เรายังคงต่อสู้กันด้วยอาวุธโบราณ
ซึ่งสร้างความเหนือกว่าให้กับผู้ที่กล้าใช้
และสร้างความย่อยยับแก่ผู้เป็นเหยื่อ
...มากว่าสามสิบสองปีแล้ว
...ปีแล้วปีเล่า
ที่เราคุกเข่าลง...
ไว้อาลัยเหล่าผู้พลีชีพ
ประณามปวงผู้สังหาร
เมื่อสามสิบสองปีก่อน...
...ปีแล้วปีเล่า
ที่เราเฝ้าปฏิญาณ...
ต่อพวงหรีด ดอกไม้ และป้ายศิลา
ด้วยคมวาทะ บทกวี คีตการ
และหยาดน้ำตา
ว่า - ในฐานะผู้ยังมีชีวิตอยู่
เราจะสร้างสังคมที่ดีกว่า
แต่เมื่อวานนี้
วันนี้
ซึ่งคงจะยืดยาวไปถึงพรุ่งนี้
เราก็ยังคงต่อสู้กันด้วยอาวุธโบราณ
ที่ยังคงอานุภาพ
ทั้งในการสร้างความเหนือกว่าให้กับผู้ที่กล้าใช้
และสร้างความย่อยยับแก่ผู้เป็นเหยื่อ
...เช่นเดียวกับเมื่อสามสิบสองปีที่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น
ขณะที่มือขวาของเราชูอาวุธโบราณ
(โดยซุกมือซ้ายเก่าๆ ของเราไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวใหม่)
...นั้น
ปากของเราก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยอ้างถึงผู้พลีชีพ
เมื่อสามสิบสองปีก่อน
...อยู่เป็นระยะ
เราไม่กล้าถามตัวเองเช่นกัน
ว่าเรากำลังเอ่ยนามผู้ที่เราเรียกว่า ‘วีรชน'
เพื่อคารวะ
หรือเพื่อขอขมา
หรือเพียงแค่ต้องการเล่าซ้ำ
เพื่อยืนยันอานุภาพของอาวุธโบราณ
ที่เรากวัดแกว่งไว้เหนือหัว
ให้บรรดาผู้ที่บังอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อเราได้สำเหนียก
...กันแน่
เราไม่กล้านึกถึงความละอาย
เช่นเดียวกับที่เราไม่สนใจเสียงทักท้วง
เพราะการทักท้วงนั้นเท่ากับดูหมิ่นต่อจิตวิญญาณสู้รบของเรา
และเป็นเพียงเสียงจากนกกาผู้อ่อนด้อยทางปัญญาและสำนึก
จนไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เราเพียรอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
‘...อาวุธใดก็ตามหากสามารถประหัตประหารศัตรูได้
วิญญูชนพึงใช้
และชนใดรบชนะศึก
พึงเรียกชนนั้นว่าวิญญูชน
(และในห้วงยามอันเหมาะสม เราก็จะเรียกพวกเขาว่า ‘วีรชน') ...'
ฝนเดือนพฤษภาฯผ่านไปแล้ว...
บนสนามรบกลางเมืองใหญ่
เราและมิตรร่วมรบซึ่งคอยสบตาให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ต่างก็นัดหมายผ่านแววตาอันคมกล้าเยี่ยงนักสู้ของประชาชน
ว่า...
เมื่อลมหนาวของเดือนตุลาฯเดินทางมาถึงอีกครั้ง
เราจะไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าป้ายศิลาแผ่นเดิม
เพื่อร่วม ‘รำลึก' ถึง ‘วีรชน'
...เหมือนทุกปี