Skip to main content
การเมืองไร้หลักการหลังรัฐประหาร ปี 49 นำมาซึ่งเรื่องชวนหัว ขำ ฮา ตลกร้าย ตลกแต่หัวเราะไม่ออก ตลกจนอยากจะร้องไห้ ฯลฯ หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ในที่นี้อยากจะหยิบยกมาพูดคุยสัก 4 เรื่อง


เรื่องแรก ไม่เป็นเหลือง การปลดคุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการคู่บุญของเครือมติชนด้วยข้อหาไม่เป็นกลางนั้นฮาครับ แต่หัวเราะไม่ออก การไม่เป็นกลางนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงนี่สิเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ (แต่คนเสื้อแดงหลายคนก็บอกว่าไม่เห็นคุณเสถียรจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงเลย) ในทางกลับกัน รายของ "นงนุช สิงหเดชะ" ซึ่งเขียนด่า (ใช้คำว่าด่า) คนเสื้อแดงและทักษิณมายาวนาน ด่าเอา ด่าเอาด้วยถ้อยคำที่ครูบาอาจารย์ไม่เคยสั่งสอนกลับไม่เป็นไร นงนุช เคยเขียนว่า

\\/--break--\>
"เสื้อแดงชอบอ้างว่า หลังการรัฐประหารประเทศไม่มีประชาธิปไตย ถูกกดขี่โดยอำมาตยาธิปไตยและเผด็จการ แต่เหลือเชื่อที่พวกที่บอกว่าตัวเองไม่มีประชาธิปไตยสามารถนำม็อบไปบุกล้อม บ้านประธานองคมนตรีทั้งคืน ทำลายทรัพย์สินราชการ บุกล้อมรัฐสภาไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบาย สามารถยกพวกไปทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเสรี ถามว่ามีคนไทยที่รักและเข้าใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคนใดบ้าง ที่จะอยากอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยของพวกเสื้อแดง"

http://www.matichon.co.th/matichon/view%20...%202009-01-08

 

คุณเสถียร จันทิมาธร ถูกบีบให้ออก ไม่ใช่เพราะไม่เป็นกลาง แต่เป็นเพราะไม่เป็นเหลืองต่างหาก


เรื่องที่สอง แมสเสซมรณะ การส่งข้อความไปหาแฟนสาวของพลทหารอภินพ เครือสุข นำมาซึ่งความตายอย่างคาดไม่ถึง


"เมื่อคืนนี้นายกฯ มานอนบ้านแม่ทัพด้วย วันนี้ความคิดถึงกำลังก่อตัวเป็นก้อนเมฆ เพื่อจะลอยไปหาที่รัก LOVE เหมียวที่สุดในโลก ความรักที่ให้ทุกวัน มั่นคงเหมือนดวงจันทร์ส่องแสงตลอดทั้งคืน" (โพสต์ทูเดย์ วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552) http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=44673

 

ข้อความที่ส่งหาแฟนสาวไม่มีอะไรเลยนอกจากคำหวานตามประสาหนุ่มสาวกระทั่งความภาคภูมิใจที่ได้เห็นนายกฯ แต่ฝ่ายรัฐบาลคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการส่งข่าวบอกคนเสื้อแดง พลทหารอภินพ เครือสุข จึงพบจุดจบอย่างอนาถ คณะแพทย์ที่ทำการผ่าพิสูจน์ศพบอกว่า


"ส่วนที่บริเวณคอมีรอยช้ำที่ต้นคอ (ด้านหลังของคอ) มีการแตกของกะโหลกศีรษะ โดยเนื้อส่วนฐานของศีรษะด้านซ้ายมีรอยร้าวต่อเนื่องจากด้านซ้ายไปถึงบริเวณกึ่งกลางกะโหลกศีรษะยาว 5-7 เซนติเมตร นอกจากนี้ ยังพบมีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มไขสันหลังบริเวณต้นคอชัดเจน และยังพบว่าเนื้อสมองส่วนหลัง ด้านซ้ายมีรอยกดบุ๋มลงไปชัดเจน ซึ่งสัมพันธ์กับเลือดที่ออกบริเวณส่วนกะโหลกที่แตก สาเหตุที่รู้ว่ารอยกดเป็นรอยของเลือดที่ออก ก็เพราะว่าเนื้อสมองกลีบซ้ายส่วนหลังมีรอยกดยุบสัมพันธ์กับเลือดที่ออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นหนาที่ยังคงค้างอยู่ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต คือ กะโหลกศีรษะส่วนหลังแตก ทำให้เลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นหนาที่กดเนื้อสมอง ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยกดที่เกิดจากเลือดยุบลงไปทับเนื้อสมองความลึกประมาณ 0.5 ซม. เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งดูจากเนื้อสมองที่เหลืออยู่จากการผ่าศพครั้งแรก" (มติชนรายวัน 27 เม.ย. 52)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1240839967&grpid=04&catid=01


ร่องรอยขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังอ้างง่าย ๆ ตามสคริปต์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า "ลื่นล้มในห้องน้ำ" ! "เป็นอุบัติเหตุ" ! ช่างน่าภูมิใจกับภูมิปัญญาในการเอาตัวรอดของรัฐบาลเสียจริง ๆ !


เรื่องที่สาม กระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า โฆษกกองทัพบกแสดงภูมิปัญญาในการเอาตัวรอดระดับเดียวกับรัฐบาลในการตอบข้อข้องใจเรื่องการทำร้ายประชาชนด้วยการบอกว่ากระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า ส่วนที่ยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นกระสุนซ้อม


"ส่วนเรื่องภาพที่นำเสนอทางโทรทัศน์ บางภาพจำเป็นต้องอธิบายความเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน เวลาชมข่าว คือ เรื่องการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ในการเข้าสลายการชุมนุม จะมี 2 ลักษณะด้วยกัน ลักษณะที่ 1 เป็นการใช้อาวุธและกระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า เพื่อใช้เสียงข่มผู้ชุมนุม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาใกล้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และก็ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทำงานสะดวกขึ้น ไม่มีการใช้อาวุธโดยตรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม อันนี้ คือวิธีการใช้อาวุธกระสุนวิธีที่ 1

วิธีที่ 2 หากปรากฏว่า กลุ่มผู้ชุมนุมมีอากัปกิริยาที่จะเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ เราจะมีอาวุธปืนประเภทที่ 2 ที่บรรจุกระสุนซ้อมรบซึ่งหัวกระสุนชนิดนี้จะเป็นลูกกระดาษ เมื่อยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีเฉพาะเสียงดังออกมา แต่ลูกกระดาษจะไม่พุ่งไปข้างหน้า ซึ่งจะไม่เป็นอันตรายกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งภาพที่นำเสนอทางทีวีหลายช่องจะเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องทำความเข้าใจว่า ในพื้นที่ที่มีการปฏิบัติภารกิจลักษณะของการใช้กระสุนซ้อมรบจะมีผู้สื่อข่าวจำนวนมาก ตรงนั้น เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เจ้าหน้าที่ไม่ใช้กระสุนจริงในการยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม สำหรับการปฏิบัติทางทหารก็มี 3 เรื่องที่สำคัญ ที่จะเรียนให้พี่น้องประชาชนรับทราบ" (โพสต์ทูเดย์ 14 เม.ย.52)

http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=42348


คำอธิบายของโฆษกกองทัพบกถูกหักล้างด้วยบาดแผลของคนเสื้อแดง แต่เวรกรรมที่สื่อมวลชนไม่คิดจะหาความจริงจากคำอธิบายครั้งนี้เลย


เรื่องที่สี่ แก๊สน้ำตาขาขาด แก๊สน้ำตากลายเป็นอาวุธสังหารไปได้เมื่อผ่านการตรวจสอบจากหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ คุณหมอรายนี้กล่าวว่า


"การตรวจสอบ และสาธิตยิงแก๊สน้ำตาพบสารระเบิดอาร์ดีเอ็กซ์จากการยิงแก๊สน้ำตาทั้งชนิดยิง และชนิดขว้างที่ผลิตจากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยพบ 3 ชนิด จาก 6 ชนิด ที่ตำรวจใช้ในการสลายการชุมนุม แก๊สน้ำตาที่นำมาตรวจเป็นชนิดที่ตรงกันกับที่ตำรวจและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำมามอบให้ตรวจ นอกจากนี้ จากการตรวจบาดแผลผู้เสียชีวิตมีลักษณะแผลเฉพาะและขนาดแผลกระแทกเท่าแก๊สน้ำตาทรงกระบอกจากจีน ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้


จากข้อมูลที่ได้จากตำรวจที่ใช้แก๊สน้ำตา มีข้อมูลว่า แก๊สน้ำตาใช้ในวันที่ 7 ต.ค. 2551 เป็นแก๊สน้ำตาที่มีอยู่ตั้งแต่ปี 2538 และตำรวจผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ซื้อ จึงไม่รู้ถึงความร้ายแรงว่า ถืออะไรอยู่ในมือในการปฏิบัติการครั้งนี้" http://www.prachatai.com/05web/th/home/14075


คุณหมอรายนี้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองอีกครั้งด้วยการดอดไปให้ข้อมูลนายกฯ เพื่อตอบกระทู้เรื่องการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข คุณหมอรายนี้เข้าพบนายกฯ ที่ด้านหลังบัลลังก์ห้องประชุมสภา เพื่อตรวจดูข้อมูลพยานหลักฐานเกี่ยวกับการชันสูตรศพพลทหารอภินพ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี คำให้การของญาติผู้เสียชีวิตที่ให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ คำให้การของเพื่อนพลทหาร จากทั้งหมดแล้วก็สรุปว่าน่าจะเป็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ฆาตกรรม (น่าภูมิใจที่ชาติไทยมีคุณหมอที่เอาการเอางานขนาดนี้)


ตลกทั้ง 4 เรื่อง อาจเป็นตลกที่หัวเราะไม่ออก แต่ประเทศสารขัณฑ์อย่างไทยเราจะมีอะไรมากไปกว่าเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกกันเล่า.

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.…
เมธัส บัวชุม
พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛                                                ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )========================================= ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ละเลงเลือดแผ่นดินเดือด ถ่อยเถื่อน สะเทือนไหมเหล่าแกนนำ อำมหิต คงสะใจประเทศไทย ใกล้พังยับ นับวันรอพันธมิตร ป่วนเมือง ระส่ำสุดเตรียมอาวุธ รบกับใคร กระไรหนอกองทัพธรรม กำมีดพร้า ฆ่าให้พอทำเพื่อ "พ่อ" สนธิลิ้ม และจำลอง ละอองดาว ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=13977&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai ) พอฝุ่นควันจากเหตุการณ์สลายหายไป ภาพปรากฏก็เริ่มชัดเจนขึ้น ข้อเท็จจริงค่อย ๆ แสดงตัวออกมาทีละส่วน ๆ ก่อนจะกลายเป็นภาพรวมใหญ่ ทำให้การใส่ความและการโฆษณาชวนเชื่อของแกนนำพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า…
เมธัส บัวชุม
นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้ การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
เมธัส บัวชุม
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน  อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ  ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว…
เมธัส บัวชุม
กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร…
เมธัส บัวชุม
ไม่ต้องเป็นผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์เราก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการชุมนุมก่อน 19 กันยายน 2549 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้นเป็นการออกบัตรเชิญให้ทหารทำรัฐประหารแม้ว่าบางคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมของพันธมิตร ฯ หลังพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนเดิมคือการออกบัตรเชิญให้ทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกคำรบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลังประชาชนได้บทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดเพียงนิดเดียวอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยึดอำนาจรอบสองได้ รัฐบาลจึงระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับม็อบพันธมิตร ฯ แต่โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ใช่ว่าจะไม่มี…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ…
เมธัส บัวชุม
ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อบทความว่า “กวีพันธมิตร ฯ” แต่เห็นชื่อที่โดนใจวัยรุ่นกว่าในเวบบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่า “กวีเกรียน” โดยคุณ Homo erectus (ซึ่งเคยเข้ามาวิพากษ์เชิงด่าผมอยู่เป็นประจำจนเลิกไปเอง) จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม “กวีเกรียน” ในความหมายของผมคือกวีที่ล้าหลัง คิดอ่านไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก วิเคราะห์สังคมไม่ออกเพราะไม่มีหลักคิดที่มั่นคง อ่านการเมืองไม่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่านักการเมืองชั่วร้ายเลวทรามในขณะที่ประชาชนและข้าราชการ และพวกอภิสิทธิชนนั้นมีคุณธรรม จริยธรรม หรืออย่างน้อยก็มีมากกว่านักการเมือง…
เมธัส บัวชุม
-1- พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวละครการเมืองที่ไม่ยอมลงจากเวที กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ภาษาไทย พ.ศ.พอเพียง" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่จัดขึ้นโดย ราชบัณฑิตยสถาน มูลนิธิรัฐบุรุษฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า "ภาษาไทยทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ สื่อสารที่ดีต่อกัน ทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้คนรักกัน โกรธ หรือเกลียดกัน ทำลายกันก็ได้ พวกเราคนไทยจึงต้องตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ฟุ้งเฟื้อจนเกินไป ต้องรักษาและพัฒนาให้ลูกหลานอย่างพอเหมาะ" (มติชน, 27 ก.ค. 51, หน้า 13) จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์…
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด…