เอกชัย หงส์กังวาน
เกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประเทศไทยโดยเฉพาะการปลูกข้าว ข้าวถือเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ ขณะที่ประชากรไทยกว่าร้อยละ 70 เป็นชาวนา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกรัฐบาลจะมีนโยบายต่างๆ เพื่อเอาใจชาวนาเหล่านี้
โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการยอดนิยมที่หลายรัฐบาลใช้เพื่อช่วยเหลือชาวนา บางรัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนไปใช้เป็นโครงการประกันราคาข้าว แต่ทุกโครงการของทุกรัฐบาลล้วนเหมือนกันคือ การตั้งราคาข้าวสูงกว่าราคาตลาด ทำให้โครงการเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับชาวนา
การเมืองปัจจุบันเป็นการแข่งขันกันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ทั้ง 2 พรรค ต่างนำเสนอโครงการช่วยเหลือชาวนาด้วยการตั้งราคาที่สูงกว่าตลาดเพื่อหลังผลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เมื่อพรรคการเมืองใดได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเดินหน้าโครงการของตนเอง แม้ว่าจะต้องขาดทุนเท่าไรก็ตาม
โครงการรับจำนำข้วของรัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นโครงการที่สร้างความพอใจให้กับชาวนาเป็นอย่างมาก เนื่องจากการตั้งราคาที่สูงมากเมื่อเทียบกับราคาตลาด แต่เนื่องจากขาดการวางแผนการตลาดที่ดีจึงส่งผลให้การระบายข้าวมีปัญหา
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวในโลกที่เป็นประเทศส่งออกข้าว คู่แข่งสำคัญของไทยคือ เวียดนาม ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าและผลผลิตต่อไร่ที่สูงกว่าของเวียดนาม ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลก จนเป็นเหตุให้ทุกรัฐบาลต้องขาดทุนจากโครงการเหล่านี้นับแสนล้านบาทต่อปี
ในแต่ละปีไทยผลิตข้าวได้ประมาณ 20 ล้านตัน บริโภคภายในประเทศประมาณ 10 ล้านตัน เหลือส่วนต่างประมาณ 10 ล้านตัน แต่ด้วยนโยบายจำนำข้าว ราคาข้าวไทยในตลาดโลกจึงสูงกว่าคู่แข่ง และทำให้การส่งออกของไทยประสบปัญหาจนเหลือข้าวค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้รัฐบาลขาดเงินทุนหมุนเวียน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงควรปรับเปลี่ยนวิธีระบายข้าวจากการจำหน่ายแบบรัฐต่อรัฐ เป็นการจำหน่ายแบบการตลาดสมัยใหม่
ปัจจุบันเราจะเห็นสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลกหลายตราสินค้าวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วโลก เช่น Coke, Pepsi, Red Bull ตราสินค้าเหล่านี้ล้วนใช้มืออาชีพระดับโลกในการประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตราสินค้าเหล่านี้มีชื่อเสียงจึงสามารถเป็นผู้กำหนดราคาขายสินค้าของตนเองได้
รัฐบาลควรจัดตั้งวิสาหกิจแห่งใหม่เพื่อดูแลการจำหน่ายข้าวโดยเฉพาะ รัฐวิสาหกิจแห่งนี้ควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นในรูปแบบของบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจแห่งนี้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะด้านการเงิน การผลิต การควบคุมคุณภาพสินค้า การตลาด และการประชาสัมพันธ์ และควรว่าจ้างมืออาชีพด้านการสร้างตราสินค้าระดับโลกมาช่วยบริหาร เพื่อสร้างให้ข้าวถุงของไทยมีชื่อเสียงระดับโลก
ข้าวถุงคุณภาพสูงจากรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ควรมีขนาด 2-5 กิโลกรัม เพื่อที่จะจำหน่ายโดยตรงสู่ผู้บริโภคในต่างประเทศ และมุ่งเจาะตลาดชนชั้นกลาง และชนชั้นสูง ซึ่งมีกำลังซื้อสูง และพร้อมที่จะซื้อสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม อีกทั้ง รัฐบาลควรใช้ประโยชน์ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยได้ทำไว้ประเทศต่างๆ
หลายคนอาจเห็นว่า ราคาข้าวของไทยสูงกกว่าตลาดโลก อาจทำให้จำหน่ายข้าวถุงได้ยาก แต่ถ้าหากไทยสามารถสร้างตราสินค้าให้ติดตลาดโลกได้แล้ว ปัญหานี้ก็จะหมดไปเช่นเดียวกับตราสินค้าระดับโลกอื่นๆ ที่สามารถกำหนดราคาขายของสินค้าตนเองได้ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าราคาตลาดก็ตาม