ในเช้าที่แม่ต้องเดินทางไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลในเมือง เป็นเช้าสุดท้ายที่แม่ได้นอนตื่นสายเช่นที่แม่เคยเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากมีสาละวินแล้ว แม่ก็ไม่ได้ตื่นสายอีกเลย
มันเป็นเช้าปกติที่แม่ตื่นขึ้นมาพบว่าอุ้มท้องลูกได้เก้าเดือนแล้ว และวันนี้หมอนัดให้แม่ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล
แม่ยังแปลกใจว่าแม่ยังไม่ได้มีอาการเจ็บท้องคลอดหรือเจ็บท้องเตือน เหมือนที่เคยจิตนาการไว้ว่าเวลาคนท้องแก่เจ็บท้องใกล้คลอด คงจะฉุกละหุก กลัวว่าลูกจะคลอดก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล
แต่เช้าวันที่ยี่สิบแปด กลับไม่มีวี่แววที่ว่า ทั้งที่คุณหมอสั่งไว้ว่าให้เก็บข้าวของที่จำเป็นเช่น ผ้าอ้อมเด็ก กาต้มน้ำร้อน มาเตรียมไว้ให้พร้อม รวมถึงเสื่อกับผ้าห่มสำหรับพ่อที่ต้องมาเฝ้าข้างเตียง
เมื่อเตรียมข้าวของทุกอย่างพร้อมแล้ว เราทั้งสามคน (รวมถึงลูกในท้องด้วย) ก็โดดขึ้นมอเตอร์ไซด์คันเก่าคู่ชีพ
เจ้าเขียวสะอื้นพาเราลัดเลาะผ่านลำห้วย ซึ่งพาดผ่านถนนที่โค้งไปมาหลายสิบห้วย บางครั้งพ่อต้องเร่งเครื่องตะกายเนินเขาสูงชันคดเคี้ยว กว่าเจ็ดกิโลเมตรจึงจะถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
เมื่อแม่เข้าไปตรวจภายในตามปกติ คุณหมอบอกว่าปากมดลูกเปิดประมาณหนึ่งถึงสองเซ็นแล้วตามกำหนดที่หมอคลาดการณ์ไว้อย่างแม่นยำ
ซึ่งนับว่าหมอคนนี้เป็นหมอสูตินารีแพทย์ที่เก่งคนหนึ่งของโรงพยาบาลแม่ฮ่องสอน เธอชื่อหมอฉัตรดาว แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย คนเก่งมักอยู่ในเมืองกันดารได้ไม่นาน เพราะแม่ทราบว่าหลังจากทำคลอดแม่ได้ไม่นาน เธอก็ขอย้ายเข้าเมืองหลวงเสียแล้ว จากนั้นแม่ก็นั่งรถเข็นมานอนบนเตียงที่ห้องรอคลอด ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงพยาบาล
ที่ห้องรอคลอดมีหญิงท้องแก่นอนรอคลอดอยู่แล้วสามราย แต่คนที่ใกล้คลอดที่สุดเธอนอนอยู่ที่เตียงฝั่งตรงกันข้าม เธอส่งเสียงร้องโอดโอยอยู่เป็นระยะ และขยับตัวไปมาจนเตียงเขย่า ทำให้สายอ็อกซิเจนที่ระโยงยางแกว่งไปมาตามไปด้วย แม่นึกในใจว่าเธอคงจะทรมานน่าดู
ไม่นานนักพยาบาลก็นำเธอนั่งรถเข็นเข้าไปในห้องคลอด พอประมาณไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เธอก็ออกจากห้องคลอดพร้อมห่อของขวัญในมือ เป็นลูกชายอ้วนท้วนแข็งแรง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไม่เหลือร่องรอยของความเจ็บปวดอีกเลย
สำหรับเตียงข้างๆ ด้านขวามือของแม่ เป็นหญิงชาวไตใหญ่ซึ่งเธอทักทายแม่ด้วยภาษาท้องถิ่นที่แม่จับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง
เธอบอกว่ามานอนรอคลอดอยู่สองคืนแล้ว จนสามีต้องขอกลับบ้านไปดูความเป็นอยู่ของลูกอีกสองคนที่ฝากยายเลี้ยงไว้ ทำให้แม่อดเป็นกังวลไม่ได้ว่าแม่อาจต้องใช้เวลาที่ห้องรอคลอดอีกสักกี่วันหนอ
ส่วนเตียงด้านซ้ายมือ เธอเป็นหญิงชาวกระเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) แม่คิดว่าเธอคงเป็นกระเหรี่ยงคริสต์ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าภาษาไทย แต่ก็ทำให้พยาบาลบ่นกันอุบอิบว่า คุยกับเธอไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
แม่สังเกตเห็นว่า เวลาพยาบาลมาตรวจอาการ ก็มักจะใช้ภาษาใบ้กับเธอ ซึ่งดูๆไม่ค่อยสุภาพนัก เช่นเวลาจะให้เธออ้าขา พยาบาลก็จะตบที่ขาสองข้างของเธอให้แยกออกจากกัน ซึ่งทำให้หญิงกระเหรี่ยงคนนั้นเข้าใจพยาบาลบ้างไม่เข้าใจบ้าง จนทำให้พยาบาลเกิดความหงุดหงิดและตะคอกใส่เธอด้วยเสียงอันดัง
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เธอเป็นครรภ์แฝดที่ใกล้คลอดเต็มแก่ แม่ไม่แน่ใจว่า ทำไมพยาบาลต่างก็พูดกันว่าต้องส่งเธอกลับไปคลอดที่โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งโดยสรุปแล้ว หากนำตัวเธอส่งกลับก็คงไม่พ้นคลอดบนรถโรงพยาบาลเป็นแน่
แต่แม่ก็ไม่ทันรู้หรอกว่าสุดท้ายแล้ว เธอจะคลอดลูกแฝดออกมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ เพราะไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราวบ่ายสามโมง พยาบาลก็ให้แม่ทานยาเร่งคลอดหนึ่งเม็ด ซึ่งก็ได้ผลทันทีแม่มีอาการเจ็บท้องขึ้นเรื่อย ๆ
อาการที่ว่า มันจะเจ็บเป็นระยะ และเจ็บถี่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ จนแม่รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเจ็บจนถึงขีดสุดแม่จะรู้สึกเกร็งไปหมดทั้งตัว จนบิดตัวและยืดหน้าอกขึ้นสูดเอาอากาศและเผลอครวญครางออกมา
พยาบาลเอาสายอ็อกซิเจนให้แม่เมื่อได้ยินเสียงครวญคราง ที่ถี่ขึ้น และค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ
แม่รู้ตัวทันทีที่อาการเจ็บท้องถึงขีดสุด ซึ่งเป็นเวลาพลบค่ำ แม่เรียกพยาบาลให้มาดูอาการ และบอกกับเธอว่าจะคลอดแล้ว
พยาบาลทำท่าไม่เชื่อ เธอบ่นปอดแปดว่าเพิ่งจะวัดปากมดลูกไปหยกๆ แต่แม่ก็ยืนยันว่าจะคลอดแล้วจริงๆ
เมื่อพยาบาลวัดปากมดลูกซ้ำครั้งที่สอง เธอก็ต้องเชื่อเมื่อปากมดลูกเปิดถึงเก้าเซนติเมตร ซึ่งก็หมายความว่าหากแม่ใช้แรงเบ่ง ลูกก็พร้อมจะออกมาสูดอากาศโลกภายนอกได้ทันที
แม่ถูกเข็นเข้าไปในห้องคลอดเป็นรายที่สอง พยาบาลสี่คนช่วยกันทำคลอด พวกเธอบอกให้แม่หายใจลึกๆ แล้วออกแรงเบ่ง
แม่พยายามเบ่งสุดกำลัง แต่พยาบาลบอกว่าแม่เบ่งไม่เป็น เบ่งแต่ที่หน้าจนหน้าแดงกล่ำแต่ไม่เบ่งที่ท้อง
พอแม่เบ่งอีกครั้งก็กลายเป็นเบ่งอุจจาระ ซึ่งก่อนที่แม่จะมานอนรอคลอดสองวันแม่มีอาการท้องเสียรุนแรงติดต่อกัน ซึ่งอาการท้องเสียที่ว่าก็ยังไม่หายขาด ทำให้แม่เกิดอาการที่ทั้งเจ็บทั้งอายพยาบาลเลยทีเดียว
เมื่อความพยายามไม่เป็นผล พยาบาลสาวซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เปิดปากมดลูก ก็ฉีดยาชาไปที่ปากมดลูกแล้วใช้กรรไกรตัดปากมดลูกให้เปิดกว้างขึ้น ในตอนนี้แม่และลูกเหลือเวลาไม่มากนัก พยาบาลบอกว่าลูกดิ้นน้อยลงแล้ว ซึ่งอาจจะขาดออกซิเจนได้ตลอดเวลา เนื่องจากหัวของลูกมาคาอยู่ทีปากมดลูกจนเห็นเส้นผมสีดำ
หากยังไม่สามารถโผล่พ้นจมูกออกมาโดยเร็ว ลูกอาจจะขาดอากาศหายใจได้ ส่วนแม่เนื่องจากต้องขยายปากมดลูกจึงทำให้เลือดออกมากขึ้น
พยาบาลร่างใหญ่คนหนึ่งบอกกับแม่ว่า พยายามอีกครั้งเธอจะขึ้นกดบนท้องช่วยอีกแรง แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันเบ่งช่วยแม่ด้วยเสียงเชียร์จากพยาบาล แรงกดทับที่ท้อง และแรงใจที่แม่จะได้เห็นหน้าลูกในอีกไม่กี่วินาทีเท่านั้น
จนกระทั่งนาทีระทึกผ่านไป ลูกเงยศีรษะขึ้นและผลุดหายออกจากท้องแม่โดยพลันด้วยมือพยาบาลผู้รับหน้าที่ตัดสายสะดือ
ครั้งแรกที่แม่เห็นลูก สาละวินตัวเขียวปรื๋อ พยาบาลต้องเอาสายยางเส้นเล็กๆ หย่อนเข้าไปในปากและคงลึกถึงท้อง เพื่อดึงเอาน้ำบางอย่างออกมา จนลูกสำลักและตัวเริ่มแดงขึ้น
แม่แปลกใจที่ลูกไม่ร้องในตอนแรกแต่พอตัวเริ่มแดงขึ้นลูกก็ร้องออกมานิดหน่อยไม่ร้องจ้าเหมือนเด็กทั่วไป
แม่อยากจะอุ้มลูกในวินาทีนั้น แต่พยาบาลบอกว่าลูกมีอาการติ๊กแม็กนีเซียม ต้องได้รับการดูแลที่เนสเซอรีซึ่งมีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างน้อย1-2 วัน
แม่จึงได้เห็นหน้าลูกใกล้ๆ เพียงเสี้ยววินาที ที่พยาบาลอุ้มลูกมาให้แม่ได้มีโอกาสสัมผัสลูกด้วยมือเพียงข้างเดียว
แม่จับไปที่แก้มเล็กๆ ของลูก พร้อมกับหยดน้ำตาของแม่ที่ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นเสี้ยววินาที แต่แม่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เลยว่า ความรู้สึกที่แม่มีในเวลานั้นมันช่างแตกต่างจากที่แม่เคยได้รับมาทั้งชีวิต และก็คงจะมีแต่เพียงคนที่เป็นแม่เท่านั้นจึงจะเคยรับรู้ถึงความรู้สึกอิ่มเอมแบบเดียวกันได้.
รักลูก
แม่