สาละวิน,ลูกรัก
แม่ได้เล่าถึงพิธีกรรมในการเรียกขวัญลูกในบทบันทึกที่ผ่านมา แม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของแม่เช่นกัน
มันเป็นพิธีกรรมที่สานสายใยแห่งความรักของครอบครัวของเราที่นับวันจะเลือนหายไปจากสังคมไทย ที่มีครอบครัวเดี่ยวเกิดขึ้นมากกว่าครอบครัวขยาย พิธีกรรมที่ว่าก็คือ “การอยู่ไฟ” นั่นเอง
พิธีกรรมที่สำคัญของสตรีหลังคลอดบุตร ซึ่งไม่ใช่จะมีเฉพาะชาวกระยันเท่านั้น แต่คนไทยสมัยก่อนก็ยังถือว่า การ “อยู่ไฟ” เป็นสิ่งที่หญิงหลังคลอดทุกคนต้องปฏิบัติ เพราะว่ากันว่า หากผู้เป็นแม่อยู่ไฟอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้น้ำนมที่ออกมาดี เป็นการขับน้ำคาวปลาและส่งผลต่อสุภาพที่ดีในยามแก่เฒ่าด้วย
แม่ไม่รู้หรอกว่า การอยู่ไฟของประเพณีไทยเป็นอย่างไร แต่แม่คิดว่า การอยู่ไฟของกระยันก็คงจะมีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก
สำหรับการอยู่ไฟของชาวกระยัน มีอยู่สองแบบ แบบแรกจะเป็นแบบที่โบราญมาก ผู้อยู่ไฟจะต้องใช้ความอดทนอย่างสูง และต้องมีผู้ช่วยเหลือหลายคน เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก โดยต้องใช้หินที่อังไฟร้อนๆแทนการใช้น้ำสมุนไพรต้มเดือด
ส่วนอยู่แบบที่สองคือการอาบสมุนไพรต้มเดือด ซึ่งขั้นตอนน้อยกว่า แต่ได้ผลไม่ต่างกัน แม่จึงเลือกแบบที่สอง
สำหรับสมุนไพรที่ใช้ในการต้มอาบนั้น ปัจจุบันหายากและต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงต้องสั่งซื้อจากหมอสมุนไพรไว้ล่วงหน้า เพื่อนำมาตากจนแห้ง ซึ่งย่าเป็นผู้เตรียมไว้ให้แม่ก่อนหน้านี้หลายเดือนแล้ว
ในทุก ๆ เช้าหลังจากที่แม่ให้นมลูกเสร็จแล้ว ก็จะลงมาใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นสถานที่อยู่ไฟ พ่อของลูกได้เตรียมไว้ก่อนหน้าที่จะเกิดลูกแล้วอีกเช่นกัน
สถานที่ดังกล่าว จะประกอบไปด้วยกระโจมผ้าเป็นรูปวงกลม มีเก้าอี้สำหรับนั่งซึ่งจะเจาะรูไว้ตรงกลาง เมื่อแม่ขึ้นไปนั่งคร่อมบนเก้าอี้ จะใช้ผ้าคลุมตัวอีกหนึ่งผืน จากนั้นพ่อของลูกก็จะยกหม้อยาสมุนไพรที่ต้มจนเดือด วางไว้ข้างใต้ของเก้าอี้ หม้อยาจะส่งไอร้อนผ่านรูที่เจาะไว้ อบรมตัวแม่จนเหงื่อไหลไคลย้อย พ่อจะคอยคนให้น้ำยาถ่ายเทความร้อนขึ้นมา ซึ่งแม่จะรู้สึกร้อนมาก แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวบางครั้งถึงกับจะหน้ามืดเป็นลมเลยทีเดียว การรมยาจะใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งความร้อนของไอลดลง
เมื่อการรมยาเสร็จสิ้นลง แม่ต้องใช้น้ำยาที่เย็นลงแล้ว มาอาบอีกรอบ ขั้นตอนนี้จะยิ่งทรมานมากกว่า เพราะต้องรีบอาบน้ำยาที่ร้อนๆ ขัดถูเนื้อตัวโดยเฉพาะหน้าท้องซึ่งจะทำให้หน้าท้องไม่ยุ้ยยื่นจนเกินไป
ย่าของลูกจะเป็นผู้อาบน้ำร้อนให้ ด้วยความตั้งอกตั้งใจ จนแม่ที่เคยคิดเหนียมอาย ก็ต้องรู้สึกว่าแม่ของพ่อก็ไม่ต่างจากแม่ของแม่ที่คอยเอาใจใส่ลูกสาวคนหนึ่งด้วยความรัก เมื่ออาบน้ำร้อนเสร็จจึงจะถือว่าเสร็จกระบวนการอยู่ไฟในภาคเช้า แต่พอตกบ่าย แม่ก็ต้องมาทำกาอยู่ไฟอีกครั้ง เช่นนี้เรื่อยไปจนครบหนึ่งเดือน
หลังจากการออกไฟแม่จะรู้สึกว่าน้ำหนักตัวลดลง ผิวพรรณผุดผ่องขึ้น ผิดกับเมื่อตอนตั้งท้อง ที่สำคัญแม่รู้สึกว่าน้ำนมไหลได้ดีไม่คัดตึงความปวดเมื่อยก็ทุเลาลง นี่เป็นเพียงผลประโยชน์ในด้านร่างกาย
แม่รู้สึกว่าภูมิปัญญาการอยู่ไฟแบบโบราณเช่นนี้ คนที่ช่วยเหลือแม ไม่ว่าจะเป็นย่าที่คอยอาบน้ำร้อนให้ พ่อที่ต้องต้มน้ำเดือดต้องใช้ความอดทนอยู่กับเตาไฟ คอยเติมฟืนอยู่ตลอดเวลา และยังต้องดูแลขณะที่แม่อบรมไอน้ำอยู่ไม่ให้เป็นลมเป็นแร้งไปเสียก่อน ยังมีน้องสาวที่ต้องคอยดูลูกในยามที่ห่างแม่ไม่ให้ร้องงอแง หรือมีสิ่งมารบกวน
การอยู่ไฟจึงเสมือนบททดสอบความรักของคนในครอบครัว มันได้สร้างไออุ่นแห่งความผูกพันขึ้นระหว่างกัน โดยเฉพาะระหว่างแม่กับย่า ที่ช่องว่างและความรู้สึกที่ห่างเหินถูกขจัดไปจนหมดสิ้น
แม่รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่ไฟแบบโบราณ ในชุมชนโบราณที่หลายคนอาจจะดูถูก แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ กลับทำให้แม่รู้สึกว่าแม่มีแม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน.
รักลูก,
แม่