ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง
ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา
ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด ที่คนสนามหลวงฟังเพียงไม่กี่คนกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและมีผู้คนรับรู้ไปทั่วบ้านทั่วเมืองและเป็นเหตุให้เขาต้องออกถูกออกหมายจับ เข้ามอบตัวโดยนำฝูงชนไปปิดล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาล ข่มขู่ไปต่าง ๆ นานาหากไม่ยอมให้ประกันตัว
ถ้าหากสิ่งที่ ดา ตอร์ปิโด พูดปราศรัยเป็นเรื่องดี ๆ ที่น่ายกย่องสรรเสริญก็ควรที่จะเผยแพร่ให้คนทั่วไปจะได้รับรู้ แต่หากสิ่งที่ ดา ตอร์ปิโด กล่าวบนเวทีสนามหลวงนั้นเป็นอะไรที่ตรงกันข้าม การช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ทั่วประเทศโดยกลุ่มพันธมิตร ฯ จึงเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง
ถ้าม็อบพันธมิตรฯ เห็นว่า ดา ตอร์ปิโด หมิ่นเบื้องสูงก็สามารถร้องเรียนกับตำรวจได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องนำคำพูดของเธอ มาเล่าซ้ำให้ผู้ชุมนุมและคนทั้งประเทศฟัง แต่เหตุใดเล่าที่สนธิ ลิ้มทองกุล จงใจจะเล่าเรื่องนี้ซ้ำ
ต้องการวาดภาพสร้างจินตนาการเชื่อมโยงการกระทำครั้งนี้ เข้ากับกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามแบบที่เขาถนัด ?
หรือต้องการ “สร้างความจริง” ว่าด้วยเรื่อง “สาธารณรัฐ” ที่เขาโฆษณาชวนเชื่อมาโดยตลอด ?
หรือว่าสนธิ ลิ้มทองกุล มีเจตนาที่จะหมิ่นสถาบันเบื้องสูงโดยอาศัย “ปาก” ของคุณดา ตอร์ปิโด ?
สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เพียงแต่จะถ่ายทอดคำพูดของ ดา ตอร์ปิโดเท่านั้น หากแต่นำคำพูดนั้นมาขยาย เพิ่มเติม ใส่ไฟ ปั้นน้ำเป็นตัว ปลุกระดม เพื่อเร้าอารมณ์รวมหมู่ให้เกิดความรู้สึกคลุ้มคลั่งตามแบบของพวก “ฝ่ายขวา” ที่มักนำเอาเรื่องชาติ (เขาพระวิหาร) ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มาเล่น
การที่สนธิ ลิ้มทองกุล นำเรื่องนี้มาเล่น และขยายจนเกินจริงนั้น เขามีจุดประสงค์เพื่อต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จริงหรือ ?
ความจงรักภักดี ของ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเรื่องที่น่าสงสัย ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาว่าด้วยเรื่อง “สองไม่ยืน” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ก็เคยตั้งข้อกังขาในเรื่องนี้ไว้เช่นกัน
อันที่จริง สนธิ ลิ้มทองกุล มีปัญหาเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เขาไม่เคยหลาบจำ ในทางตรงข้ามดูเหมือนว่า ”เรื่องที่เกี่ยวกับสถาบัน” นั้น เขามีความนิยมเป็นพิเศษ เขาไม่เคยจะละเว้นให้ผ่านไปโดยไม่นำมาขยายผลหรือทำให้เป็นประเด็น
จุดประสงค์หรือเจตนาของสนธิ ลิ้มทองกุล ในการเผยแพร่ ทำซ้ำ กระทั่งดัดแปลง คำพูดของดา ตอร์ปิโด นั้นคืออะไรกันแน่ ?
เจตนาแท้จริงของสนธินั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้ บางทีเขาอาจไปไกลเสียจนถึงจุดที่ตัวของเขาเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเจตนาของตนเองคืออะไร บางทีคนเราเมื่อได้รับความกดดันมาก ๆ หรือต้องต่อสู้มาก ๆ เป้าหมายที่ตั้งไว้ในตอนแรกก็จะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อชัยชนะแต่กลายเป็นต่อสู้เพื่อต่อสู้ การต่อสู้กลายเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง
พันธมิตร ฯ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น พวกเขาเริ่มต้นต่อสู้กับรัฐบาลใหม่ด้วยการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อมาเปิดประเด็นโจมตีรัฐมนตรีบางคนกดดันเพื่อให้ลาออก ต่อมาเป็นการขับไล่รัฐบาลทั้งคณะที่พวกเขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นการเสนอการปกครองระบอบใหม่มาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยคือระบอบ 70 : 30 ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการลากตั้งถึง 70 % ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการตอบรับแม้ในหมู่คนกรุงเทพ ฯ
เหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นว่า พันธมิตรกำลังต่อสู้เพื่อให้ได้ต่อสู้ ต่อสู้เพราะต้องต่อสู้ หรือต้องต่อสู้เพราะว่ามันเป็นเรื่องการทำธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากภาวะแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นคดีความในอดีตที่ยังค้างอยู่ในศาล ท่าทีที่ “ก้าวล่วง” หลายต่อหลายครั้ง อาจพอสรุปการกระทำของสนธิ ลิ้มทองกุลในครั้งนี้ได้ว่า “อาจจะ” มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง หรือมีเจตนาที่ “สุ่มเสี่ยง” ต่อการหมิ่นเบื้องสูง (ผมสามารถใช้คำว่า “อาจจะ” หรือ ”สุ่มเสี่ยง” ในการพิพากษาตัดสินคนอื่นได้แบบเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาตัดสินอย่างน่าอัศจรรย์ในคดีเขาพระวิหารโดยใช้คำว่า “อาจจะ” และ “สุ่มเสี่ยง”)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสนธิ ลิ้มทองกุล “อาจจะ” มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง แต่เขาก็ได้รับการประกันตัวออกไปเพราะเขาคิดว่าเขาคือมาเฟีย ในขณะที่ ดา ตอร์ปิโด ต่างออกไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอชื่นชม อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จากใจจริงที่ขอยื่นประกันตัว ดา ตอร์ปิโด โดยไม่กลัวผลกระทบที่จะเกิดแก่ตนเอง
ดา ตอร์ปิโด และสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ต่างกัน เรามาดูกันสิว่าระหว่างคนที่กล้าพูดในสิ่งที่ตนเองเชื่อกับมาเฟียข้างถนนจะมีบทสรุปตอนท้ายอย่างไร.