Skip to main content

 ..สิ่งที่เรียกว่า "ตลาดไม้โบราณ" ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดใหม่ในยุค ร.4 - ร.6 เป็นยุคที่ พ่อค้าจีน (โดยเฉพาะจีนแต้จิ๋ว) ที่ ได้เป็นเจ้าภาษีสินค้าต่างๆ เช่น มะพร้าว น้ำตาล อ้อย เป็นต้น จนเกิดชุมทางการค้ามากมายตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ ทั้งนครชัยศรี ราชบุรี แม่กลอง มหาชัย สามชุก ฯลฯ (ดูดีๆ ทุกๆที่ๆเป็นตลาดไม้โบราณล้วนมีสถานที่ๆเรียกว่า “โรงเจ” และ “ศาลเจ้าทรงเก๋งจีน” แทบทุกๆแห่ง) ที่เรียกว่าสิ่งใหม่ๆสำหรับคววามเป็นไทยในยุคนั้น..

 

by Siam Theerawut

ที่มาภาพประกอบ เพจ วิวาทะ

"หรือ "อัมพวา" จะไร้ซึ่ง วิถีชีวิต ดั้งเดิม...." เพจ รัตนโกสินทร์ ( Rattanakosin ), 6 ส.ค.55

" ใครจะไปรู้ อีกสักห้าสิบ-หกสิบปีคนอัมพวาอาจจะมาระดมทุน ระดมคนมาเพื่ออนุรกษ์ไอ้ตึกเจ้าปัญหาที่ว่านี่ก็ได้ ตึกแถวไม้แบบเก่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มันก็เคยเป็นสิ่งแปลกแยกเมื่อห้าสิบ-หกสิบปีที่แล้วเหมือนกันนะ ผมว่าเราห่วงว่าจะไม่มีที่เที่ยวที่ถูกใจกันมากไปหรือเปล่า" คำด้วง ดีเสมอ, 8 ส.ค.55

จากวิวาทะด้านบน ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าผู้เขียนนำมาขึ้นหัวข้อเพื่ออะไร ก่อนอื่น ข้อความดังกล่าว มาจากภาพสิ่งก่อสร้างใหม่ล่าสุด ที่กำลังก่อสร้างในพื้นที่ของตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นอาคารทรงยุโรปแบบสมัยรัชกาลที่ 5 ในโครงการการก่อสร้างของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง(ด้วยจรรยาบรรณจึงไม่ขอเปิดเผยชื่อ และใบหน้า) ได้กลายเป็นข้อถกเถียงกันในเพจที่นำภาพดังกล่วมาโพสต์ คือ เพจรัตนโกสินทร์ ว่า อาคารดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำลายภุมิทัศน์ วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ของตลาดน้ำอัมพวา รวมไปถึงชาวอัมพวาด้วย หรือไม่???

ความคิดเห็นของสมาชิกในเพจดังกล่าว รวมไปถึงผู้มาโพสต์แสดงความคิดเห็นทั่วๆไป ได้แสดงความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป แต่โดนส่วนใหญ่ มุ่งที่จะโจมตีการก่อสร้างอาคารหลังนี้ และต่างก็เสียดายวิถีชีวิตในอดีตของชาวอัมพวา ที่กำลังจะถูกทุนนิยมสามานย์มากลืนกิน(หนีเร็วๆ ทุนนิยมมันมาแล้ว!!!) ทำลายชุมชนที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ที่หนักไปกว่านั้น ถึงกับแสดงความรังเกียจอาคารทรงยุโรปว่า เป็นสิ่งที่ทำให้อัตลักษณ์ความเป็นไทย วิถีชีวิตไทยๆ วัฒนธรรมไทย ถูกสั่นคลอน???(แย่แล้ว!!!อัตลักษณ์ไทยกำลังตกอยู่ในอันตราย...) อีกหลายความคิดเห็นก็โหยหาถึงวันเวลาเก่าๆที่ได้เคยมาล่องเรือชมหิ่งห้อย ต้นลำภู ในลำไคลองสายต่างๆในอัมพวา ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน(ตาดำๆ) ตามแม่น้ำลำคลอง ไหว้พระเก้าวัดทั้งวัดภูมิรินทร์กุฎีทอง วัดจุฬามณี ฯลฯ ว่าสิ่งเหล่า เป็นวิถีชิวิตแบบไทยแท้ๆเพียวๆ (ไม่ต้องเติมโซดา น้ำแข็ง) เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ เป็นมรกดกตกทอดถึงลูกหลานเหลนโหลน อย่าเปลี่ยนแปลง…!!!

ในขณะเดียวกัน หลายๆความคิดเห็นได้นำเสนออีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจว่า ที่จริงแล้ว วิถ๊ชีวิต บ้านเรือน ตลาดน้ำ หรืออะไรต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เพิ่งสร้าง เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเมื่อตะกี้นี้ (สดใหม่จากเตา) และมีการปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลง มาตามยุคสมัย จึงไม่แปลก ที่อัมพวา จะเปลี่ยนแปลงตนเองตามยุคตามสมัย ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ ที้ต้องพึงพาระบบทุนนิยม เหมือนกันที่อื่นๆในประเทศไทย หรือในโลกใบนี้

จริงอยู่ ที่ใครๆจะบอกว่า อาคารไม้ริ่มน้ำ หรือ “ตลาดไม้โบราณ” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับอัมพวามาแต่โบราณแล้ว แต่ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ก็ คือ สิ่งที่เพิ่งสร้างเฉกเช่นเดียวกับ อาคารทรงยุโรปเจ้าปัญหาหลังนี้ เพราะว่า สิ่งที่เรียกว่า "ตลาดไม้โบราณ" ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดใหม่ในยุค ร.4 - ร.6 เป็นยุคที่ พ่อค้าจีน (โดยเฉพาะจีนแต้จิ๋ว) ที่ ได้เป็นเจ้าภาษีสินค้าต่างๆ เช่น มะพร้าว น้ำตาล อ้อย เป็นต้น จนเกิดชุมทางการค้ามากมายตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ ทั้งนครชัยศรี ราชบุรี แม่กลอง มหาชัย สามชุก ฯลฯ (ดูดีๆ ทุกๆที่ๆเป็นตลาดไม้โบราณล้วนมีสถานที่ๆเรียกว่า “โรงเจ” และ “ศาลเจ้าทรงเก๋งจีน” แทบทุกๆแห่ง) ที่เรียกว่าสิ่งใหม่ๆสำหรับคววามเป็นไทยในยุคนั้น ว่า คนไทยพื้นเมืองดั่งเดิม หรือกลุ่มชนอื่นๆ เช่น มอญ เขมร ลาว พวน ไททรงดำ ฯลฯ ที่รู้จักการเก็บของป่า และเพาะปลูกพอกินในบ้านเรือนตนเอง มากกว่าที่จะรวบรวมสินค้า แล้วตั้งตนเป็นพ่อค้าแบบ “ชาวจีน” ที่เป็นผู้มาอาศัยที่หลัง ....อ้าว!..ไหนว่าเป็นของไทยแท้ๆแต่โบราณกาล....ไงล่ะ!!!???

และชัดเจว่า สิ่งดังกล่าวก็ไม่ใช่วิถีชิวิตดังเดิมของคนอัมพวา รวมไปถึงคนไทย หรือคนทั่งโลก เพราะพลังการผลิตของโลกใบนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 แม้แต่ในประเทศไทย สิ่งที่เรียกว่า เกษตรกรรม ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในสมัย รัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 ที่ผลิตผลผลิตทางการเกษตรเพื่อตอบสนองความต้องการเชิงพานิช กับสังคมมหาอำนาจใหม่ในยุคนั้นอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส จนกระทั่งแม้ในปัจจุบัน วิถีชีวิตขอผู้คนก็ถูกกำหนด และหล่อเลี้ยงโดยสิ่งที่หลาๆคนเรียกมันว่า “ทุนนิยม” แม้แต่ในต่างจังหวัดก็ตาม มิตรสหายท่านหนึ่งได้กล่าวว่า “ถ้าอยากชมวิถีชีวิตคนอัมพวาจริงๆให้มา ชมตอนตี 5 ที่จะมีรถรับส่งคนในพื้นที่ไปทำงานตามแพปลา โรงงานในหลายๆพื้นที่ ทั้ง จ.เพชรบุรี ราชบุรี จ.สมุทรสาคร “ นี่ไงวิถีชีวิตชาวบ้านแท้ๆ ไปดูกันๆๆ

สุดอยากจะบอกว่า....

แต่ถ้าใครยังโหยหาวิถีชีวิตแบบเดิมๆ...(จริงๆน่ะ) คงต้องลองไปใช้ชีวิตในยุคบุพกาล ที่พลังการผลิตยังล้าหลัง ไม่มีการสะสมอาหาร เน้นการหาของป่า ล่าสัตว์ ไว้กินใช้ในหมู่มวลมนุษย์ด้วยกันอย่างเท่าเทียมอย่างไม่มีชนชั้น ไม่มีกรรมสิทธิ์ส่วบุคคล ไม่มีระบบเผ่าพันธุ์ ชาติ ไม่มีแม้แต่ระบบครอบครัว มีแต่ระบบการสมรสแบบรวมหมู่ (Group marriage)!!!!

บล็อกของ ประกายไฟ

ประกายไฟ
แถลงการณ์ กลุ่มประกายไฟ 
ประกายไฟ
...ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการสังคมหลังทุนนิยมข้างต้นนี้ถือเป็นเป้าหมายหลัก และเป็นผลผลิตโดยตรงของการเติบโตของขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐาน ที่พยายามเสนอทางเลือกใหม่ในการพัฒนาท่ามกลางซากปรักหักพังของโลกสังคมนิยม ในทศวรรษ 1990 ที่นักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมต่างประกาศว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือแล้วนอกจากระบบทุนนิยมกลไกตลาดและระบอบ ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะยังไม่บรรลุ แต่คุณูปการที่สำคัญที่สุดที่ขบวนการโลกาภิวัตน์จากรากฐานได้สร้างไว้ก็คือ ความหวังที่ว่า “โลกใบใหม่เป็นไปได้” ซึ่งเป็นคำขวัญของขบวนการสมัชชาสังคมโลกนับตั้งแต่ ค.ศ.2001 เป็นต้นมา
ประกายไฟ
“..รู้สึกว่าธรายอาร์มไม่ใช่แค่กางเกงใน แต่มันแสดงถึงสัญญะบางอย่างของการต่อสู้ ซึ่งเห็นไหมคะ แค่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นกางเกงในของธรายอาร์ม คนที่สงสัยเขาก็ต้องหาเรื่องราวของมันบ้างล่ะค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้สื่อเรื่องความไม่เป็นธรรมนอกจากแคมเปญหลักของงานนี้..” - ลูกปัด 1 สวาผู้ร่วมรณรงค์ 
ประกายไฟ
 “...พวกนายทุนจึงต้องหาทางให้ปัญหาเหล่านี้ทุเลาเบาบางลง ไม่อย่างนั้นการผลิตในระบบทุนนิยมอาจต้องล่มสลาย จึงต้องสร้างกติกากลางขึ้นมาเพื่อให้การขูดรีดยังดำรงตนต่อไปได้...”
ประกายไฟ
...ผมไม่คิดว่าการมีวันพ่อวันแม่มันจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับคนที่ "มีพ่อมีแม่" (หรือแม้แต่ตัวคนเป็นพ่อเป็นแม่) แต่ขณะเดียวกันมันกลับเป็นวันที่ "ซ้ำเติม" คนที่ "ขาดพ่อขาดแม่" ซึ่งโดยปกติก็อาจจะมีชีวิตที่รันทดเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว..
ประกายไฟ
...แต่เชื่อไหม (เหมือนถาพในหนัง) ใบหน้าคนเหล่านั้นลอยออกมาปะทะสายตาเรา เรามองไม่เห็นความกลัวในใบหน้าของคนเหล่านั้น บางคนด่าไปอมยิ่มไป บางคนด่าไปก็แสดงอาการท้าทายไป มันต่างกันมาก ต่างกันจริงๆ เราเคยเห็นคนในม็อบเสื้อแดงช่วงที่มีการสลาย ทั้งวันที่ 10 เมษา และ 19 พฤษภา เราเห็นแววตาคนที่กลัวตาย เห็นแววตาคนที่มีห่วงเห็นแววตาคนที่พร้อมจะยอมตาย แต่คนเหล่านั้นไม่กร่างเท่านี้นะ
ประกายไฟ
...ที่มาที่ไปของ "เสื้อแดง" มันไม่เกี่ยวกับเรื่อง "รักเจ้า" หรือ "รักทักษิณ" ..