Skip to main content
การเมืองไร้หลักการหลังรัฐประหาร ปี 49 นำมาซึ่งเรื่องชวนหัว ขำ ฮา ตลกร้าย ตลกแต่หัวเราะไม่ออก ตลกจนอยากจะร้องไห้ ฯลฯ หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ในที่นี้อยากจะหยิบยกมาพูดคุยสัก 4 เรื่อง


เรื่องแรก ไม่เป็นเหลือง การปลดคุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการคู่บุญของเครือมติชนด้วยข้อหาไม่เป็นกลางนั้นฮาครับ แต่หัวเราะไม่ออก การไม่เป็นกลางนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงนี่สิเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ (แต่คนเสื้อแดงหลายคนก็บอกว่าไม่เห็นคุณเสถียรจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงเลย) ในทางกลับกัน รายของ "นงนุช สิงหเดชะ" ซึ่งเขียนด่า (ใช้คำว่าด่า) คนเสื้อแดงและทักษิณมายาวนาน ด่าเอา ด่าเอาด้วยถ้อยคำที่ครูบาอาจารย์ไม่เคยสั่งสอนกลับไม่เป็นไร นงนุช เคยเขียนว่า

\\/--break--\>
"เสื้อแดงชอบอ้างว่า หลังการรัฐประหารประเทศไม่มีประชาธิปไตย ถูกกดขี่โดยอำมาตยาธิปไตยและเผด็จการ แต่เหลือเชื่อที่พวกที่บอกว่าตัวเองไม่มีประชาธิปไตยสามารถนำม็อบไปบุกล้อม บ้านประธานองคมนตรีทั้งคืน ทำลายทรัพย์สินราชการ บุกล้อมรัฐสภาไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบาย สามารถยกพวกไปทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเสรี ถามว่ามีคนไทยที่รักและเข้าใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคนใดบ้าง ที่จะอยากอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยของพวกเสื้อแดง"

http://www.matichon.co.th/matichon/view%20...%202009-01-08

 

คุณเสถียร จันทิมาธร ถูกบีบให้ออก ไม่ใช่เพราะไม่เป็นกลาง แต่เป็นเพราะไม่เป็นเหลืองต่างหาก


เรื่องที่สอง แมสเสซมรณะ การส่งข้อความไปหาแฟนสาวของพลทหารอภินพ เครือสุข นำมาซึ่งความตายอย่างคาดไม่ถึง


"เมื่อคืนนี้นายกฯ มานอนบ้านแม่ทัพด้วย วันนี้ความคิดถึงกำลังก่อตัวเป็นก้อนเมฆ เพื่อจะลอยไปหาที่รัก LOVE เหมียวที่สุดในโลก ความรักที่ให้ทุกวัน มั่นคงเหมือนดวงจันทร์ส่องแสงตลอดทั้งคืน" (โพสต์ทูเดย์ วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552) http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=44673

 

ข้อความที่ส่งหาแฟนสาวไม่มีอะไรเลยนอกจากคำหวานตามประสาหนุ่มสาวกระทั่งความภาคภูมิใจที่ได้เห็นนายกฯ แต่ฝ่ายรัฐบาลคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการส่งข่าวบอกคนเสื้อแดง พลทหารอภินพ เครือสุข จึงพบจุดจบอย่างอนาถ คณะแพทย์ที่ทำการผ่าพิสูจน์ศพบอกว่า


"ส่วนที่บริเวณคอมีรอยช้ำที่ต้นคอ (ด้านหลังของคอ) มีการแตกของกะโหลกศีรษะ โดยเนื้อส่วนฐานของศีรษะด้านซ้ายมีรอยร้าวต่อเนื่องจากด้านซ้ายไปถึงบริเวณกึ่งกลางกะโหลกศีรษะยาว 5-7 เซนติเมตร นอกจากนี้ ยังพบมีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มไขสันหลังบริเวณต้นคอชัดเจน และยังพบว่าเนื้อสมองส่วนหลัง ด้านซ้ายมีรอยกดบุ๋มลงไปชัดเจน ซึ่งสัมพันธ์กับเลือดที่ออกบริเวณส่วนกะโหลกที่แตก สาเหตุที่รู้ว่ารอยกดเป็นรอยของเลือดที่ออก ก็เพราะว่าเนื้อสมองกลีบซ้ายส่วนหลังมีรอยกดยุบสัมพันธ์กับเลือดที่ออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นหนาที่ยังคงค้างอยู่ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต คือ กะโหลกศีรษะส่วนหลังแตก ทำให้เลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นหนาที่กดเนื้อสมอง ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยกดที่เกิดจากเลือดยุบลงไปทับเนื้อสมองความลึกประมาณ 0.5 ซม. เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งดูจากเนื้อสมองที่เหลืออยู่จากการผ่าศพครั้งแรก" (มติชนรายวัน 27 เม.ย. 52)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1240839967&grpid=04&catid=01


ร่องรอยขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังอ้างง่าย ๆ ตามสคริปต์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า "ลื่นล้มในห้องน้ำ" ! "เป็นอุบัติเหตุ" ! ช่างน่าภูมิใจกับภูมิปัญญาในการเอาตัวรอดของรัฐบาลเสียจริง ๆ !


เรื่องที่สาม กระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า โฆษกกองทัพบกแสดงภูมิปัญญาในการเอาตัวรอดระดับเดียวกับรัฐบาลในการตอบข้อข้องใจเรื่องการทำร้ายประชาชนด้วยการบอกว่ากระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า ส่วนที่ยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นกระสุนซ้อม


"ส่วนเรื่องภาพที่นำเสนอทางโทรทัศน์ บางภาพจำเป็นต้องอธิบายความเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน เวลาชมข่าว คือ เรื่องการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ในการเข้าสลายการชุมนุม จะมี 2 ลักษณะด้วยกัน ลักษณะที่ 1 เป็นการใช้อาวุธและกระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า เพื่อใช้เสียงข่มผู้ชุมนุม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาใกล้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และก็ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทำงานสะดวกขึ้น ไม่มีการใช้อาวุธโดยตรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม อันนี้ คือวิธีการใช้อาวุธกระสุนวิธีที่ 1

วิธีที่ 2 หากปรากฏว่า กลุ่มผู้ชุมนุมมีอากัปกิริยาที่จะเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ เราจะมีอาวุธปืนประเภทที่ 2 ที่บรรจุกระสุนซ้อมรบซึ่งหัวกระสุนชนิดนี้จะเป็นลูกกระดาษ เมื่อยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีเฉพาะเสียงดังออกมา แต่ลูกกระดาษจะไม่พุ่งไปข้างหน้า ซึ่งจะไม่เป็นอันตรายกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งภาพที่นำเสนอทางทีวีหลายช่องจะเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องทำความเข้าใจว่า ในพื้นที่ที่มีการปฏิบัติภารกิจลักษณะของการใช้กระสุนซ้อมรบจะมีผู้สื่อข่าวจำนวนมาก ตรงนั้น เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เจ้าหน้าที่ไม่ใช้กระสุนจริงในการยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม สำหรับการปฏิบัติทางทหารก็มี 3 เรื่องที่สำคัญ ที่จะเรียนให้พี่น้องประชาชนรับทราบ" (โพสต์ทูเดย์ 14 เม.ย.52)

http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=42348


คำอธิบายของโฆษกกองทัพบกถูกหักล้างด้วยบาดแผลของคนเสื้อแดง แต่เวรกรรมที่สื่อมวลชนไม่คิดจะหาความจริงจากคำอธิบายครั้งนี้เลย


เรื่องที่สี่ แก๊สน้ำตาขาขาด แก๊สน้ำตากลายเป็นอาวุธสังหารไปได้เมื่อผ่านการตรวจสอบจากหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ คุณหมอรายนี้กล่าวว่า


"การตรวจสอบ และสาธิตยิงแก๊สน้ำตาพบสารระเบิดอาร์ดีเอ็กซ์จากการยิงแก๊สน้ำตาทั้งชนิดยิง และชนิดขว้างที่ผลิตจากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยพบ 3 ชนิด จาก 6 ชนิด ที่ตำรวจใช้ในการสลายการชุมนุม แก๊สน้ำตาที่นำมาตรวจเป็นชนิดที่ตรงกันกับที่ตำรวจและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำมามอบให้ตรวจ นอกจากนี้ จากการตรวจบาดแผลผู้เสียชีวิตมีลักษณะแผลเฉพาะและขนาดแผลกระแทกเท่าแก๊สน้ำตาทรงกระบอกจากจีน ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้


จากข้อมูลที่ได้จากตำรวจที่ใช้แก๊สน้ำตา มีข้อมูลว่า แก๊สน้ำตาใช้ในวันที่ 7 ต.ค. 2551 เป็นแก๊สน้ำตาที่มีอยู่ตั้งแต่ปี 2538 และตำรวจผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ซื้อ จึงไม่รู้ถึงความร้ายแรงว่า ถืออะไรอยู่ในมือในการปฏิบัติการครั้งนี้" http://www.prachatai.com/05web/th/home/14075


คุณหมอรายนี้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองอีกครั้งด้วยการดอดไปให้ข้อมูลนายกฯ เพื่อตอบกระทู้เรื่องการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข คุณหมอรายนี้เข้าพบนายกฯ ที่ด้านหลังบัลลังก์ห้องประชุมสภา เพื่อตรวจดูข้อมูลพยานหลักฐานเกี่ยวกับการชันสูตรศพพลทหารอภินพ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี คำให้การของญาติผู้เสียชีวิตที่ให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ คำให้การของเพื่อนพลทหาร จากทั้งหมดแล้วก็สรุปว่าน่าจะเป็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ฆาตกรรม (น่าภูมิใจที่ชาติไทยมีคุณหมอที่เอาการเอางานขนาดนี้)


ตลกทั้ง 4 เรื่อง อาจเป็นตลกที่หัวเราะไม่ออก แต่ประเทศสารขัณฑ์อย่างไทยเราจะมีอะไรมากไปกว่าเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกกันเล่า.

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
บทความเรื่อง "แรงฤทธิ์ แต่อ่อนผล" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนรายวันhttp://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01020352&sectionid=0130&day=2009-03-02 (วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11314) มีหลายประโยค หลายวลี หลายคำที่อ่านแล้วต้องส่ายหัวด้วยความอิดหนาระอาใจกับอคติและภูมิปัญญาของเขา แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่อ่านแล้วทำให้ผมสะดุดหยุดกึกในทันทีคือประโยคที่ว่า "ไม่ผิดอะไรที่จะรักทักษิณ แต่รักทักษิณและรักประชาธิปไตยพร้อมกันไม่ได้เพราะสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเอง"
เมธัส บัวชุม
ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง "ผู้หญิง 5 บาป" เพราะเคเบิลทีวีเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก อันที่จริงหนังเกรดต่ำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากจะดูเลย แต่ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ คือฉากรักร้อน ๆ ดิบ ๆ ที่ปรากฏอยู่มากมายสะกดให้ต้องหยุดดู หนังเรื่องนี้เหมือนหนังโป๊ะที่ดูแล้ว ถึงจุดออกัสซั่มแล้ว ไม่ควรจะมีอะไรให้พูดถึงอีกหรือหากอยากจะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องความไม่เอาไหนของคนทำหนังที่อุตส่าห์ขนดาราและนักแสดงรับเชิญมาเพียบ แต่ทำได้เพียงแค่หลอกขายฉาก "เอากัน" เท่านั้น โดยให้ผู้หญิง 5 คนผลัดกันมาเล่าประสบการณ์ทางเพศที่โลดโผนโจนทะยาน (มีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง โดนยามข่มขืน ได้กับวินมอไซค์)
เมธัส บัวชุม
31 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงานความจริงวันนี้ สร้างปรากฏการณ์ "แดงทั้งแผ่นดิน- Red in The Land" ที่ท้องสนามหลวงด้วยประชาชนหลายหมื่น คนรวยคนจน นักวิชาการหัวก้าวหน้า นักปฏิวัติ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่ามากันพร้อมหน้า บรรยากาศฮึกเหิมคึกคัก ส่งสัญญาณความไม่พอใจที่ล้นอกไปยังเหล่าศักดินา เขย่าขวัญพวกอมาตยาธิปไตยให้หยุดสำเหนียกให้มากก่อนจะกระทำการใด อันที่จริงการสำแดงพลังที่รัชมังคลาภิเษกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.51 ที่ประชาชนเข้าร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งนั้นน่าพรั่นพรึงและเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าชาว “แดง” พร้อมชนกับซากเดนของระบอบศักดินาเพียงขอให้มีเงื่อนไขที่เอื้อหรือสถานการณ์สุกงอมพอเท่านั้น…
เมธัส บัวชุม
  ผมชอบดูและเล่นฟุตบอลแม้ว่าจะเล่นไม่ดีเลยก็ตาม  มันเป็นความบันเทิงและกีฬาที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนเข้าฟิตเนส  แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมไม่เคยชอบดูฟุตบอลไทยเลย อาจจะเปิดโทรทัศน์ไปเจอโดยบังเอิญ หยุดดูสักครึ่งนาที พอได้ยินเสียงพากย์ของนักพากย์กีฬาช่อง 7 ซึ่งไม่พากย์ไปตามเกมกีฬา หากแต่จ้องจะเข้าข้างทีมไทยท่าเดียวทำให้เสียอารมณ์จนต้องรีบเปลี่ยนช่องยิ่งเมื่อได้เห็นภาพข่าวนักฟุตบอลไทย แสดงอาการกักขฬะมีเรื่องวิวาทกับนักเตะต่างชาติอยู่บ่อย ๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกสมน้ำหน้า รู้สึกสมน้ำหน้ามากขึ้นเมื่อนักพากย์กีฬา…
เมธัส บัวชุม
ข่าวการตัดสินจำคุกชาวต่างชาติ “แฮร์รี่ นิโคไลเดส” ชาวออสเตรเลีย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นนอกจากจะน่าอนาถใจไทยแลนด์แล้ว ยังสร้างแรงสะเทือนต่อสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” อยู่ไม่น้อยผมเคยคิดว่าไทยเป็นประเทศที่มี “เสรีภาพ” มากพอสมควร ถึงตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เพียงแต่ว่า “เสรีภาพ” ในไทยนั้นมี “เพดาน” กั้น มี “ขีด” ที่ข้ามไปไม่ได้ เราไม่อาจใช้เสรีภาพไปวิพากษ์วิจารณ์บางคนหรือบางองค์กรหรือเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสได้ เช่น องคมนตรี ศาล กองทัพ เสรีภาพที่เรามีอยู่จึงเป็น “เสรีภาพแบบพอเพียง”
เมธัส บัวชุม
การเมืองหลังการเข้ามาของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร คือการแข่งขันกันนำเสนอด้านนโยบายที่ตอบสนองความต้องการสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งถูกละเลยมาตลอด ผลงานของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งยงและพรรคไทยรักไทยที่ได้ทำไว้ในเรื่องการกำหนดนโยบายสำหรับคนยากคนจน และผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงกระทั่งใครต่อใครพรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบลอกมาหน้าตาเฉย แม้แต่พรรคภูมิใจของเนวิน ชิดชอบที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ชูเรื่องประชานิยมเป็นม็อตโตของพรรค
เมธัส บัวชุม
-1-เมื่อกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตร ฯ แยกย้ายสลายตัว เดินลงจากเวทีหลังจากสร้างความยับเยินสาธารณะจนสาแก่ใจ แล้วส่งพรรคประชาธิปัตย์วิ่งราวเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลโดยผนวกรวมกลุ่มงูเห่าของพวกเนวิน ชิดชอบ เข้าไปด้วยแล้ว การเมืองก็หมดสีสันลงอย่างมากเหมือนกับละครน้ำเน่าที่ตัวอิจฉาหายไปจากจอ ยอมรับนะครับ ว่ากลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรที่เป็นม็อบมีเส้นนั้นดึงดูดกระแสความสนใจการเมืองขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยใส่ใจเรื่องการเมืองเลยนั้นก็หันไปใส่เสื้อเหลือง เสื้อแดงกับเขาด้วย บางคนใส่ได้ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองแล้วแต่ว่ากระแสความนิยมของฝ่ายใดจะมาแรงกว่า
เมธัส บัวชุม
ชัยชนะที่ได้มาด้วยการฉ้อฉลของพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจัดตั้งรัฐบาลสมความมุ่งมาดปรารถนาที่รอคอยมาเกือบสิบปี แต่ก็ด่างพร้อยอย่างยิ่ง ไม่มีความสง่างามแม้แต่นิดเดียว ล่อนจ้อนน่าละอาย ผิดกติกามารยาทรวมไปถึงผิดกฏหมาย กระทั่งก่อให้เกิดความระอาเกลียดชัง บทบาทพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกข้างต้น ทำให้หลายคนตั้งฉายา สร้างวาทกรรมในการใช้เรียกขานพรรคประชาธิปัตย์ไปต่าง ๆ  นานาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปในแง่ลบฉายาที่ 1 "รัฐบาลต่างตอบแทน" ตอบแทนกระทรวงกลาโหมให้กองทัพที่ยืนหยัดช่วยเหลือทั้งทางตรงทางอ้อมแก่พรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด…
เมธัส บัวชุม
  เป็นการพังทลายลงของสถาบันตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความน่าเชื่อถือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรวดเดียว 3 พรรค อย่างรวบรัดตัดความ เร่งร้อนลนลานและผิด ๆ ถูก ๆ นักวิชาการผู้เคารพในหลักการ และคอการเมืองทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขรมถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลงไป เริ่มตั้งแต่ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการผู้เอาตัวรอดด้วยการท่องคาถาคุณธรรม จริยธรรม เป็นนิจสิน อย่างนายจรัล ภักดีธนากุล ไปจนถึงการย้ายสถานที่พิจารณาตัดสินคดีอย่างปุบปับ รวมไปถึงการนำทหารป่าหวายเข้ามาอารักขาตุลาการ แทนที่จะหยุดยั้งเหล่ามารพันธมิตร บางคนต่อรองไว้ว่าร้อยนึงเอาบาทเดียว…
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราคงได้เห็นกันแล้วว่าลัทธิพันธมิตรสามารถทำอะไรได้บ้าง ลัทธิพันธมิตรทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าอยากทำ ตั้งแต่การปิดสี่แยกเพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต ยึดรถเมล์ ล้อมรัฐสภา ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ไปจนถึงการปิดสนามบินเพื่อทำให้ผู้อื่น-ชาวต่างชาติ เดือดร้อนอย่างจงใจบัดนี้ ใครที่ยังเชื่อว่าลัทธิพันธมิตรชุมนุมแบบอหิงสาอันหมายความว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นคงจะปัญญาอ่อนเต็มที ใครที่ยังเห็นว่าลัทธิพันธมิตรเป็นการเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคงจะเป็นคนโง่ดักดาน และดังนั้นเพื่อชีวิตจะได้กลับสู่ความปกติ จึงควรหยุดให้ท้ายลัทธิพันธมิตรในทุกทาง…
เมธัส บัวชุม
อัสนี วสันต์ ในเพลง "ก็เคยสัญญา" เคยแหกปากตะโกนประโยคที่ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"  อันหมายถึงความรักที่แปรผันตามวันเวลาที่ผ่านพ้น   แม้ว่าจะสัญญากันไว้หนักแน่นก็ตาม ประโยคนี้ถูกตอกย้ำให้ฮือฮาอีกครั้งจากปาก แอ๊ด คาราบาว ผู้ซึ่งสวมบทนักร้อง นักดนตรี "เพื่อชีวิต"  วิพากษ์วิจารณ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่โฆษณามอมเมาให้คนซื้อทั้งที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารแต่ประการใด แต่ในเวลาต่อมา แอ๊ด คาราบาว กลับมาทำธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง "คาราบาวแดง" อย่างที่รู้กัน เมื่อมีคนถาม แอ๊ด คาราบาว บอกง่าย ๆ ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"
เมธัส บัวชุม
เพราะว่าในนามของความถูกต้อง จะทำผิดอย่างไรก็ได้ ดังนั้นม็อบพันธมิตร ฯ จึงพากันทำผิดร้อยแปดพันเก้าประการ การกระทำทั้งร้อยแปดพันเก้าประการนั้นแม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่สำคัญนักเพราะถูกฉาบเคลือบไว้ในนามของความถูกต้อง เช่นนี้เองที่เป็นเหตุนำไปสู่คือปัญหาความขัดแย้งยุ่งเหยิงและความรุนแรงในทุก ๆ ทาง การหลบอยู่หลังวาทกรรมประเภท “กู้ชาติ” “พิทักษ์สถาบัน” ฯลฯ การหลงว่าตนเองหรือกลุ่มตนเองเป็นฝ่ายถูก เป็นฝ่ายจงรักภักดี รักชาติ ทำถูกกฏหมาย ตีตราฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด ขายชาติ ไม่จงรักภักดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เลว ดังนั้นในนามของความถูกต้อง จำเป็นต้องกำจัดให้หายไปไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม