เรื่องสั้นจากแดนตะราง : เหตุเกิดที่ชั้น 4 (คดีพี่ฟ้องน้อง)

หมายเหตุ: เรื่องสั้นจากแดนตารางชิ้นนี้ based on true story เป็นคดีประหลาดของชายคนหนึ่งที่ถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งความในคดีร้ายแรงแห่งรัฐ เรื่องสั้นพูดถึงขั้นตอนหนึ่งก่อนที่คดีของเขาจะถูกสั่งฟ้อง เป็นเรื่องเล่าจากห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้

 

โดย เล่าซัน

            “โอ๊ย..กรุงเทพเป็นหยังคือฮ้อนจังซี๊..!”เสียงหญิงชราบ่นพึมพำกับลูกเป็นภาษาอิสาน ทันทีที่ก้าวลงจากรถ แล้วได้สัมผัสกับอากาศที่ร้อนระอุของเมืองหลวงที่เธอนานๆ จะเข้ามาเยือนซักที

            ลูกสาวกับลูกชายคนเล็กช่วยประคองแม่ที่เดินไม่ค่อยคล่องซักเท่าไร ไปหลบแดดในที่ร่มภายใต้อาคารราชการที่อยู่ใกล้ๆ กับที่จอดรถ อันเป็นสถานที่ที่นัดหมายกันในวันนี้

            “ไอ้ป้อมมันยังไม่มาอีกหรือ?” แม่เอ่ยถามลุกสาวที่เดินมาด้วยกัน
            “ยังไม่เห็นมันเลยแม่ สงสัยมันคงไปคอยข้างบนแล้วมั้ง” ลูกสาวตอบ

            ได้เวลาที่นัดหมายกันไว้แล้ว หลังจากที่ยืนคอยลูกชายคนโตอยู่พักใหญ่ ลูกชายคนเล็กจึงบอกกับแม่ว่า “ป่ะ ไปเลยดีกว่าแม่ ไม่ต้องคอยมันละ เดี๋ยวจะไม่ทัน”

            จากนั้นทั้งสามคนจึงพากันเดินขึ้นไปในอาคารสำนักงานราชการ และเดินตรงไปยังลิฟท์ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่มาติดต่อราชการ บรรยากาศดูขวักไขว่ไปหมด ลูกชายกดลิฟท์โดยไม่รอช้า ชั้น 4 ของอาคารแห่งนี้คือจุดหมายปลายทางที่พวกเขากำลังจะขึ้นไป

            ยายสา เป็นคนอีสานโดยกำเนิด เธอเกิดที่ ต.ห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เดิมมีอาชีพทำนา เก็บของป่าขาย เธอมีชีวิตที่ลำบากเหมือนกับชาวนาส่วนใหญ่ในประเทศนี้ และเนื่องจากปัญหาครอบครัว จึงทำให้เธอต้องเผชิญชีวิตกับลูกน้อย 3 คนโดยลำพัง จนกระทั่งลูกทุกคนโตกันหมด เธอจึงสุขสบายมากขึ้น ปัจจุบันเธออาศัยกับลูกสาวคนโตที่ทำงานมีครอบครัวแล้วอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนลูกชาย 2 คนก็เข้ามาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯเมื่อหลายปีก่อน

            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสินะ ที่เธอต้องมาเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย ทำความเข้าใจระหว่างลูกชายทั้งสองของเธอซึ่งมักมีปัญหาไม่ลงรอยกันบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เพราะเรื่องไม่ง่ายอย่างที่ผ่านมา ครั้งนี้อาจทำให้ลูกชายคนเล็กที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวต้องติดคุก

            มันเจ็บปวดหัวใจเสียจริงๆ ถ้าลูกๆ ของเธอไปมีปัญหากับคนอื่น เธอคงไม่เสียใจเท่านี้ แต่นี่อะไร พี่น้องท้องเดียวกัน คลานตามกันมาแท้ๆ ทำไมถึงได้โกรธเกลียดกันถึงได้ขนาดนี้ ท้ายสุดแล้ว งานนี้ไม่ว่าใครจะผิดจะถูก เธอเองก็ต้องเป็นฝ่ายเสียใจทั้งนั้น

            ก่อนจะถึงวันนี้ เธอเองและลูกสาวที่เป็นพี่สาวของลูกชายทั้งสองคนพยามขอร้อง พูดจาไกล่เกลี่ยกับลูกชายคนโตของเธออยู่หลายครั้ง เพราะอยากให้เรื่องมันจบ และไม่อยากให้เรื่องลุกลามบานปลาย แต่ท้ายสุดก็ไม่เป็นผล เพราะลูกชายคนโตของเธอไม่ยอมเจรจาใดๆ และยืนยันจะเอาน้องชายติดคุกให้ได้

            และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมวันนี้เธอจึงต้องมาทีนี่ การเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างคนนครอบครัว โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนกลางเพื่อหาทางออก จึงเป็นความหวังเดียวของเธอ,ขอให้สำเร็จทีเถอะ ขออย่าได้มีลูกเธอคนใดต้องโดนคดีความเลย

            เสียงเปิดประตูได้ยินจากในห้อง ทั้งสามคนหันหน้าไปดูพร้อมๆ กัน และยกมือไหว้ตามธรรมเนียม กับผู้ที่เดินเข้ามา หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีทักทายย่างเป็นกันเอง พร้อมแจ้งว่าพี่ชายคนโตโทรมาแจ้งว่าไม่สะดวกที่จะเดินทางมาเจรจาในวันนี้ และแล้วบทสนทนาอันน่าประหลาดก็ได้เริ่มขึ้น

            “เป็นยังไงมายังไงนี่ เธอทะเลาะอะไรกัน ไหนเล่ามาให้ฟังหน่อยซิ เป็นเรื่องการเมืองรึป่าว เธอสองคนพี่น้องนี่อยู่คนละสีใช่มั้ย? ”เจ้าหน้าที่รัฐตั้งคำถามป๋อง ลูกชายคนเล็กที่ถูกพี่ชายแท้ๆ แจ้งดำเนินคดี

            “ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลยครับ ผมเป็นคนไม่มีสี สีไหนผมเอาหมด เราแค่ทะเลาะกันเรื่องหมา” ป๋องตอบ

            “แล้วไปทะเลาะกันยังไง พี่ชายเธอถึงได้แจ้งจับ”เจ้าหน้าที่รัฐถามต่อ

            “เคยทะเลาะกันหลายครั้งแล้วครับ มันพยายามหาเรื่องผม มันสร้างเรื่องที่จะให้ตำรวจจับผมมาสามครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ หลักฐานการแจ้งความผมก็มี ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แต่ครั้งนี้มันเล่นแรง”

            “ถามจริงๆ เถอะ บอกมาตามตรงนะ เธอเป็นพวกเสื้อแดงหรือเปล่า”เจ้าหน้าที่ซักต่อ

            “ไม่ใช่เสื้อแดงแน่นอนครับ แต่ที่บ้าผมเลือกพรรคเพื่อไทย เลือกกันทั้งบ้านเลย”

            “แล้วพี่ชายของเธอล่ะ เขาเป็นเสื้อเหลืองหรือเปล่า”เจ้าหน้าที่ซักต่อ

            “แต่ก่อนมันก็แดงครับ แต่พอมันจะเอาเรื่องผม มันก็เลยเหลือง มันน่ะชอบทักษิณเอามากๆ เลยครับ เคยบอกว่าทักษิณเป็นนายกที่ดีที่สุดในโลกเลย มันน่ะแดงตัวพ่อเลยครับ”

            “ที่ว่าพี่ชายเธอเปลี่ยนเป็นเหลืองน่ะ เธอรู้ได้ยังไง”

            “ก็เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า มันไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ไปขอเขาขึ้นเวที ไม่ได้ไปปราศรัยนะ แต่มันไปโปรโมทซีดีเพลงของมัน พี่ชายของผมนี่ทำทุกอย่างที่มันได้ประโยชน์”

            “แล้วเธอรู้มั้ยว่าทักษิณนะเป็นคนยังไง”

            “ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่เสื้อแดง”

            “โอเคๆ(พูดตัดบท) แสดงว่าที่ทะเลาะกันนี่ไม่เกี่ยวกับเสื้อเหลืองเสื้อแดงว่างั้นเถอะ ใช่มั้ย งั้นเอาล่ะ เข้าเรื่องเลยละกัน เรื่องที่เธอพูดคำไม่บังควร เธอพูดว่าไรนะ? ”

            “โอ๊ย ผมไม่ได้พูด ผมไม่รู้เรื่องจริงเลยจริงๆ ครับ คำไม่บังควรอะไร ผมไม่รู้เรื่องเลย”

            (เจ้าหน้าที่รัฐใช้โทรศัพท์หาพี่ชายในทันที) “ฮัลโหล นี่ฉันอยู่กับแม่เธอ พี่สาว และน้องชายเธอ ไหนเธอบอกมาซิว่าน้องชายเธอพูดคำว่าอะไร คำไม่บังควรน่ะ” (ระหว่างฟังคำตอบก็พยักหน้างึกๆ ส่งเสียงอืมๆ อยู่ในลำคอ ก่อนจะวางหูไป) “พี่ชายเธอบอกว่า ตอนที่เธอดูทีวีเสื้อแดง เธอเห็นข่าวในหลวง เธอพูดคำว่า xxxxx ใช่มั้ย เธอพูดได้ยังไง เธอเป็นคนไทยหรือเปล่า ?” (เสียงโกรธชัดเจน) “พี่ชายเธอเขาฝากบอกมาด้วยนะว่าคนอย่างเธอจะต้องได้รับบทเรียน ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”เจ้าหน้าที่รัฐกล่าว
           
            ยายสาน้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะร้องไห้ พี่สาวเองก็ตกใจ บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมาในทันที

            “นี่คุณแม่ คุณแม่ต้องรู้ดีว่าลูกคนไหนทำอะไรไม่ดีเอาไว้ คุณแม่ต้องบอกความจริงมานะ จะได้ช่วยกันเคลียร์ให้จบๆ ถ้าทำก็บอก จะได้ช่วยเหลือกันได้”เจ้าหน้าที่รัฐถามต่อ

            “ลูกฉันจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก และฉันก็ไม่เชื่อว่าลูกฉันจะทำอย่างนั้นด้วย ฉันก็เห็นว่ามันกราบไหว้ทุกวัน ครอบครัวฉันทุกคนก็เทิดทูนท่านเท่าชีวิต มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำอย่างนั้น ที่พี่ชายเขาแจ้งจับ ก็เพราะมันทะเลาะกัน มีปัญหากัน มันทะเลาะกันมาหลายครั้งแล้วนี่  ฉันยังเคยบอกให้ป๋อง(ลูกชายคนเล็กที่ถูกพี่ชายแจ้งจับ)ย้ายออกจากบ้าน อย่าอยู่บ้านเดียวกัน แต่มันบอกขอทนๆไปก่อน เก็บเงินซักก้อนแล้วค่อยย้ายออก จริงๆ นะคุณ ไอ้ป๋อง มันไม่เคยทำอะไรพี่มันเลย แต่พี่มันแหละทำน้อง ฉันไม่โกหกหรอก ฉันก็แม่ของมันทั้งคู่ ฉันรู้จักลูกฉันดีทุกคน”ยายสาพูดเพื่อขอความเห็นใจให้ลูกชาย
           
           “อย่างนี้คุณแม่ก็ลำเอียงน่ะสิ พูดเหมือนจะเข้าข้างลูกชายคนเล็กเลย”

            “ไม่ลำเอียงหรอกคู้น ฉันนะรักลูกเท่ากันหมด ไม่ว่าใครก็รักลูก ฉันเตือนไอ้ป๋องมันแล้วให้ระวัง ฉันรู้นิสัยพี่มันดี กลัวว่าสักวัน ทะเลาะกันหนักเข้า มันจะเอายาบ้ามายัดให้  ไอ้นี่มันทำได้จริงๆ”ยายสากล่าว

            “เอาล่ะๆ (พูดเสียงดัง)ไอ้เรื่องข้อความที่เธอเขียนบนแผ่นซีดีน่ะ อันนั้นไม่ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก แต่เรื่องคำไม่บังควรนี่ซิ ตกลงเธอพูดจริงมั้ย ถ้าพูดก็ยอมรับมาตรงๆ จะได้ช่วยแก้ไขได้”

            “ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่ได้พูด จะให้ผมยอมรับได้ยังไง”ป๋องตอบ

            “เธอต้องพูดความจริงนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์น่ะมีจริง ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ”

            “ผมก็พูดความจริงนี่ครับว่าผมไม่ได้ทำ ไม่ได้พูดจริงๆ”

            “ฉันไม่เชื่อหรอก พี่ชายเธอน่ะเขาเป็นคนดีนะ เขาปกป้องสถาบัน น่ายกย่องมากๆ นี่ขนาดน้องชายแท้ๆ ทำผิด เขายังกล้าแจ้งความเลย เขาเป็นคนดีมากจริงๆ”

            “ไม่จริงเลยครับท่าน คนดีๆ เขาไม่ยึด ไม่แย่งกิจการน้องตัวเองหรอก”

            “ก็แล้วทำไมเขาถึงแจ้งความจับเราล่ะ”

            “ผมก็ไม่รู้ ตอบไม่ถูก อะไรๆ มันก็เอาไปหมดแล้ว บริษัทของผมมันก็ยึดไป หนี้ก้อนโตมันก็ทิ้งไว้ให้ผม แล้วนี่มันจะเอาอะไรอีก”ป๋องตอบ

            “เธอนี่ เป็นคนไม่สมควรด่าพี่ตัวเองนะ”

            “ก็ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เคยเห็นแต่น้องทำพี่ นี่อะไรกันพี่ทำน้อง”

            “ถ้าน้องไม่เลวจริง ไม่มีพี่คนไหนเขาทำหรอก ก็อย่างน้องของฉันเหมือนกัน แต่ไม่ต้องไปพูดถึงมันหรอก เพราะมันถูกยิงตายไปแล้ว”เจ้าหน้าที่พยายามยกตัวอย่างที่เกิดกับเขา เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้องเขาก็ไม่ดีเหมือนกัน

            ในระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น โทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ดังขึ้น เธอลุกออกไปเพื่อพูดคุยอยู่ประมาณ10 นาที จึงกลับเข้ามา พร้อมกับคำถามต่อ

            “เธอรู้มั้ยว่าทักษิณทำอะไรเสียหายกับบ้านเมืองไว้บ้าง?”

            “ไม่รู้เลยครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่สนใจการเมือง”

            “แล้วเธอเคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงหรือเปล่า?”

            “ไม่เคยครับ ไม่เคยเลยสักครั้ง”

            “ฉันไม่เชื่อเธอหรอก (ตะคอกเสียงดังอย่างมีอารมณ์) บอกมาตรงๆ ว่าเธอไปร่วมชุมนุมที่ไหนมาบ้าง”

            “ผมเคยแค่ผ่านไปที่งานชุมนุมคนเสื้อแดงเท่านั้น เพียงครั้งเดียว แต่ไม่ได้ตั้งใจไปชุมนุมเลย ที่ผ่านไปเพราะมันอยู่ใกล้บ้าน บ้านผมอยู่หลักสี่ งานชุมนุมมีที่วัดไผ่เขียว พี่ชายผมคนนี้แหละบอกให้แวะไป ให้ผมแวะซื้อเสื้อแดง สัญลักษณ์ของคนเสื้อแดงมาเพื่อใช้ค้าขาย มันจำเป็นเพราะในสถานการณ์บ้านเมืองแบบที่มีทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดง คนทำมาหากินอย่างผม ทำงานลำบาก ผมเลยต้องมีสัญลักษณ์ทั้งแดงและเหลืองติดเอาไว้ เวลาเจอลุกค้าเหลืองผมก็ผูกผ้าเหลือง ใส่เสื้อเหลืองก็ขายของได้คล่อง เจอลูกค้าแดงผมก็ทำแบบเดียวกัน ได้ผลมากๆ ค้าขายดี”

            “(ยกแฟ้มกระแทกโต๊ะ แสดงอาการไม่พอใจ)เธอนี่แก้ตัวอยู่นั่นแหละ เธอทำเธอก็บอกว่าทำสิ เธอน่าจะเป็นลูกผู้ชายพอ เธอดูนะ ที่พี่ชายเธอกล่าวหาเธอแต่ละอย่าง เธอทำไปได้ยังไง ไอ้พวกเสื้อแดงเนี่ย มาอยู่เมืองไทยกันทำไม ทำไมไม่ย้ายไปอยู่เขมรซะให้หมดเรื่องหมดราว เลวจริงๆ” เจ้าหน้าที่โมโหจนหน้าแดง

            ทุกคนภายในห้องต่างเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงแอร์ครางหึ่งๆ ไม่มีใครกล้าขยับตัว หรือขยับเขยื้อนให้เกิดเสียงใดๆ ที่อาจทำให้เจ้าหน้าทีคนนี้ หงุดหงิด หรือรำคาญใจ เพิ่มมากขึ้น

            “เอาล่ะ เดือนหน้าเธอค่อยมาฟังคำสั่ง ติดต่อมาแล้วกัน ให้พี่สาวเธอโทรมาก็ได้”

            แล้วบทสนทนาอันแสนยาวนานก็จบลงเพียงเท่านี้ เป็นการจบลงบนความสงสัยว่านี่เป็นการไกล่เกลี่ย หรือเป็นการเกลี้ยกล่อมให้ติดคุก

            หลังจากนั้นไม่กี่เดือนถัดมา ป๋องถูกเรียกไปยังศาลอีกครั้งเพื่อรับคำฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ซึ่งในตอนแรกเขาและครอบครัวมั่นใจว่าไม่น่าจะเอาผิดกับเขาได้ และถึงแม้ว่าเขาถูกฟ้องจริง เขาก็น่าจะได้รับการประกันตัว เพราะยืนยันที่จะสู้คดีมาตลอด ไม่เคยคิดที่หลบหนี

แต่ปรากฏว่า การเดินทางไปศาลในวันนั้น ทำให้เขาต้องสูญสิ้นอิสรภาพ โดยไม่เคยได้รับการประกันตัวอีกเลย เขาถูกจองจำอยู่ในคุกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          

โปรดติดตามตอนต่อไปที่เกี่ยวข้องกัน “หรือเราจะไม่ใช่สายเลือด..เดียวกัน” ที่นี่เร็วๆ นี้

 

ความคิดเห็นของนักต่อสู้ชนชั้นรากหญ้าต่อคณะกรรมการสภาปฏิรูปประเทศไทย

 

ติดตามการประชุมนัดแรกของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยที่มีนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าร่วมเปิดประชุมแล้ว มีความเห็นว่า ผู้ที่เสนอความคิดเห็นตรงกับปัญหาที่สุดคือ คุณครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ นอกนั้นล้วนแต่ “ขี่ม้าเลียบค่าย”

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์

การประกาศยุติบทบาทของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นเรื่องเข้าใจว่า เพราะตกอยู่ในสภาพจำยอมจากความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ที่ต้องการให้สังคมไทยหยุดนิ่ง หรือก้าวถอยหลัง ตามอุดมการณ์ของกลุ่มอนุรักษ์นิยม ดังคำประกาศของกลุ่ม “พิทักษ์สยาม” ที่จะแช่แข็งประเทศไทย