นายหัว ส.
สภาผู้แทนคนเสื้อแดงในเรือนจำฯ ได้เปิดประชุมด่วนเพราะมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาหลายเรื่อง อันเนื่องมาจากญัตติเรื่อง “ความปรองดอง” ทำให้เกิดความสับสนในหมู่คนเสื้อแดง เช่น แม่ของน้องเกดประกาศต่อต้านการปรองดองนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ารดน้ำอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อสร้างภาพความปรองดอง การเลือกตั้งซ่อมส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้แก่พรรคประชาธิปัตย์ ข่าวว่าเพราะคนเสื้อแดงไม่พอใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ทำท่าเกี๊ยะเซี้ยกับอำมาตย์ คนเสื้อแดงทำผิดทีหลังแต่ถูกขังอยู่เต็มคุก คนเสื้อเหลืองทำผิดก่อน เป็นผู้ก่อการร้ายยึดสนามบิน ผ่านมาสามปีกว่าแล้ว ยังไม่ถูกจับขังคุก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ สั่งฆ่าคนตายนับร้อย บาดเจ็บนับพัน ยังไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหาดำเนินคดี แต่จะปรองดองยกเลิกความผิดให้ คนเสื้อแดงก็ตายฟรี ติดคุกฟรี จึงรับไม่ได้
เรื่องนี้จึงจ้องทำความเข้าใจว่า “การปรองดองคืออะไร?” คือการเจ๊ากันไป เลิกแล้วต่อกันอย่างนั้นหรือ? ถ้าเป็นเรื่องบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอาจจะใช่ แต่ความขัดแย้งปัจจุบันไม่ใช่เรื่องบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ดังคำพูดของณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่กล่าวไว้และถูกตีพิมพ์ในมติชนว่า “ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างบุคคล และระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นความขัดแย้งทางโครงสร้างสังคม เป็นการต่อสู้กันของสองกลุ่มอำนาจ” การปรองดองจึงเป็นการปรองดอง คือค่อยๆเปลี่ยนโครงสร้างสังคมแบบเก่า ไปสู่โครงสร้างสังคมแบบใหม่ โดยการปฏิวัติเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ แทนการโค่นล้มอย่างรุนแรง เรียกว่าค่อยเปลี่ยนอย่ารอมชอมนั่นเอง การปรองดองจึงไม่ใช่เลิกแล้วต่อกันให้สังคมหยุดนิ่งหรือถอยหลัง
ดังนั้นคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจะต้องยึดหลัก “การขับเคลื่อนเป็นโครงสร้างสังคม” การปรองดองเพียงลดความรุนแรงเท่านั้นเอง ยังไงสังคมก็ต้องเปลี่ยน และต้องเปลี่ยนด้วยสถานการณ์ปัจจุบันนี้แหละ เพราะเงื่อนไขสุกงอม และสุกงอมขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏการณ์ที่เห็นชัดคือ ความคิดแบบเสื้อแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปริมาณและคุณภาพ ส่วนความคิดแบบเสื้อเหลืองลดลง แตกกระจายและหมดพลัง
คนเสื้อแดงที่ถูกสื่อมวลชนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 1 กลุ่มแดงดารา 2 กลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ และ 3 กลุ่มแดงอุดมการณ์ เวลานี้แดงสองกลุ่มแรกได้มีพัฒนาการยกระดับความคิด กลายเป็นแดงอุดมการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่เมื่อพรรคเพื่อไทยและนปช.ทำอะไรให้คลางแคลงใจว่าจะออกนอกเส้นทางการขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างสังคม ก็ต้องทักท้วงติติง ไม่ใช่เดินตามอย่างหลับหูหลับตา
ผ่านการต่อสู้มา 7 ปี ลอกผิดลองถูก สูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต และอิสรภาพมากมาย คนเสื้อแดงจำนวนมากได้กลายเป็นมวลชนปฏิวัติไปแล้ว ความต้องการจึงมากกว่าสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และนำพตท.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านเท่านั้น
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้วิตกกังวล กลัวว่าการปรองดองจะเป็นการเกี๊ยะเซี้ย เพียงเพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้ นิรโทษกรรมให้พตท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย แกนนำนปช.พ้นคดี แกนนำพันธมิตรพ้นคดี นายอภิสิทธ์ นายสุเทพพ้นคดี ระบอบอำมาตย์ยังคงความศักดิ์สิทธิ์คงเดิม สังคมไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนเสื้อแดงกลัวถูกหักหลัง
พรรคเพื่อไทยกับนปช.จึงต้องทำความเข้าใจมวลชนคนเสื้อแดงที่ต่อสู้ร่วมกันมา ว่าได้ใช้ทฤษฎีอะไรในการต่อสู้ มีแนวทางและยุทธศาสตร์อย่างไร ไม่ใช่ต่อสู้สะเปะสะปะไม่มีตำราอย่างที่ผ่านมา เพราะพรรคเพื่อไทยและนปช. ต้องแบกรับภาระทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงเพื่อเลือกตั้ง จึงต้องมีลักษณะต่อสู้ จึงจะสร้างความมั่นใจแก่มวลชนได้ และมวลชนก็จะเข้าใจได้ว่าการแสดงต่างๆเป็นเพียงยุทธวิธีเท่านั้น ไม่ว่าการไปรดน้ำขอพร พล.อ.เปรม การปรองดอง การออกฎหมายนิรโทษกรรม ปล่อยเขา ปล่อยเรา และการนำพตท.ทักษิณ กลับบ้าน อะไรต่างๆ มีจุดหมายปลายทางคือ “ปฏิวัติสังคม”
การปรองดองจึงเป็นเพียงวิธีการเพื่อลดความรุนแรง ลดความเสียหายในการปฏิวัติสังคมเท่านั้นเอง ไม่ใช่หยุดการต่อสู้ หรือสมยอมกับกลุ่มอำนาจเก่า ในขณะที่สถานการณ์เป็นต่อ ก็จะเป็นการฉลาดน้อย เป็นข้อสรุปจากที่ประชุม