Skip to main content

มาริยา มหาประลัย

20080418 wedding

“เฮ้ย! งั้นเรามาแต่งงานกันดีไหม(วะ)” ไม่มีแหวนเพชร ไม่มีเพลงประกอบสุดโรแมนติคคลอตาม ผู้ชายตรงหน้าฉันไม่ได้นั่งคุกเข่าอย่างในหนัง แต่พูดพลางแคะขี้มูกไปด้วยซ้ำ

กะพริบตาอีกทีฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นจูเลีย โรเบิร์ตสในหนังเรื่อง Runaway Bride ที่มีริชาร์ด เกียร์ กำลังคุกเข่าขอแต่งงานนี่หว่า แต่ฉันกำลังอยู่กับในร้านส้มตำสุดฮิปแต่โคตรแพงเพราะต้องเสียค่าดื่ม-แดกไลฟ์สไตล์คนเมืองแกล้มกับข้าวเหนียวไปด้วย

เรากำลังมันปากอยู่กับไก่ย่างและหัวข้อการสนทนาว่าด้วยความสัมพันธ์อันเผ็ดร้อนกว่าส้มตำปูรสแซ่บสะเด็ดสะเด่า หนุ่มสาวอย่างพวกเรายังโสด (ในความหมายว่ายังไม่มีแฟน) และเต็มไปด้วยพลังชีวิต หาได้ตั้งคำถามกับชีวิตไปวันๆ แค่ว่า “เมื่อไรฉันจะมีแฟนเสียที(วะ)”  

คำถามของเราในค่ำคืนนั้นก็คือ พออายุยังน้อยแบบนี้จะถือครองโฉนดความโสดก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่พออายุกระเถิบเข้าสู่เลขสามเลขสี่เมื่อไร คงต้องถูกพ่อแม่และ “ผู้หวังดีทั้งหลาย” ตั้งกระทู้ถามสดกลางสภาว่าเมื่อไรจะเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที ถึงตอนนั้นเราจะเอายังไงกันดี

ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะถูกหาว่าไม่มีใครเอาไปทำแม่ทำเมีย อันเป็นการบรรลุขั้นสูงสุดในการเกิดเป็นผู้หญิงที่ดีในสังคมที่มีรากฐานของผู้ชายเป็นใหญ่ ถ้าเป็นผู้ชายก็จะถูกตั้งคำถามกับความเป็นชายว่าเป็นเก้งกวาง (เกย์) หรือเปล่า ฟังแล้วอยากเท้าเอวถามแทนผู้ชายเหล่านั้นว่า “เป็นเกย์แล้วไง” แล้วสะบัดบ๊อบใส่หน้าคนนั้นซะ อ๊ายส์!   

คิดแล้วก็ขำ สังคมไทยสอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัวไว้เป็นมั่น แต่พรหมจรรย์ก็ต้องมีอายุการใช้งานของมัน ขืนเก็บไว้นานๆ ไม่มีใครพรากไปเสียทีก็โดนหาว่าไม่มีใครเอาอีก แล้วไอ้เรื่องการเป็นโสดกับเรื่องไม่มีใครเอานี่มันก็เป็นหนังคนละเรื่องกันชัดๆ

แต่แหม...ชีวิตก็ไม่ไร้ทางออกเสียทีเดียวหรอก ในเมื่อผู้ชายและผู้หญิงก็ถูกคาดหวังในเรื่องการแต่งงานกันทั้งคู่ ฉันและเพื่อนๆ ทั้งชายหญิงและอื่นๆ อีกมากมาย เลยตกลงกันว่า งั้นเรามาแต่งงานกันเองเถอะ!

ใช่! เราจะแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์!

ผลประโยชน์อะไรบ้างล่ะที่จะได้หลังจากการแต่งงาน โอ๊ย! เยอะแยะ! ตัดปัญหาการถูกตั้งคำถามเรื่องหน้าตาทางสังคม ฉันไม่ถูกมองเป็นสาวทึนทึกไร้คู่ พ่อแม่หมดห่วงไปได้อีกเปราะหนึ่ง ไหนจะมีคนดูแลเรายามป่วยไข้ มีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันแถมเป็นเพื่อนที่ฉันรักเสียด้วย ที่เก๋กว่านั้นคือ เราลดหย่อนภาษีได้ แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายลง ลดการใช้พลังงานลง นี่ฉันช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ด้วยนะเนี่ย! อ๊ายส์! เริ่ด! ท่าทางคู่ของเราจะอยู่ยั้งยืนยงคงกระพันตราบเท่าที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาฟ้องหย่าเพราะคู่ของตัวไม่ยอมมีเซ็กส์ด้วย!
    
อ้อ! เรื่องเซ็กส์น่ะเหรอ อันนี้แล้วแต่คน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนิยามความสัมพันธ์นี้ไว้อย่างไร บางคนอาจมีเซ็กส์กับเพื่อนได้ เพราะถือว่าเป็นคนที่เขาไว้ใจซึ่งกันและกันมากที่สุดก็ว่ากันไป แต่บางคนขืนจะให้ตกร่องปล่องชิ้นกับเพื่อนตัวเองคงไม่ไหว จะขอตัวช่วยหรือเปลี่ยนคำถามก็ตามสะดวก หรือถ้าเพื่อนชายที่ฉันจะเกี่ยวก้อยกันไปแต่งงานด้วยอยากจะเดทกับใครก็ตามใจเธอเถิด

เพราะตัวฉันเองก็จะเดทของฉัน เอิ่ม...ถ้ามีใครให้เดทน่ะนะคะคุณ! ถ้าผู้หญิงอีกคนเกิดงงๆกับความสัมพันธ์ของเราสองคน ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาเองว่า “อู้ย! คุณขา เดทกับสามีดิฉันไปเถอะค่ะ เราแต่งงานกันขำๆ เท่านั้นแหละ เอ่อ...ถ้าคุณมีเพื่อนชายก็แนะนำฉันได้นะคะ เผื่อฉันจะได้ไปลดภาษีกับคนอื่นบ้าง อ๊ายส์!!!”   
    
ความรักน่ะเหรอ? อู้ย! เราก็รักกันไงคะ แต่รักกันแบบเพื่อน ใครบอกกันว่าการแต่งงานต้องรักกันแบบ “คู่รัก” เท่านั้น การแต่งงานแบบโรแมนติค Happily Ever After แบบที่เราถวิลหาน่ะมันเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่สิบปีเองนะคุณ เหตุผลที่คนในยุคเกษตรกรรมแต่งงานกันน่ะเหรอ ก็เพื่อต้องการแรงงานเพิ่มเอาไว้ทำไร่ทำนาน่ะสิคะ อ๊ายส์! ฟังแล้วโคตรโรแมนติคเลย! ย้อนไปไกลกว่านั้น สมัยโบราณ เจ้าเมืองก็ยกลูกสาวตัวเองไปดองกับอีกเมืองหนึ่งเพื่อประโยชน์ทางความมั่นคงของรัฐตัวเอง รักเริกอะไรกันที่ไหนล่ะคะ ต่างอะไรกับที่ฉันบอกว่าอยากแต่งงานเพื่อลดภาษี!
    
เช่นเดียวกับที่คู่เกย์หลายคู่ที่บอกฉันว่า ทุกวันนี้เขาก็อยู่กินกันอย่างสามีภรรยาอยู่แล้ว แต่ เหตุผลเดียวที่เขาจะแต่งงานกันถ้ามีกฎหมายว่าเกย์สามารถแต่งงานกันได้ในประเทศไทย (ซึ่งอาจจะต้องเกิดเป็นเกย์อีกชาติ ประเทศไทยถึงจะเห็นว่าเกย์เป็น “ประชากร”) ก็คือผลประโยชน์ที่จะคุ้มครองการครองคู่ของเขาเหมือนอย่างที่สามีภรรยา Heterotype ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่ญี่ปุ่น ผู้หญิงและเกย์บางคนก็ยินดีแต่งงานกัน เพราะสังคมญี่ปุ่นคาดหวังต่อชายหญิงในเรื่องการแต่งงานสูงมาก ในเมื่อผู้ชายที่เป็นเกย์ในญี่ปุ่นไม่ได้รับการยอมรับ ส่วนผู้หญิงโสดในญี่ปุ่นก็เป็นที่ครหา การแต่งงานกันของคนทั้งคู่จึงเป็นเรื่องที่สมประโยชน์กันทุกฝ่าย ที่จริงไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่นหรอก คุณจะปฏิเสธเหรอว่าการแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์มันไม่มีเลยในเมืองไทยในปัจจุบัน

ตั้งแต่เด็ก เราถูกสังคมโปรแกรมใส่กบาลว่าสมการ พ่อ + แม่ + ลูก = ครอบครัว ย่อยลงไปกว่านั้น พ่อ = ผู้ชาย แม่ = ผู้หญิง พ่อกับแม่แต่งงานกันด้วยความรัก ฟูมฟักลูกด้วยความรัก (ละไว้ว่าด้วยความคาดหวังอีกข้อหนึ่งก็ได้) จินตนาการเกี่ยวกับครอบครัวของเราจึงถูกตีกรอบไว้แคบมากแถมยังมีอคติทางเพศเคลือบไว้ในความรักแบบครอบครัว เช่น พ่อที่เป็นเกย์จะเป็นพ่อที่ดีได้ไหม (เช่น ที่คนชอบพูดว่า “สงสารลูกเขานะ” เมื่อรู้ว่าดาราชายบางคนอาจเป็นเกย์) แล้วเป็นไปได้ไหมถ้าแม่เป็นเลสเบี้ยน ถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่ก็มีปัญญาและมีหัวใจที่เลี้ยงเรามาได้ เราจะยอมรับได้ไหม และเราจะเรียกความสัมพันธ์ของเพื่อนสองคนที่อยู่ด้วยกัน มีเซ็กส์กัน แต่ไม่ได้รักกับแบบ “คู่รัก” ว่าครอบครัวได้ไหม

แล้วเราเปิดใจไว้กว้างสำหรับ “ครอบครัว” แบบอื่นๆ ที่เป็นอยู่และกำลังจะเป็นไปไว้มากน้อยเพียงใด

เราได้เห็นว่าคนรุ่นใหม่บางกลุ่มกำลังตั้งคำถามและพยายามสร้างนิยามใหม่ของการแต่งงานและการมีครอบครัวที่มากไปกว่าสมการ การแต่งงาน = ผู้ชาย 1 คน + ผู้หญิง 1 คน + ความรักแบบคู่รัก อย่างที่สังคมเคยยัดใส่สมองมา ไปเป็นสมการการใช้ชีวิตรูปแบบอื่นที่อาจจะเข้ากับชีวิตของเขาได้ดีกว่า สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ วิธีตอบโต้กับปฏิกิริยาของสังคมของพวกเขา ในเมื่อสังคมอยากคาดหวังและควบคุมกรอบการแต่งงานดีนัก ก็โอเค! อยากให้แต่งงานเหรอ ได้! ไม่ปฏิเสธ! ถ้าผลประโยชน์มัน “ถึง” และ “พร้อม” ก็พยักหน้ายอมรับมัน แต่ไม่ได้แปลว่าเขา “ก้มหัว” ให้กับมันเสียหน่อย คุณเห็นไหมว่า “ขบถ” กำลังแอบหัวเราะเยาะหึๆ ใส่สังคมอยู่น่ะ  

เพราะหน้าฉากมันคือการยิ้มรับการแต่งงานตามจารีตปฏิบัติ แต่หลังฉากคือการตบหน้าและถ่มถุยใส่การแต่งงานดีๆนี่เอง

มันก็เหมาะกันดีกับสังคมมือถือสากปากถือศีลแบบนี้มิใช่หรือ

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะ บางทีแล้วการที่เราออกมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้น มันก็มีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามบริบทของการทำงานและพื้นที่สภาพแวดล้อม ซึ่งนั่นล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการทำงานของกลุ่มคนที่มากมายหลายประเภทเฉกเช่นดอกไม้ในสวนน่ายล ท่ามกลางบรรยากาศสังคมอมยิ้มไม่ออกเช่นนี้ เยาวชนคนหนุ่มสาวก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่เข้าไปอยู่ในบริบทของความย้อนแย้งขัดเกลาเราเขาเช่นนี้ กล่าวคือมีทั้งเยาวชนที่เห็นด้วยกับแนวทางของซีกพันธมิตร และเยาวชนที่ไม่เห็นด้วยก็มีมาก ส่วนกลุ่ม “สองไม่เอา” นั่นก็มีไม่น้อย ทว่า กลุ่มที่ดูจะมีคือ “กรูไม่เอาสักอย่าง” เสียอีกที่มีเยอะ
กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นเมื่อมีการชุมนุมของพี่ๆ ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และ กลุ่มต้านพันธมิตรฯ คือ “อีกแล้วเหรอ”  ซึ่งเป็นความรู้สึกที่กลัวว่าเหตุการณ์จะนำพาไปสู่เหตุการณ์ “รัฐประหาร” เหมือนเมื่อครั้งปี 2549 อีกหนที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ ถูกมองว่า เป็น “เงื่อนไข” สำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารในครั้งล่าสุด แถมยังไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในการต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งเลยแม้แต่นิด ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่คนอื่นๆ ทั่วไป เขาจะมองว่ากลุ่มพันธมิตร เอาดี เห็นงาม กับการทำให้เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนั้นสำหรับนักประชาธิปไตยอีกฝากแล้ว…
กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะ หลายวันที่ผ่านมาผมและเพื่อนๆ หลายคน ที่ติดตามข่าวเรื่องการชุมนุมของ “พันธมิตร” ต่างใจจดใจจ่ออยู่กับจุดมุ่งหมายท้ายสุดที่จะเดินไปถึง พร้อมๆ กับกระแสข่าวการ “ปฏิวัติ” ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อมั่นว่าการชุมนุมโดย “สันติ” อย่างมี “สติ” เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่สามารถดำเนินการได้ แต่การสลายการชุมนุมโดยการใช้ “ความรุนแรง” ที่ “ไร้สติ” นั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และปรารถนายิ่งนัก
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย1“ขอโดลเช่ เดอ ลาเช่ ขนาดกลางแก้วหนึ่งค่ะ เพิ่มกาแฟอีกชอตและะ No whip cream ค่ะ อ้อ! ขอแบบไลท์ด้วยนะคะ Low Calories ด้วย ขอบคุณค่ะ” เฮือก! โล่งอก! ฉันพูดประโยคยาวยืดนี่จบซะที! จะมีใครรู้ไหมนะว่าฉันต้องฝึกพูดคำว่า “โดลเช่ เดอ ลาเช่” มาตั้งกี่ครั้งกว่าจะมาเสนอหน้าสั่งกาแฟชื่อประหลาดอย่างคล่องปากนี่ได้ แต่คริๆ...คงไม่มีใครรู้หรอก เพราะฉันวางมาดดีไม่มีหลุดราวกับเรียนการแสดงจากครูแอ๋วมาเสียขนาดนี้ ใครๆก็ดูแต่เปลือกกันทั้งนั้นแหละเธอ! เอาล่ะ สะบัดบ๊อบไปนั่งรอกาแฟได้แล้วย่ะยัยมาริยา อ๊ายส์! จ่ายเงินก่อนสิยะเธอ!!  ฉันใช้ริมฝีปากที่ทาลิปสติค Christian Dior อย่างบรรจง ค่อยๆ ดูดกาแฟ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัยปล. คาวีเป็นชื่อพระเอกในละครตบจูบเรื่อง “สวรรค์เบี่ยง” ทางช่อง 3 ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้สวัสดีค่ะ คุณคาวี พักนี้มีข่าวข่มขืนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กันพรึ่บพรั่บ ราวกับคนในบ้านเมืองของเราร่วมแรงแข็งขัน (และแข่งขัน) กันข่มขืนเป็นเมกะโปรเจ็กต์ ตั้งแต่รุ่นเด็กประถมยันอาจารย์มหาวิทยาลัย ดูแล้วชวนห่อเหี่ยวละเหี่ยใจเสียฉิบ ไม่ยักเหมือนเวลาดูคุณคาวีข่มขืนเลยนะคะ ดูแล้วได้ความบันเทิงเริงเมืองปนโรแมนติค ก็แหม…เวลาพูดถึงคนร้ายข่มขืนผู้หญิงทีไร ใครๆ ก็นึกถึงแต่ผู้ชายตัวดำๆ ไว้หนวดเครารุงรัง หน้าเถื่อนๆ ยืนดักอยู่ตามซอกตึก เหม็นกลิ่นเหล้าคุ้งเคล้ากลิ่นเหงื่อปนกลิ่นคาวปลาตามตัว…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมต้องคิดหนักและเหนื่อยกับการใช้พลังในการพัฒนาโครงการ “กล้าเลือก กล้ารับผิดชอบ” ของเครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ ประเทศไทย โครงการนี้เป็นโครงการที่จะสร้างกลไกระดับพื้นที่เพื่อรณรงค์ สร้างความเข้าใจเรื่องเอดส์ เพศศึกษาอย่างรอบด้าน และสนับสนุนให้เยาวชน ตระหนักและมีทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้เรื่องการป้องกันเอดส์ รู้จักประเมินความเสี่ยงของตนเอง และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของตนให้ปลอดภัยผ่านการดำเนินการกับกลุ่มเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่ 8 กลุ่ม ใน 20 จังหวัดกระจายไปในภาคต่างๆ ซึ่งจะต้องดำเนินการตลอดระยะเวลา 12 เดือน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย
กิตติพันธ์ กันจินะ
ประมาณวันที่ 14 เมษายน 2551 นี้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550  ก็จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หลังจากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวและได้มีประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2551ส่งผลให้ต้องมีการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกลุ่ม องค์กร เยาวชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ อย่างขะมักเขม้นอย่างไรก็ตามสำหรับเจตนารมณ์แล้ว กฎหมายฉบับดังกล่าวมีขึ้นมาเพื่อให้เกิดกลไกการสนับสนุนการมีส่วนร่วมและพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมทั้งภาครัฐและเอกชน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ผมได้แรงบันดาลจากการเขียนเรื่องนี้จากภาพยนตร์เรื่อง “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” หนังใหม่ ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านๆ ว่ากันด้วยเรื่องของเนื้อหาในหนังนั้น ผมก็ยังไม่ได้ไปชม เพียงแต่ดูเนื้อในจากเว็บไซต์ก็พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่าภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องราวของวัยรุ่น 4 วัยในความรัก 4 มุม ทั้ง รักที่ต้องแย่งกัน รักนักร้องดาราคนโปรด รักนอกใจ และรักข้างเดียว ....อืม เอาเป็นว่า ใครอยากรู้เรื่องมากขึ้นลองเข้าเว็บไซต์ www.pidtermyai.com  ดูแล้วกันนะครับในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำเสนอชีวิตที่เกิดขึ้นของวัยรุ่นจำนวนหนึ่งในช่วงปิดเทอมใหญ่ ซึ่งบางคนก็ใช้เวลาไปแข่งกันขอเบอร์ผู้หญิง…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ใครจะไปรู้ว่าเทคโนโลยีบางอย่างจะทำให้เราไม่พลาดการสื่อสารที่สำคัญได้จริงๆ เรื่องเกิดเมื่อวันหนึ่ง, ขณะที่ผมกำลังออนไลน์โปรแกรมแชทยอดนิยมนั้น พี่ต้าร์ (วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ แห่งกลุ่ม Y-ACT) ก็ได้เข้าโปรแกรมออนไลน์ MSN จากในค่ายแห่งหนึ่ง ณ สวนแสนปาล์ม นครปฐม ซึ่งเป็นการอบรมนักศึกษาอาชีวศึกษากว่า 30 สถาบัน  “อยากดูป่ะ” พี่ต้าร์ถามและได้เปิดโปรแกรมวิดีโอออนไลน์ขึ้นมาผมตอบว่าอยาก – สักพัก ภาพเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ พี่ๆ ได้ปรากฏออกมา และมีภาพของเพื่อนๆ เยาวชนที่เข้าร่วมค่ายกำลังทำกิจกรรมอย่างสนุกสนานผมถามพี่ต้าร์ว่ามาทำอะไรกัน?พี่ต้าร์ บอกว่า “วันนี้น้องอาชีวะกว่า สามสิบสถาบัน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ในที่สุดนายกทักษิณ ก็ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน หลังจากที่ต้องเร่ร่อนรอนแรมอยู่ต่างประเทศตั้งปีกว่า กลับมาหนนี้ถือว่าได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองในคดีต่างๆ ที่ตกเป็นจำเลย และยังได้กลับมาอยู่ใกล้ครอบครัวของตนเสียด้วย ยังไม่นับรวมถึงการที่จะต้องเข้ามาเคลียร์เรื่องอะไรอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นภายในพรรคและการเมืองที่ยังไม่ค่อยลงตัวสักเท่าใดนัก  ผมดูการกลับมาของคุณทักษิณ แล้วนึกถึงชีวิตของเด็กๆ ที่เร่ร่อนไร้บ้านอีกหลายคน ที่ต่างก็พเนจรไปในที่ต่างๆ ไม่ได้กลับบ้าน หรือบ้างก็ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ซึ่งชะตากรรมของเขาหลายๆ คน ถือว่า "หนัก" กว่าคุณทักษิณหลายเท่า…
กิตติพันธ์ กันจินะ
  หลังจากที่โครงการเยาวชนไทยไม่ทอดทิ้งสังคม หรือ โครงการเยาวชน1000ทาง 1 ได้ดำเนินการมาจนจบวาระหนึ่งปีก็ถือว่าเรียนจบครบเทอมพอดี เพื่อนๆ พี่ๆ ทีมงานหลายคนต่างได้รับความรู้และประสบการณ์ในการทำงานเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากยิ่งขึ้น แม้ว่าโครงการเยาวชน1000ทาง จะเกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายเยาวชนที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาหลายปี แต่สำหรับประเทศไทยนั้นนับว่ามีโครงการที่สนับสนุนกิจกรรมของเยาวชน "มือใหม่" ไม่มากนัก ฉะนั้นโครงการเยาวชน1000ทาง ถือว่าเป็นโครงการที่ภาครัฐสนับสนุนให้เกิดการทำงานโดยเยาวชนดำเนินการ มีผู้ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นที่ปรึกษาการทำงาน…