนี้เองน่าจะเป็นผู้ทำให้เกิดกระแสนี้ในบ้านเรา
หลังผู้หลักผู้ใหญ่รู้ข่าวว่าเรื่องแบบนี้มีจริงและกำลังแพร่หลายเลยถึงกับปวดเศียรเวียนเฮดกับเทรนใหม่ หลายคนรับออกมาอ้อนวอนกันระล่ำระลัก...เพื่อศีลธรรมเถิดลูกเอ๊ยยยย...กลับไปสวมลิงเสียเถอะ จากนั้นก็พูดวนเวียนกันไปโดยประเด็นไม่ไปไหนแบบนี้ทั้งสัปดาห์ หนูๆ ที่ไม่สวมกุงเกงในจึงกำลังกลายเป็นอีกสัญลักษณ์เลวร้ายที่ทำลายศีลธรรมอันดีงามพอๆ กับ ‘อำนาจเก่า’
ดังนั้น ใครที่อยากเป็นคนดีมีศีลธรรมต้องสวมใส่ลิงนะครับ และถ้าทำกันไม่ได้ ไปถกใต้กระโปรงมากๆ เข้าแล้วยังโล่งโปร่งสบายอยู่ คาดว่าอีกไม่นานอาจมีแคมเปญใหม่ ‘แอ่นจิม พกลิง’ จากกระทรวงคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ ออกโทรทัศน์รณรงค์ตามมา
พูดถึงเรื่องกระแสพอขำๆ กันแล้ว ทีนี้อยากให้หันมามองปรากฏการณ์นี้แบบไม่ขำกันบ้าง การไม่สวมใส่ลิงของหญิงสาวควรถูกมองในมุมอื่นได้มากกว่าการเป็นเรื่องของความไร้ยางอายหรือความไม่มีคุณธรรมได้หรือไม่ และเอาเข้าจริงอาจเป็นสังคมเองที่กำลังหาเหยื่อมาบำบัดความบ้าคลั่งทางวิญญาณที่ถูกทำลายไปมากในปัจจุบัน
ถ้าเคยได้ดูภาพยนต์เรื่อง BABEL แล้วหลายคนคนจำเรื่องราวของเด็กสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ เธอผิวขาว ผมดำ แววตาสดใสน่ารัก หากดูผิวเผินเธอเหมือนเด็กผู้หญิงญี่ปุ่นทั่วไปที่โตมาตามวัย และสนุกสนานกับเพื่อนได้ เธอปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะซึ่งเป็นร้านที่วัยรุ่นญี่ปุ่นทั่วๆ ไปเที่ยวกัน แต่แท้จริงแล้วเธอทั้งเป็นใบ้และหูหนวกกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอก็คือเพื่อนที่มีความผิดปกติทางร่างกายเช่นเดียวกันกับเธอ
เมื่อกลุ่มพวกเธอสื่อสารกันด้วยภาษามือในครั้งหนึ่ง หลายสายตาจับต้องมาที่กลุ่มพวกเธออย่างตั้งคำถาม สงสัย ดูแปลกประหลาดและ ‘เป็นอื่น’ ถัดนั้นมาก็เป็นฉากที่เธอถอดกุงเกงลิงออกมาและเปิดโชว์ผู้ที่กำลังจ้องมองเธออย่างเป็นอื่น เขาคนนั้นตกใจ ส่วนเธอรู้สึกสมใจ...
ฉากตอนนี้เป็นฉากเล็กๆ แต่ค่อนข้างสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่าแท้จริงแล้วเธอคือ ‘คน’ ที่มีอารมณ์ความรู้สึก เธอและกลุ่มเพื่อนก็ต้องการมี ‘พื้นที่’ และ ‘ตัวตน’ ทางสังคมเช่นเดียวกันกับคนอื่นทั่วไป ในฉากอื่นๆ ถัดยิ่งคล้ายแสดงถึงทั้งความต้องการทางความรัก การต้องการความใส่ใจ การต้องการการสัมผัสในแบบเดียวกับที่คนอื่นๆ ในสังคมได้รับและมีให้แก่กัน
BABEL ยังสื่อสารเรื่องราวที่ลึกไปจนถึงแบ็กกราวชีวิตของเธอ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งสูญเสียแม่จากเหตุการณ์ที่เธอเองไม่สามารถบอกกับใครได้ในขณะที่แม่เป็นเพียงคนเดียวที่สื่อสารกับเธอได้รู้เรื่องมากที่สุด ส่วนพ่อนั้นแม้จะดูแลอย่างดีเพียงใดก็ตาม แต่คงเป็นเพียงการดูแลชีวิตมากกว่าการสื่อสารที่เข้าไปถึง ‘หัวใจ’ ของระหว่างกัน ความโดดเดี่ยวกลายเป็นความกดดัน ความอ้างว้าง เงียบเหงา ว้าแหว่ ทั้งหมดถูกเธอเก็บซ่อนไว้ระหว่างการใช้ชีวิตในสังคมด้วย
ภาพความสดใสในวัยสาวของเธอถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้หญิงใจแตกแม้จะไม่สามารถพูดได้ก็ตาม เธอและเพื่อนไปตามที่ต่างๆ ด้วยการไม่สวมใส่กางเกงใน เที่ยวเตร่ เสพยา และพยายามเรียกร้องการสัมผัสจากเพศตรงข้าม หนังได้ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่มีพื้นที่ยืนของเธออีก เมื่อเพื่อนสนิทในกลุ่มคลอเคลียกับผู้ชายที่เธอชอบ และการเรียกร้องของเธอกลับดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นไปทุกที แต่สุดท้ายของหนังเป็นอย่างไรขอให้ไปรับชมกันเอาเอง
อย่างไรก็ตาม แม้หนังเรื่องนี้จะบอกถึงปัญหาของการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันด้วยสัญลักษณ์ที่ชัดเจนผ่านปัญหาทางร่างกายที่พูดไม่ได้ และไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ผลจะมันเป็นดุจเดียวกันถ้าหูหรือปากนั้นแม้จะเป็นปกติแต่ไม่เคยใช้ฟัง ‘เสียง’ หรือ ‘คุย’ อะไรกันเลย
การมีเด็กแกงค์ไปซิ่งรถมอเอตร์ไซค์บนท้องถนนจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นอยากเป็นนักบิดมืออาชีพ ที่ต้องสร้างสนามแข่งขันมารองรับเสมอไป แต่การใช้ ‘ความเร็ว’ เพราะ ‘เสี่ยง’ และทำให้คนในกลุ่ม ‘ยอมรับ’ หรือการใช้เสียงรถการสร้างความรำคาญเพื่อให้คนหันมามีปฏิสัมพันธ์กับเขาด้วยการด่าทอ มันอาจเป็นการแสดง ‘ตัวตน’ ที่มีอยู่ของพวกเขาต่างหาก และเรื่องแบบนี้คงไม่ต่างอะไรไปจากเทรนใหม่เรื่องการเปิดเผยเนื้อหนังมังสาของหญิงสาว หรือการมีความสุขของการถูกจ้องมอง
คำตอบทาง ‘ศีลธรรม’ คงไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ หากสังคมยังไม่เคยเห็น ฟัง สัมผัส ได้ยิน พวกเขาและพวกเธอเลย ในมุมกลับกันกรอบศีลธรรมของสังคมกำลังยิ่งกีดกันให้พวกเขาและพวกเธอต้องออกไปให้ต้องแสวงหา ‘พื้นที่’ ยืนของตัวเอง
และบางทีที่พวกเธอและพวกเขาเหล่านั้นกำลังโชว์ ‘ความไร้ศีลธรรม’ ในความหมายของพวกคุณอยู่นั้น พวกเขาอาจกำลังสื่อสารกับ ‘หัวใจ’ ของคุณอยู่ก็ได้ว่า...เข้าใจกันให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม
เป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดด
เรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’ กำลังกลายเป็นวาระคุณธรรมแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่งไปแล้ว ทั้งที่เรื่องสิทธิใน ‘จู’ กับ ‘จิม’ นั้น บางคนมองว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลมากๆ ทำไมต้องมาไล่ถกกระโปรงดูกันขนาดนี้ หรือสาวน้อยคนดังอย่าง ‘บริทนี่ สเปียร์’ ต้นธารกระแสจิมเสรีเองก็เคยแสดงความเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลตรงนี้ด้วยการออกมาบอกว่าการไม่สวมกุงเกงในทำให้เธอรู้สึกเป็นอิสระ แน่นอนก่อนหน้านั้นเราได้ชมภาพความเสรีของเธอผ่านอินเตอร์เน็ตกันแทบถ้วนทั่ว และคาดว่า หนูบริทนี่คนนี้เองน่าจะเป็นผู้ทำให้เกิดกระแสนี้ในบ้านเรา
หลังผู้หลักผู้ใหญ่รู้ข่าวว่าเรื่องแบบนี้มีจริงและกำลังแพร่หลายเลยถึงกับปวดเศียรเวียนเฮดกับเทรนใหม่ หลายคนรับออกมาอ้อนวอนกันระล่ำระลัก...เพื่อศีลธรรมเถิดลูกเอ๊ยยยย...กลับไปสวมลิงเสียเถอะ จากนั้นก็พูดวนเวียนกันไปโดยประเด็นไม่ไปไหนแบบนี้ทั้งสัปดาห์ หนูๆ ที่ไม่สวมกุงเกงในจึงกำลังกลายเป็นอีกสัญลักษณ์เลวร้ายที่ทำลายศีลธรรมอันดีงามพอๆ กับ ‘อำนาจเก่า’
ดังนั้น ใครที่อยากเป็นคนดีมีศีลธรรมต้องสวมใส่ลิงนะครับ และถ้าทำกันไม่ได้ ไปถกใต้กระโปรงมากๆ เข้าแล้วยังโล่งโปร่งสบายอยู่ คาดว่าอีกไม่นานอาจมีแคมเปญใหม่ ‘แอ่นจิม พกลิง’ จากกระทรวงคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ ออกโทรทัศน์รณรงค์ตามมา
พูดถึงเรื่องกระแสพอขำๆ กันแล้ว ทีนี้อยากให้หันมามองปรากฏการณ์นี้แบบไม่ขำกันบ้าง การไม่สวมใส่ลิงของหญิงสาวควรถูกมองในมุมอื่นได้มากกว่าการเป็นเรื่องของความไร้ยางอายหรือความไม่มีคุณธรรมได้หรือไม่ และเอาเข้าจริงอาจเป็นสังคมเองที่กำลังหาเหยื่อมาบำบัดความบ้าคลั่งทางวิญญาณที่ถูกทำลายไปมากในปัจจุบัน
ถ้าเคยได้ดูภาพยนต์เรื่อง BABEL แล้วหลายคนคนจำเรื่องราวของเด็กสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ เธอผิวขาว ผมดำ แววตาสดใสน่ารัก หากดูผิวเผินเธอเหมือนเด็กผู้หญิงญี่ปุ่นทั่วไปที่โตมาตามวัย และสนุกสนานกับเพื่อนได้ เธอปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะซึ่งเป็นร้านที่วัยรุ่นญี่ปุ่นทั่วๆ ไปเที่ยวกัน แต่แท้จริงแล้วเธอทั้งเป็นใบ้และหูหนวกกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอก็คือเพื่อนที่มีความผิดปกติทางร่างกายเช่นเดียวกันกับเธอ
เมื่อกลุ่มพวกเธอสื่อสารกันด้วยภาษามือในครั้งหนึ่ง หลายสายตาจับต้องมาที่กลุ่มพวกเธออย่างตั้งคำถาม สงสัย ดูแปลกประหลาดและ ‘เป็นอื่น’ ถัดนั้นมาก็เป็นฉากที่เธอถอดกุงเกงลิงออกมาและเปิดโชว์ผู้ที่กำลังจ้องมองเธออย่างเป็นอื่น เขาคนนั้นตกใจ ส่วนเธอรู้สึกสมใจ...
ฉากตอนนี้เป็นฉากเล็กๆ แต่ค่อนข้างสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่าแท้จริงแล้วเธอคือ ‘คน’ ที่มีอารมณ์ความรู้สึก เธอและกลุ่มเพื่อนก็ต้องการมี ‘พื้นที่’ และ ‘ตัวตน’ ทางสังคมเช่นเดียวกันกับคนอื่นทั่วไป ในฉากอื่นๆ ถัดยิ่งคล้ายแสดงถึงทั้งความต้องการทางความรัก การต้องการความใส่ใจ การต้องการการสัมผัสในแบบเดียวกับที่คนอื่นๆ ในสังคมได้รับและมีให้แก่กัน
BABEL ยังสื่อสารเรื่องราวที่ลึกไปจนถึงแบ็กกราวชีวิตของเธอ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งสูญเสียแม่จากเหตุการณ์ที่เธอเองไม่สามารถบอกกับใครได้ในขณะที่แม่เป็นเพียงคนเดียวที่สื่อสารกับเธอได้รู้เรื่องมากที่สุด ส่วนพ่อนั้นแม้จะดูแลอย่างดีเพียงใดก็ตาม แต่คงเป็นเพียงการดูแลชีวิตมากกว่าการสื่อสารที่เข้าไปถึง ‘หัวใจ’ ของระหว่างกัน ความโดดเดี่ยวกลายเป็นความกดดัน ความอ้างว้าง เงียบเหงา ว้าแหว่ ทั้งหมดถูกเธอเก็บซ่อนไว้ระหว่างการใช้ชีวิตในสังคมด้วย
ภาพความสดใสในวัยสาวของเธอถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้หญิงใจแตกแม้จะไม่สามารถพูดได้ก็ตาม เธอและเพื่อนไปตามที่ต่างๆ ด้วยการไม่สวมใส่กางเกงใน เที่ยวเตร่ เสพยา และพยายามเรียกร้องการสัมผัสจากเพศตรงข้าม หนังได้ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่มีพื้นที่ยืนของเธออีก เมื่อเพื่อนสนิทในกลุ่มคลอเคลียกับผู้ชายที่เธอชอบ และการเรียกร้องของเธอกลับดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นไปทุกที แต่สุดท้ายของหนังเป็นอย่างไรขอให้ไปรับชมกันเอาเอง
อย่างไรก็ตาม แม้หนังเรื่องนี้จะบอกถึงปัญหาของการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันด้วยสัญลักษณ์ที่ชัดเจนผ่านปัญหาทางร่างกายที่พูดไม่ได้ และไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ผลจะมันเป็นดุจเดียวกันถ้าหูหรือปากนั้นแม้จะเป็นปกติแต่ไม่เคยใช้ฟัง ‘เสียง’ หรือ ‘คุย’ อะไรกันเลย
การมีเด็กแกงค์ไปซิ่งรถมอเอตร์ไซค์บนท้องถนนจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นอยากเป็นนักบิดมืออาชีพ ที่ต้องสร้างสนามแข่งขันมารองรับเสมอไป แต่การใช้ ‘ความเร็ว’ เพราะ ‘เสี่ยง’ และทำให้คนในกลุ่ม ‘ยอมรับ’ หรือการใช้เสียงรถการสร้างความรำคาญเพื่อให้คนหันมามีปฏิสัมพันธ์กับเขาด้วยการด่าทอ มันอาจเป็นการแสดง ‘ตัวตน’ ที่มีอยู่ของพวกเขาต่างหาก และเรื่องแบบนี้คงไม่ต่างอะไรไปจากเทรนใหม่เรื่องการเปิดเผยเนื้อหนังมังสาของหญิงสาว หรือการมีความสุขของการถูกจ้องมอง
คำตอบทาง ‘ศีลธรรม’ คงไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ หากสังคมยังไม่เคยเห็น ฟัง สัมผัส ได้ยิน พวกเขาและพวกเธอเลย ในมุมกลับกันกรอบศีลธรรมของสังคมกำลังยิ่งกีดกันให้พวกเขาและพวกเธอต้องออกไปให้ต้องแสวงหา ‘พื้นที่’ ยืนของตัวเอง
และบางทีที่พวกเธอและพวกเขาเหล่านั้นกำลังโชว์ ‘ความไร้ศีลธรรม’ ในความหมายของพวกคุณอยู่นั้น พวกเขาอาจกำลังสื่อสารกับ ‘หัวใจ’ ของคุณอยู่ก็ได้ว่า...เข้าใจกันให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม
บล็อกของ Hit & Run
Hit & Run
ตติกานต์ เดชชพงศ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูฉากโหดๆ อาทิ หัวขาดกระเด็น เลือดสาดกระจาย กระสุนเจาะกระโหลกเลือดกระฉูด ในหนังไทย (ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านบาท!) เรื่อง ‘โอปปาติก' รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้รอดพ้นเงื้อมมือกองเซ็นเซอร์ผู้เคร่งครัดมาได้ยังไง?เพราะด้วยการทำงานของหน่วยงานเดียวกันนี้ ทำให้หนังเรื่องหนึ่งถูกห้ามฉาย เพราะมีฉากพระสงฆ์เล่นกีตาร์, และฉากนายแพทย์บอกเล่าว่าตนก็มีึความรู้สึกทางเพศ แม้แต่ฉากเด็กผู้หญิงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นเพียงตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) ก็ยังถูกเซ็นเซอร์มาแล้ว ด้วยข้อหา ‘ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี'…
Hit & Run
วิทยากร บุญเรือง ผมไปเจอข่าวชิ้นหนึ่ง เหตุเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งไม่ว่าจะยังไง ข่าวชิ้นนี้ผมว่ามันสามารถสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง สำหรับสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในโรงพยาบาลศิริราช มาหากินกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีได้ลงคอ ... (กรุณาอ่านให้จบก่อนด่า)ท่านพงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจหน้าหล่อ ได้กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน โดยขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า…
Hit & Run
พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ 26 กันยายน 2550ย่านพระเจดีย์สุเล, กรุงย่างกุ้ง ภาพที่เห็นคือ...ประชาชนหลายพันคนออกมายืนเต็มถนนย่านพระเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นย่านกลางเมือง โดยไม่ไกลนักมีกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่าตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้พระเจดีย์แห่งนี้"เราต้องการประชาธิปไตย" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว"รัฐบาลนี้อันตรายโคตรๆ" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวประชาชนส่วนหนึ่ง พยายามต่อสู้กับทหาร ทหารที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา กระทั่งปืน โดยประชาชนพยายามขว้างอิฐ ขว้างหิน เข้าใส่แถวแนวของทหารพวกนั้นก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกทุบเป็นก้อนย่อมๆก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกขว้างสุดแรงเกิด…
Hit & Run
อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาดูเหมือนเรื่องน่าจะจบลงไปแล้ว กับความพยายามของ สนช.กว่า 60 คน ที่เข้าชื่อกันยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนที่สุดท้าย สนช.จะตัดสินใจถอนการแก้ไขออกไปก่อนแม้เรื่องนี้มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประเด็น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กระแสความคิดที่เกิดขึ้น แม้ภายหลังการถอยและถอนการเสนอแก้กฎหมายแล้วก็ตามสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีจำนวน 242 คน โดย สนช. สามารถเข้าชื่อกันเพื่อเสนอหรือแก้ไขกฎหมายได้ ผ่านการเข้าชื่อเพียงจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน…
Hit & Run
จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์นอกจาก 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย และ (อดีต) วันชาติแล้ว วันสำคัญที่เงียบเหงารองลงมา (อีกวัน) ก็คงหนีไม่พ้น 6 ตุลาคม 2519 ที่รับรู้กันว่า เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เพราะเข้าใจว่าเป็นคอมมิวนิสต์ สำหรับปีที่แล้ว วันนี้อาจคึกคัก เพราะถึงวาระตัวเลขกลมๆ 30 ปี ซ้ำยังเพิ่งผ่านพ้นรัฐประหาร 19 กันยายน มาหมาดๆ กระแสเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยังมีอยู่ แต่พอปีนี้กระแสกลับไปเงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ วันที่ 6 ตุลาในปีนี้ กลายเป็นวันเสาร์ธรรมดาๆเมื่อถามถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา กับหลายๆ คน…
Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทองเป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดดเรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’…